เสียงร่ำไห้จากผู้หญิง

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ริบบิ้นสีขาวถูกนำมาใช้อีกครั้งเพื่อเป็นสัญลักษณ์ เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง แม้หลายฝ่ายจะพยายามทุกวิถีทาง แต่ก็ยังคงพบเห็นการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงและเด็ก โดยเฉพาะผู้หญิง

"นึกไม่ถึง ข่มขืนนี่มันหลอนนะ แต่ รุมโทรมนี่มันหลายคน เหมือนกับโดนย่ำยี แบบไม่เหมือนคน เป็นตัวอะไรไม่รู้ มันเหมือนของอะไรสักอย่าง ของที่โดนรุม มันอธิบายไม่ถูก"

เอ็มม่า ครูดอยอาสาลูกครึ่งไทย-อังกฤษร่ำไห้สะอื้นเมื่อเล่าถึงเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ที่เธอถูกวัยรุ่นชาวเขาเผ่าอาข่า 3 คน รุมโทรมในหมู่บ้านแสนเจริญเก่า บนดอยวาวี จังหวัดเชียงราย ที่ที่เธอยอมทิ้งชีวิต งานที่มั่นคงและความสุขสบายในเมืองหลวง เพราะตั้งใจจะนำความรู้ด้านศิลปะกับภาษาอังกฤษมาแบ่งปันให้ แน่นอนที่สุดมันเป็นงานที่เธอภาคภูมิใจและใฝ่ฝันมาตลอด

"โตมาคุณพ่อ คุณแม่ จะรักมาก และก็จะให้ทุกอย่าง ไม่เคยโดนตี ไม่เคยโดนว่า ครูถึง อยากให้เด็กข้างบนเค้าได้รับความรักแบบนี้บ้าง เด็กที่ดอยนี้ไม่มีโอกาสจะจ้างครู ครูที่ไปมีแต่ คนที่โดนบังคับไป ไม่มีใครอยากอยู่ ดอยวาวีมันลึกและชัน ต้องขึ้นเขา บางทีไม่มีรถ ต้องเดินกัน 8 กิโลขึ้นเขาลงเขา เมื่อก่อนตัวเองขาวจั๊วะเลย แต่คล้ำขึ้น เพราะน้ำที่อาบใช้น้ำโคลนที่ชะลงมาจากภูเขา"

วันที่เกิดเรื่อง วัยรุ่นที่ก่อเหตุวางแผนชวนเธอไปซื้ออาหาร โดยอ้างว่าทำอาหารไม่เป็น ขอให้เธอช่วย ด้วยวิญญาณความเป็นครูซึ่งมีแต่ให้ จึงไม่ปฏิเสธ ระหว่างนั้นมีประกาศว่าคนหาย ทุกคนต้องออกจากบ้านยกเว้นผู้หญิงและเด็ก โดยฝากกุญแจบ้านไว้กับครู รอจนถึง 3 ทุ่มก็ยังไม่กลับ เลยออกไปตามเกิดพลัดหลงกับแม่ของวัยรุ่นที่ก่อเหตุ ตอนแรกเธอตั้งใจจะกลับโรงเรียน แต่นึกเป็นห่วงว่าที่ราชการค่ำมืดเด็กไม่สามารถเข้าได้ จึงกลับไปรอที่บ้านจนง่วงมาก เลยต้องนอนหลับที่นั่น กระทั่งรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นวัยรุ่นทั้งสามเข้ามาประชิดตัว รุมข่มขืนโดยไม่สนใจต่อเสียงวิงวอนร้องห้ามจากครู

"ก็ร้องไห้ ร้องขอ บอกว่า ครูทำอะไรให้พวกเธอโกรธเหรอ ทำไมทำอย่างนี้กับครู ทำไม ร้องและพูดดีๆทุกอย่างแล้ว ไม่ไหวแล้วก็บอก มึงเอา มึงเอาให้ตายนะ มันก็ไม่หยุด ก็เลยตะโกนลั่นอีกครั้ง มึงเอา มึงเอาให้ตาย มันก็หยุด แล้วก็ไล่ครูกลับโรงเรียน พอตั้งสติได้ก็กลับไปห้อง เลือดเต็มทั้งกะโปรงเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี จะบอกใคร มันก็ไม่งามมั้ง มันเสียสถาบันครู เราจะงงๆมาก คิดอะไรไม่ออก นอนเบลออยู่พักใหญ่ พอตอนเช้าแดดออกสดใส เด็กนักเรียนก็
เหมือนเดิม เราก็ต้องทำหน้าที่เหมือนเดิม ก็คือสอนตามปกติ ไม่รู้จะเข้าใจรึเปล่า ว่า เราต้องมานั่งแกล้งทำเหมือนปกติ ในขณะที่พี่น้องของพวกเค้าเพิ่งทำร้ายเรา"

