Skip to main content
sharethis

เปิดบันทึกเหยื่อซึนามิ
เปิดบันทึก " ผู้ถูกคุกคาม " หลังเหตุการณ์ซึนามิ -1

หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันผ่านไปหลายเดือน ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ กรณีสิทธิที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของผู้ประสบธรณีพิบัติภัย ซึ่งเกิดการช่วงชิงความเป็นเจ้าของสิทธิที่ดินระหว่างประชาชน กับ รัฐ
และเอกชน ปัญหาที่ตามมาจากการช่วงชิง คือ การข่มขู่ คุกคามชาวบ้านผู้เรียกร้องสิทธิในพื้นที่ปัญหา

"แหลมป้อม" เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เกิดปัญหาดังกล่าว ชุมชนแหลมป้อม ตั้งอยู่ในเขตบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยมีเนื้อที่ 418 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านกว่า 70 ครัว
เรือน ซึ่งใน 70 ครัวเรือนดังกล่าวนั้นกว่า 50 ครัวเรือนมีบ้านเลขที่ ส่วนอีก 20 ครัวเรือนยังไม่มี

นายสุวิทย์ คงสงค์ หรือ บ่าว บ้านน้ำเค็ม หนึ่งในชาวบ้านแหลมป้อม เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า
มีการช่วงชิงเพื่อเป็นเจ้าของมาอย่างยาวนานแล้ว แต่หลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ซึนามิก็ได้มีการฉวยโอกาสไล่ชาวบ้านออกนอกพื้นที่ ดังนั้นการช่วงชิงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม โดยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างชาวบ้านกับเอกชน และมีกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่นซึ่งให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหน้า

"เมื่อปี พ.ศ.2546 พวกผมขึ้นศาล เพราะผมโดนฟ้องข้อหาบุกรุกที่ดินตัวเอง ผมก็ฟ้องบริษัทกลับข้อหาบุกรุกและทำลายทรัพย์สิน เพราะเขาเอาแบ็คโฮมาพังบ้านผม ผมดีใจที่ศาลยังเป็นที่พึ่งสำหรับประชาชนได้ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่ผมเป็นจำเลย ส่วนคดีที่ผมเป็นโจทย์ฟ้อง ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล หลังจากนั้นผมก็เลยโดนไล่ยิง" บ่าว น้ำเค็มกล่าว

สุวิทย์เล่าต่อว่า ปัญหาของที่ "แหลมป้อม" ที่เห็นได้ชัด คือ มีการจับมือกันระหว่างบริษัทนายทุนในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานปกครองท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ "สีกากี" เพื่อครอบครองสิทธิเหนือที่ดินแหลมป้อม

"ที่ดินที่นี่ราคาดีมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆก็ต้องการ แต่ที่นี่ คือ บ้านของพวกผม ผมไม่ขายให้ใคร" สุวิทย์กล่าวถึงสาเหตุของการแย่งชิงพื้นที่ดังกล่าว

สุวิทย์เล่าต่อว่า หลังจากเกิดกรณีคลื่นยักษ์ ชาวบ้านลืมเรื่องที่ดินหมด เพราะมัวแต่วุ่นวายในการหาศพญาติพี่น้อง แต่ก็เกิดปัญหาเหนือที่ดินขึ้นมาอีกระลอก เพราะบริษัทเอกชน ซึ่งมีกรณีพิพาทกับชาวบ้านได้ปิดกั้นพื้นที่ ไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปหาศพญาติพี่น้องข้างใน จนภายหลังนายกรัฐ
มนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ลงไปในพื้นที่ทำให้สามารถคลี่คลายปัญหาและสามารถเข้าไปหาศพญาติพี่น้องในผืนดินดังกล่าวได้ในที่สุด

สุวิทย์เล่าอีกว่า ต่อมาเมื่อมีองค์กรอิสระลงไปในพื้นที่เพื่อสร้างบ้านพักถาวร กระบวนการผลักดันชาวบ้านออกนอกพื้นที่ต่างๆนาๆก็เริ่มขึ้น ทั้งขอซื้อที่ดิน ทั้งข่มขู่ ในขณะที่ชาวบ้านก็พยายามเรียกร้องให้มีการพิสูจน์สิทธิความเป็นเจ้าของที่ดิน

"คนสีกากี ในพื้นที่พูดกับผมว่า คลื่นไม่เอามึงไปก็ดี แต่กูจะเอามึงไปแทน เขาเป็นคนที่เคยคุมรถแบ็คโฮมาพังบ้านของพวกผมมาแล้ว ตอนนี้ก็มาขู่เอาชีวิตอีก แล้วจะให้พวกผมหวังพึ่งใครได้
ในเมื่อคนที่จะพิทักษ์สันติของประชาราษฎร์มาเป็นเสียเอง" บ่าว น้ำเค็มกล่าว

บ่าวเล่าต่อว่า จากนั้นสถานการณ์ในพื้นที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ มีการส่งมือปืน ตั้งค่าหัวแกนนำชาวบ้านและส่งนักเลงเข้ามาในพื้นที่ ที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยังเป็นใจให้นายทุน
ทำให้สถานภาพการเอาชีวิตรอดเพื่อเรียกร้องสิทธิที่ดินของ "คนแหลมป้อม" อยู่ในขั้นวิกฤต

สุวิทย์เล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญชาวบ้านว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีมือปืนเข้ามาในพื้นที่ แต่โชคดีที่ชาวบ้านจำหน้าได้ว่า มือปืนดังกล่าวเป็นคนๆเดียวกับที่เคยเข้ามาข่มขู่ เมื่อครั้งที่มีการเอาแบ็คโฮมาพังบ้าน ชาวบ้านจึงแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับกุมดำเนินคดีได้อย่างทันท่วงที
แต่ไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินคดีได้มากน้อยแค่ไหน และถือเป็นโชคดีอีกชั้นที่วันดังกล่าวมีผู้สื่อข่าวมาทำข่าวด้วย ซึ่งมีผลให้หยุดข่มขู่ชาวบ้านไปชั่วคราว

"ผมยังโชคดีกว่าเจริญ วัดอักษร แกนนำคัดค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด ที่ถูกยิงตาย เพราะผมมีญาติพี่น้องเยอะ เขาก็พาหลบๆเวลาโดนไล่ยิง" บ่าวหัวเราะและกล่าวต่อว่า "ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากรัฐบาลมากหรอก
เพราะเขาเป็นผู้กำหนดนโยบายในขณะที่ในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติ อีกทั้งผู้ถือกฎหมายกลายมาเป็นคนละเมิดกฎหมายเสียเอง พวกเราเลยไม่รู้จะฝากความหวังไว้กับใคร"

สุวิทย์กล่าวในตอนท้ายว่า ชาวบ้านยังคงยืนยันที่จะต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินของตนต่อไปแม้ว่าจะโดนข่มขู่คุกคามเช่นไรก็ตาม เขาย้ำหลายครั้งกับ "ประชาไท" ว่า "ที่นี่บ้านผม ผมไม่ขายให้ใคร"

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆกรณีพื้นที่ซึ่งประสบปัญหาการแย่งชิงสิทธิที่ดิน และเป็นเรื่องที่รัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีที่ดินให้เกิดความกระจ่างโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เหตุการณ์ในพื้นที่รุนแรงจนนำมาสู่การสูญเสียเหมือนหลายๆกรณีที่ผ่านมา

ศิริรัตน์ อนันต์รัตน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net