Skip to main content
sharethis

--------------------------------------------------

"ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว แค่รอดชีวิตมาได้ก็ถือว่าโชคดีที่สุด ถ้าถามความรู้สึกว่ากลัวไหม มันยิ่งกว่ากลัวเสียอีก มันเป็นความทรงจำที่ยามหลับก็ยังผวา เพราะความกลัวยังติดตาอยู่ตลอด"
ดารุณ เผยศิริ หนึ่งในผู้สูญเสียในอีกหลายๆ ครอบครัวซึ่งนอนที่ศาลากลาง จ.ภูเก็ต กล่าวกับ" ประชาไท"

บ้านดารุณอยู่ที่ท่าเรือรัชฎา หมู่ 7 อ.เมือง จ.ภูเก็ต ในวันที่เกิดเหตุ ทุกคนในครอบครัวรอดชีวิตจากคลื่นยักษ์แต่ทรัพย์สินที่สะสมมาตลอดชีวิตสูญหายไปกับคลื่นหมด

ตอนอาศัยนั่งรถคนแถวบ้านหนีขึ้นบนภูเขาข้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ตามสี่แยกไฟแดงเต็มไปด้วยอุบัติเหตุ มีรถชนกันทุกไฟแดง เพราะต่างคนต่างก็รีบหนีกัน ทำให้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเยอะมาก

หลังจากเหตุการณ์สงบ ครอบครัวดารุณอพยพครอบครัวมาอยู่ที่ศาลากลางฯ พร้อมๆ กับคนอื่น ซึ่งไม่มีใครกล้ากลับไปบ้านเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกเมื่อไร อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของสภากาชาดที่ดูแลชาวบ้าน บริการดีมาก มีอาหาร มีน้ำให้กินทุกมื้อ

ที่ศาลากลางฯ มีคนมาพักอยู่มากทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แต่เห็นคนต่างชาติเยอะกว่าเพราะเขาเอามาจากหลายเกาะหลายที่ ดารุณเล่าว่า เห็นเจ้าหน้าที่ส่งคนต่างชาติกลับบ้านแล้วก็เศร้าใจ เพราะพวกเขายังมีบ้านให้กลับในขณะที่ครอบครัวของเธอและอีก 8 ชีวิต ไม่มีบ้านให้กลับไปอีก

หรือถ้าได้กลับไปจริงๆก็คงอยู่อย่างหวาดผวา ภาพคลื่นสีดำม้วนตัวกวาดบนฝั่งยังติดตา จะให้หลับลงก็คงหลับไม่สนิท

ดารุณบอกว่า หลังจากมีคนอพยพมามากขึ้น ทำให้ข้าวของ เครื่องใช้ที่ศาลากลางขาดแคลนมาก ยิ่งครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ 4 คนอย่างเธอ เสื้อผ้าหรือนมที่จะให้เด็กแทบไม่มี

"ไปขอเสื้อผ้าเด็กจากเจ้าหน้าที่ เขาก็ให้มาแค่ชุดเดียว บอกเขาว่า มีเด็ก 4 คนให้มาชุดเดียวไม่พอ เขาบอกว่าต้องแบ่งให้คนอื่นด้วย ไปขอเขาก็ได้มาอีกเพียงชุดเดียว แต่ก็โชคดีที่สนามหญ้าหน้าศาลากลางลมแรง ยุงจึงกวนไม่มากนัก"

ดารุณบอกว่า ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นตรงไหน จะกลับบ้านไปก็ไม่รู้จะอยู่ได้ยังไงเพราะพังหมด มีแต่โคลน อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่มี พูดตรงๆคือไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว จะไปซื้อหากก็คงไม่ได้ อุปกรณ์สร้างบ้านใหม่ก็ยังไม่รู้จะเอาที่ไหน

"ตอนไปขอนมจากเจ้าหน้าที่เขาก็ถามอยู่บ่อยๆว่า ทำไมยังไม่กลับบ้าน พี่ก็บอกว่าไม่มีบ้านให้กลับแล้ว เขาก็เฉยๆ บางทีก็ต่อว่าบอกว่าไม่ต้องมารับของบริจาคหลายครั้ง พี่เลยบอกว่ามีเด็กหลายคน เอาเทียวเดียวของน้อยมาก ไม่พอกิน จะเอาเด็กมายืนยันว่ามีหลายคนก็ลำบากเพราะเด็กยังเล็ก จะหอบมาเข้าแถวคงไม่ไหว คนเยอะมาก"

นาง สาลี่ รอดเขียว อายุ 58 ปี ผู้รอดชีวิตแต่สูญเสียทรัพย์สินกล่าวว่า ตอนนี้เหลือแค่รถมอเตอร์ไซด์คันเดียว เพราะตอนหนีคลื่นวิ่งขึ้นรถมอเตอร์ไซด์มาพร้อมกับหลานสาว ส่วนคนอื่นที่บ้านไปตลาดสดในเมืองยังไม่กลับ

"ที่บ้านป้าอยู่กัน 3 คน กับลูกสาวและหลาน ที่บ้านขายของชำเล็กๆไม่ไกลจากเขต อ.เมืองมากนักเป็นทางไปเกาะพร้าว ข้าวของที่ซื้อเอามาขายหายไปกับตา เป็นหนี้เป็นสินเขาเพราะไปเชื่อเขามาขาย บางส่วนก็ออกเงินไปแล้ว ที่บ้านก็ไม่เหลือซากเพราะเป็นบ้านไม้ ลูกสาวเล่าว่าตอนได้ยินข่าวก็แทบจะเป็นลมเพราะไม่รู้ว่าป้ากับหลานไปอยู่ที่ไหน เขาตามหาป้าจนเจอกันที่ศาลากลาง พวกเราไม่มีที่อยู่ เลยอาศัยหลับนอนที่ศาลากลางก่อน"

ป้าสาลี่บอกว่า คิดกันว่าจะกลับบ้าน แต่ก็ยังรู้สึกกลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนบ้านบางคนกลับไปเก็บกวาดซากไม้ที่บ้าน พอกวาดโคลนออกแล้ว ก็กั้นห้องพออยู่ได้ เพราะรออย่างนี้ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เขาจะว่างมาช่วยได้ตอนไหน ป้ากับลูกๆหลานๆก็ว่าจะไปดูบ้างเหมือนกัน

"แต่เรามันคนจนก็ไม่รู้จะไปไหนได้ เจ้าหน้าที่เขาต้องช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิตก่อน เขาไม่ได้ว่างมาดูพวกเราเรื่องที่อยู่อาศัยว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป" ป้าสาลี่กล่าว

ศิริรัตน์ อนันต์รัตน์
ประชาไทรายงาน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net