หลังเกิดเหตุครูเอ็มม่าได้ปรึกษาครูใหญ่ และยังไม่แจ้งความเพราะกลัวโรงเรียนกับหมู่บ้านจะเสียชื่อ คิดว่าเรื่องจะเงียบ แต่กลุ่มวัยรุ่นทั้ง 3 คน กลับเอาเรื่องไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง ทำให้อับอาย จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ ซึ่งผู้ต้องหารับสารภาพว่ากระทำจริง และถูกควบคุมตัวไปฝากขังกับศาลจังหวัดเชียงราย โดยไม่ให้ประกันตัว สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน หาว่ากุเรื่องขึ้นทำให้หมู่บ้านเสื่อมเสียชื่อเสียง กลั่นแกล้ง ตัดน้ำไฟฟ้า ไม่ขายอาหาร นำอุจจาระมาวางและปาหน้าบ้านพัก ยิงปืนข่มขู่ฆ่าให้ออกจากหมู่บ้าน ใช้อิทธิพลสารพัด เพราะหนึ่งในสามคนที่ก่อเหตุเป็นหลานสจ. ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเอียง ด้วยความเชื่อมั่นว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ครูเอ็มม่าจึงพยายามอยู่เพื่อสู้ต่อ

"รองน้ำจากถังน้ำที่ในชักโครก รองน้ำฝนดื่ม อาหารไม่มีก็กินนมของโรงเรียนที่มันเหลือค้างๆไว้ ที่อยู่เพราะ ครูไม่ได้ทำผิด ครูบอกว่า คุณไล่ฉันไม่ได้เพราะที่นี่ ดอยวาวีเป็นพื้นที่พระราช ทาน ไม่มีสิทธิมาไล่ เค้าก็ไปบอกครูใหญ่ว่าถ้าครูใหญ่เอาออกไม่ได้ ครูใหญ่ต้องออกแทน ไม่สำเร็จก็เดินประท้วงอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของครู พอครั้งสุดท้ายบอกว่าถ้าไม่เอาครูออก จะไม่ให้เด็กมาโรงเรียน ชาวบ้านมายึดโรงเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้า ทำเวทีเชิญสื่อไป ตอนสื่อยังไม่มาก็ร้องเพลงเสียดสีว่า ไล่ออกไป ไปไปไป แต่พอสื่อมาถึงก็ร้อง ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยฯ ลงเดี๋ยวนั้นวันนั้นเลย ที่ลงเพราะนักข่าว พูดว่า ครู ครูใหญ่เค้ามีครอบครัว มีลูกต้องดูแลนะ ก็น้อยใจเหมือนกัน ว่าครูเองไม่มีครอบครัวเหรอ"

วันนี้เธอต้องบอบช้ำทั้งกายและใจ แต่ก็ยังยืนยันที่จะเป็นครูดอยอาสาต่อ ความเป็นธรรมคือสิ่งที่เธอร้องถาม และอยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็น สิ่งที่ได้รับจากดอยแห่งนี้ มันเกินกว่าคำว่าเสียใจ และมากกว่าความผิดหวัง เหรอกฎหมู่จะอยู่เหนือกฎหมาย และความดีนั้นเป็นเพียงภาพลวงตากับความฝันลมๆแล้งๆเท่านั้น

