อัยการส่งฟ้อง “ตะวัน-แฟรงค์” คดีบีบแตรขบวนเสด็จเอาวันสุดท้ายของกำหนดฝากขังตามกฎหมาย บรรยายฟ้องเห็นว่าผิดข้อหายุยงปลุกปั่น ยกเหตุการณ์บีบแตรลงคลิปเหตุการณ์ปั่นป่วนทำให้ประชาชนมาละเมิดกฎหมาย และเป็นการท้าทายดูหมิ่นพระเกียรติ ถูกขังต่อระหว่างพิจารณาคดี ศาลนัดสอบคำให้การ 2 พ.ค.67
2 เม.ย.2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าเมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) อัยการส่งฟ้องทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และ ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ ต่อศาลอาญา รัชดา ในคดีที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่า บีบแตรใส่ขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2567 โดยการยื่นฟ้องอัยการเกิดขึ้นในวันสุดท้ายที่ศาลมีอำนาจตามกฎหมายให้ขังได้ไม่เกิน 48 วัน
ณัฐพงษ์ วายุพัฒน์ พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นเขียนคำฟ้องพวกเขาในข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3), ก่อความเดือดร้อนรำคาญ ตามมาตรา 397, ข้อหาเรื่องการใช้เสียงแตรรถยาวหรือซ้ำเกินควร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 14, ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 368 จากกรณีไม่พิมพ์ลายมือในระหว่างรับทราบข้อกล่าวหา เฉพาะณัฐนนท์ยังถูกกล่าวหาในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 136 อีกหนึ่งข้อหาด้วย
อัยการบรรยายการกระทำของทั้งสองคนที่เป็นความผิดว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2567 ขณะที่มีการอารักขาขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ อยู่บนทางพิเศษศรีรัช มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ทางลงทางด่วนพหลโยธิน 1 ทานตะวันและณัฐนนท์ได้ร่วมกันบีบแตรรถยนต์ตลอดเวลาเสียงดังยาว 1 – 2 นาที และขับรถยนต์แทรกคันอื่น ๆ ที่หยุดรอขบวนเสด็จ เพื่อขับแทรกเข้าไปในเส้นทางของขบวนเสด็จที่กำลังเคลื่อนผ่านบริเวณทางต่างระดับมักกะสันที่รถยนต์ของทั้งสองคนอยู่
ต่อมาเมื่อขบวนเสด็จผ่านไปแล้ว จำเลยทั้งสองคนได้ขับรถไล่ติดตามขบวนเสด็จไปในระยะกระชั้นชิดและบีบแตรลากยาวโดยไม่มีเหตุอันควรไปจนถึงบริเวณทางลงของทางด่วนพหลโยธิน 1 เป็นระยะประมาณ 800 เมตร แต่เจ้าหน้าที่อารักขาได้สกัดกั้นจำเลยทั้งสองคนไว้ได้
นอกจากนี้ ในขณะเกิดเหตุ ส.ต.อ.นพรัตน์ อินทิแสน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อารักขาขบวนเสด็จ และเข้าสกัดรถยนต์ของทั้งสองคนให้หยุดการกระทำ ได้กล่าวหาว่าณัฐนนท์พูดดูถูกเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคายทำให้รู้สึกอับอายและถูกลดคุณค่าในขณะที่กำลังปฏิบัติตามหน้าที่เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติงาน
จากนั้นในวันที่ 7 ก.พ. 2567 ทานตะวันได้ทำการโพสต์ภาพจากกล้องหน้ารถที่ทั้งสองขับในวันเกิดเหตุ ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยกล่าวแสดงความเห็นว่า
‘นำคลิปหลักฐานมาให้ชมค่ะ ว่ามีการปิดถนนจริง ๆ เราเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องขบวนเสด็จไปแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ใหญ่คนไหนตอบ ซ้ำยังยัดคดี ม.112 และถอนประกันจนเข้าคุก นี่คือคำตอบที่ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ให้กับเรา วันนั้น เราได้ขับรถไปทำธุระส่วนตัว เจอขบวนเสด็จพอดีและปิดถนนเหมือนเดิม เราไม่ได้รอและขับออกไปเลย เพราะทุกคนก็รีบเหมือนกัน เราขับรถไปตามเส้นทางที่จะต้องไปทำธุระ ไม่ได้จะเร่งไปเพื่อหาขบวนเสด็จ และมันก็มีแต่คำถามในหัวว่า ทำไมถึงมีรถคันไหนไปได้สะดวกกว่ารถของประชาชน?’