"ราชการมาด่าครูใหญ่ว่า เห็นมั้ย ไล่ๆไปทีแรกก็ดีแล้ว ทำไมสำนักงานเขตการศึกษาแทนที่จะคุ้มครองศักดิ์ศรีของครู กลับกลายเป็นว่าให้ปัญหาพ้นๆไป นี่คือสิ่งที่เสียใจมาก และเรื่องอิทธิพลการเมือง ทำให้ตำรวจและอะไรทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด อันนี้ไม่รู้จะขอร้องใครแล้วนอกจากท่านนายกฯ อยากได้ ศักดิ์ศรีนี่ ไม่รู้ว่ามันจะได้คืนมารึเปล่า มันคงจะไม่ได้คืนมา ในฐานะครู ยังอยากจะกลับไปเป็นครูที่นี่ต่อจริงๆ แต่ว่าถ้ากฎหมายมันไม่คุมอย่างนี้นี่ ครูอยากจะรู้ว่าครูจะไปยืนอยู่ตรงไหน และคนอื่นอีกล่ะ อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ด้วยว่า ผู้หญิงขนาดเป็นครู ซึ่งเป็นงานที่มีค่ารองลงมาจากพ่อแม่ ยังโดนอย่างนี้เลย ไหนเราบอกว่าอยากให้สังคมมีคนดี เราก็ต้องช่วยกันทำ และช่วยเป็นกำลังใจสิ ไม่งั้นคนที่พยายามทำดีมันก็จะไม่เหลืออีก"

ครูเอ็มม่าย้ำว่า พร้อมจะยกโทษให้วัยรุ่นทั้ง 3 คนนี้ ซึ่งเป็นกรรมการเยาวชนของหมู่บ้าน ขอแค่ยอมรับผิดแบบลูกผู้ชาย และเลิกพฤติกรรมย่ำยีเพศหญิงเสียที เธอรู้มาว่าเธอไม่ใช่รายแรกและรายสุดท้าย ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งเธออยากให้ออกมาสู้ร่วมกับเธอ

"ขอร้องเถอะ รับผิดได้แล้ว ไม่ใช่ครูไม่อยากให้ให้เธอออกจากคุกนะ ครูไม่อยากจองเวรจองกรรม รับผิดซะ แล้วครูก็จะดูทุกอย่างและพยายามทำให้มันดีที่สุด ถ้ายอมรับผิดครูอาจจะให้อภัยได้ ผู้หญิงที่โดนพวกนี้ทำ 20 กว่าคน ออกมาสู้กับครู มาช่วยกัน ไม่งั้นผู้หญิงคนอื่นก็จะโดนต่อไปอีก สู้คนเดียวมันสู้ไม่ไหว ยิ่งมีข่าวว่าครูกุเรื่อง ใครจะประสาทกุเรื่องขึ้นมา ทุกวันนี้ที่บ้านต้องอับอาย ไม่ว่าครูจะอยู่ไหน เรื่องนี้มันตามหลอนจนเสียสุขภาพจิตแล้ว"

สำหรับนักเรียนและชาวบ้านที่ร่วมกันขับไล่เธอนั้น เธอยืนยันว่าไม่โกรธและยังรักเหมือนเดิม เพราะเธอรู้ว่าทุกคนรักและเอ็นดู แต่ต้องทำเนื่องจากถูกบังคับ ยกเว้นอบต.และคนที่ข่มขู่ฆ่า

"บ้านแสนเจริญเก่า ทุกคนรู้นะคะว่าครูรักทุกคนมาก ครูรู้ว่าทุกคนเอ็นดู รัก และมากอดมาแย่งนอนเป็นเพื่อนกับครูตลอด และรู้ว่าทุกคนโดนบังคับให้ไล่ครู ครูไม่โกรธและยังรักพวกหนูๆที่เป็นนักเรียนของครูหมดทุกคนเหมือนเดิม และอยากฝากว่าถ้าจะพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญ ควรเลิกใช้กฎหมู่ กฎหมายมันเข้าไปในกฎหมู่ได้ แค่รู้จักแยกแยะผิดถูก มันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมปรับเฉยๆก็ได้ อย่างวัฒนธรรมที่ว่าถ้าชอบพอใจผู้หญิงคนไหนก็จับข่มขืนหรือการฆ่าแฝด มันไม่สมควร"

ครูดอยอาสาผู้นี้ ซึ่งผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายจากน้ำมือของผู้ชาย ได้ฝากวิงวอนถึงผู้ชายทุกคน ให้เห็นใจผู้หญิงเพศแม่ด้วย หากไม่รักดูแล ก็โปรดอย่าทำลาย อย่าให้อารมณ์นำสติ

"ผู้ชายเหมือนไม่มีต่อม พอมีความต้องการก็จะทำเลย และก็มาสำนึกทีหลัง จริงๆแล้วขอให้คิดอย่างเดียวว่า ถ้าเป็นพี่ฉัน น้องฉัน ลูกฉัน แม่ฉันคือคิดซะว่า ถ้าเป็นคนในครอบครัวฉัน เวลาเจอหรือมีอารมณ์อะไร ทุกอย่างมันคงจะเบาลงกว่านี้เยอะเลย"

ข้อความในสมุดบันทึกที่ครูเอ็มม่าทิ้งท้าย สะท้อนถึงความรู้สึกของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ถูกทำร้ายจากผู้ชายและสังคมได้เป็นอย่างดี ดูมันช่างไร้ความหวัง มืดมนและเลือนลางสำหรับความ
ชอบธรรม นี่หรือคือรางวัลของคนทำดี

ความดีนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาในใจเราแค่นั้นเหรอ ?

ข้าพเจ้าไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเหลือ ให้เลิก และ ลดอิทธิพลการเมืองมารังแกคนบริสุทธิ์ที่ด้อยกว่า นอกจากท่านนายกรัฐมนตรี และ สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือสูงสุด

ไม่ต่างกับแก้ว เธอถูกหัวหน้าข่มขืนในห้องน้ำที่ทำงาน ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นดี แต่ดูเหมือนองค์กรเธอไม่เห็นความสำคัญ แม้จะมีการตั้งกรรมการสอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมสรุปผล ทั้งที่ผลการตรวจ
สอบดีเอ็นเอออกมาชัดเจน โดยอ้างว่ารอให้อัยการสั่งฟ้องก่อน

"เราเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเข้ามา และล็อคประตูด้านนอก ก็คิดว่าเป็นน้องผู้หญิงที่ทำงานด้วยกัน พอเดินออกมา ก็ เจอเค้าดักอยู่ตรงประตู ถือคัตเตอร์อยู่แล้วก็ล็อคคอ เอาคัตเตอร์จี้ที่เอว และข่มขืน บังเอิญเค้าลืมทิ้งคัตเตอร์กับทิชชู่ไว้ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานสำคัญภาย
หลัง"

แก้วเล่าว่า ตอนแรกไม่มีหัวหน้าคนไหนจัดการให้ อ้างว่าทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ระดับเดียวกัน และเค้ายังเป็นคนโปรดของหัวหน้ากอง เธอต้องพึ่งผู้บังคับบัญชาสูงสุด จนมีการตั้งกรรมการขึ้น ในที่สุดเธอตัดสินใจแจ้งความหลังจากหัวหน้าผู้นี้พยายามจะข่มขืนอีก 2 ครั้ง แก้วไม่กล้าเล่าให้สามีฟัง กลัวว่าจะรับไม่ได้ แต่โชคดีที่ได้สามีดี เมื่อทราบเรื่องก็ไม่ทอดทิ้ง คอยประคับประคองเป็นกำลังใจให้เธอยืนหยัดสู้ต่อไป

"คนที่ทำเราเป็นเพื่อนของสามีด้วย จบสถาบันเดียวกัน ตอนแรกสามีไม่เชื่อ ตอนหลังเห็นผลตรวจดีเอ็นเอถึงมั่นใจ สามีบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเค้าเลือกแล้วที่จะให้เราเป็นภรรยาและแม่ของลูก เมื่อก่อนมีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็จะทะเลาะ แต่ พอมีเรื่องนี้ เค้าจะเงียบๆ และบอกว่า ไม่เป็นไรนะลูก ค่อยๆฟันฝ่ากันไป รู้สึกภูมิใจที่เราเลือกเค้า เพื่อนๆก็บอกว่า มันยิ่งกว่าถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 เลยนะ "

เธอยังฝากถึงผู้ชายทุกคนว่า เมื่อผู้หญิงที่เป็นคนรัก หรือภรรยาประสบปัญหา ขอให้เห็นใจ อย่าเดินหนีทิ้งให้ต้องเผชิญความทุกข์เพียงลำพัง เพราะมันจะยิ่งกดทำให้ยิ่งจมดิ่งลงไป สูญสิ้นความหวังใดๆ

"สำหรับตัวเองตอนเจอปัญหามันเหมือนกับเดินไปที่มืดๆ แล้ว คว้าแขนสามีไว้ และเค้าไม่ทิ้งเรา ช่วยดึงเราขึ้นมา ทำให้มีกำลังใจ อยากบอกผู้ชายทุกคนว่า คุณมีความสำคัญ ณ เวลานั้น อย่าปล่อยเค้า ช่วยกันประคับประคองขึ้นมา "