‘ครั้งนี้ ผู้ใหญ่ทั้งหลายในเมืองพุทธนี้ จะให้คำตอบเด็กอย่างเราแบบไหนคะ’
อัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองคนที่ต่อเนื่องกัน เป็นการสร้างความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย อันมิใช่การกระทำมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่การติชมโดยสุจริต
นอกจากนั้น เนื้อหาการโพสต์ของจำเลยที่ 1 หรือทานตะวัน เป็นการอวดอ้างพฤติกรรมของทั้งสองคนที่ขับรถแทรกรถยนต์ของประชาชนในบริเวณนั้นเพื่อพยายามแซงไปข้างหน้าให้ใกล้กับขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ และยังบีบแตรส่งเสียงดังแสดงความก้าวร้าว เป็นการต่อต้านท้าทายดูหมิ่นพระเกียรติยศ
อีกทั้งทั้งทำให้ประชาชนที่ติดตามเฟซบุ๊กของทานตะวัน เข้าใจว่าขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มโซเชียลมีเดีย อันเป็นการกระทำที่อาจสร้างความปั่นป่วนในหมู่ประชาชน และเป็นภัยอันตรายต่อความปลอดภัยทางสาธารณะ
จากนั้นศาลได้นัดถามคำให้การทั้งสองคนในชั้นพิจารณาคดีวันนี้ และเบิกตัวณัฐนนท์มาที่ศาลแล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อตะวันได้ โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้เหตุผลว่า ทานตะวันพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ในขณะนี้แต่ไม่สามารถติดต่อกับโรงพยาบาลได้ จึงไม่สามารถเบิกตัวมาตามนัดได้ ศาลจึงให้เลื่อนนัดถามคำให้การไปเป็นวันที่ 2 พ.ค. 2567
ทั้งนี้ศูนย์ทนายความฯ มีข้อสังเกตต่อความเห็นสั่งฟ้องของอัยการว่าหลังเกิดเหตุไม่พบว่าจะมีการนำเสนอข่าว หรือผู้ใดที่กระทำการสร้างความวุ่นวายตามฟ้องของอัยการในฐานความผิดยุยงปลุกปั่น
บันทึกจับกุม ยังได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ทานตะวันที่นั่งอยู่ข้างคนขับ ได้เปิดกระจกรถต่อว่าตำรวจที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวว่า เดือดร้อนภาษีประชาชน และเมื่อขบวนเสด็จผ่านไปแล้ว ก็ได้เปิดการจราจรให้รถยนต์จากทางร่วมฯ วิ่งไปได้ตามปกติ โดยเห็นว่ารถของผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ขับรถเร็ว ซึ่งตำรวจลงความเห็นว่าอาจเป็นการอันตรายต่อขบวนเสด็จ จึงได้แจ้งทางวิทยุให้เจ้าหน้าที่รายอื่นที่ปฏิบัติงานถวายความปลอดภัยทราบถึงพฤติกรรมของรถยนต์คันดังกล่าว
จากนั้นรถของตะวันก็ได้ขับเข้าประชิดกับรถปิดท้ายขบวนเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่รถปิดท้ายขบวนได้สกัดเอาไว้ได้ จึงทำให้ไม่สามารถแทรกเข้าไปในขบวนเสด็จได้
ผู้สื่อข่าวสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของศูนย์ทนายความฯ เพิ่มเติมเรื่องกระบวนการปล่อยตัวทั้งสองคนหลังครบกำหนดฝากขังว่าเป็นอย่างไร ทราบว่าเนื่องจากทางอัยการดำเนินการส่งฟ้องต่อศาลแล้วทำให้พวกเขาทั้งสองคนถูกขังต่อในชั้นพิจารณา
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)