สำหรับ ดา เธอมีแฟนเป็นนายกเทศมนตรี แต่มีพฤติกรรมทางเพศไม่ปกติ แถมยังเจ้าชู้ คิดจะมีอะไรกับน้องสาวเธอด้วย เมื่อเธอต้องการเลิกก็ไม่ยอม ตามข่มขู่ ติดตามอุ้มไปกักขัง เที่ยวประจานให้คนอื่นรู้ว่า เธอ เป็นเมียเค้าแล้ว ทุกวันนี้ดาอยู่ด้วยความระแวง ต้องหลบซ่อนตัว เพราะกลัวว่าฝ่ายชายจะตามมาราวีอีก

"เวลาเรามีอะไรกับเค้า มันจะเหมือนมดลูกอักเสบเป็นหลายครั้ง ต้องไปโรงพยาบาล หรือ บางทีเค้าต้องการ ก็จะทำในที่สาธารณะ มันไม่ปกติ และชอบเล่าว่าฝันว่าได้นอนกับน้องสาว พอเราจะเลิกก็เอาเรื่องบนเตียงของเราไปประกาศให้คนรู้ ทำให้อับอายไม่กล้าเลิก เค้าบอกว่า คนเป็นเมีย ก็คือต้องเป็นเมีย มีหน้าที่ของเมีย คือให้ความสุขกับเค้า และยังพูดว่า ผู้ชายสามารถมีผู้หญิงอื่นได้ แต่ผู้หญิงที่เป็นเมียแล้ว ไม่สามารถจะมีผู้ชายคนอื่นได้ "

วันนี้ ดา ต้องการแค่อิสรภาพ และหลุดพ้นจากการย่ำยีของอดีตแฟน ที่สำคัญต้องการเลือกที่จะมีชีวิตด้วยตัวเองได้ เธอไม่มั่นใจว่าผู้หญิงมีสิทธินี้เท่ากับผู้ชายหรือไม่

" ไม่ใช่ว่าผู้หญิงพอมีอะไรกับผู้ชายแล้ว จะต้องมีไปตลอดชีวิต ผู้หญิงไม่ได้ต้องการมีใหม่นะคะ แต่บางทีผู้ชายที่มีความผิดปกติทางเพศ ผู้หญิงก็น่าจะเลือกไม่อยู่ด้วยได้ ไม่ใช่พอผู้หญิงไปแจ้งความ ก็มองเป็นเรื่องหึงหวง แบล็คเมล์ อยากจะเรียกเงินเท่านั้น"

รศ.ดร. วิลาสินี พิพิธกุล ประธานมูลนิธิเพื่อนหญิง และนักวิชาการสตรีศึกษา ระบุถึงสาเหตุที่ผู้ชายมักใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงและเด็ก ว่า เป็นผลมาจากโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมไทย ที่เรามักให้บทบาท ความสำคัญ และอำนาจแก่เพศชายเสมอมา จะเห็นว่าครอบครัวไทยเรา มักสอนกันมาตลอดว่า ผู้ชายเป็นผู้นำของครอบครัว เป็นพ่อของบ้าน ตรงนี้ก็เลยยิ่งทำให้ผู้ชายถือเอาเรื่องการมีอำนาจเหนือกว่า การใช้กำลัง มาจัดการกับผู้หญิงที่เป็นภรรยา และกับเด็ก ที่เป็นลูก

"เมื่อให้บทบาทและอำนาจเหนือกว่ากับผู้ชาย จึงทำให้ผู้ชายเลือกใช้ความรุนแรงจัดการกับผู้หญิงที่ถือว่าเป็นสมบัติของตัวเองแล้ว เป็นภรรยา เป็นลูก ถ้าไม่พอใจก็สามารถใช้ความรุนแรงได้"

หวังว่าเสียงของผู้หญิงเหล่านี้ จะดังไปถึงหัวใจของผู้ชายทุกคน มาร่วมกันเปลี่ยนมือที่เคยใช้ความรุนแรงเป็นมือที่อบอุ่น หันมาช่วยดูแลทะนุถนอมผู้หญิงเพศแม่ คิดว่าพวกเธอเป็นเหมือนพี่สาว น้องสาว และลูกสาวของคุณ ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่

ชวิดา วาทินชัย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท