Skip to main content
sharethis

เรียบเรียงจากเอกสารประกอบการชี้แจงของนายโสภณ สุภาพงษ์ ส.ว.กรุงเทพมหานคร อดีตผู้บริหารบริษัทน้ำมันบางจาก ที่เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548

----------------------

ท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้นัดพบผมและได้พูดคุยกันเรื่องเงิน 6,000 ล้านบาทเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาครับ ....

ก่อนอื่นผมใคร่เรียนว่า ไม่ได้เป็นเพราะมีสิ่งผิดปกติใดใดจึงพบกัน ผมกับนายกได้พบกันหรือโทรศัพท์กันเป็นส่วนตัว เป็นครั้งๆ ตามสมควรเช่นเดียวกับผู้อื่น ทั้งที่บ้านผม บ้านนายกฯ และที่อื่นๆ ตั้งแต่ก่อนและหลังเป็นนายกรัฐมนตรี พูดกันตั้งแต่เรื่องในประเทศไทยกับมหาอำนาจ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องคนจน สำหรับวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาได้พูดกัน เรื่องส่วนตัว เรื่องปัญหาภาคใต้ เรื่องการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลที่มีคนกลุ่มหนึ่งได้เอาเงินของประชาชนที่ใช้ดีเซลไป 6,000 ล้านบาท

เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสที่เป็นนโยบายรัฐบาล ผมจะเรียนให้ทราบในเรื่องเงิน 6,000 ล้านบาทที่พูดคุยกับนายกฯ สำหรับเรื่องส่วนตัวก็คงไม่สามารถเล่าได้ครับ

เพื่อสร้างความใจง่ายๆ ผมขอให้ความจริงโดยเบื้องต้น เป็นตัวเลขทั้งหมดดังนี้ครับ

ในปีผ่านมา รัฐบาลได้กำหนดโครงสร้างราคาขายปลีกดีเซล โดยให้ประชาชนจ่ายดีเซลโดยเป็นหนี้กองทุนน้ำมันไว้เพื่อชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมัน ลิตรละ 6 บาท รวม 1 ปี เป็นเงิน 75,000 ล้านบาท หนี้เงินชดเชย 75,000 ล้านบาทนี้ ประชาชนผู้ใช้ดีเซลจะต้องจ่ายคืนในวันข้างหน้า โดยกองทุนไปกู้เงินมาจ่ายชดเชยให้โรงกลั่นลิตรละ 6 บาทก่อน เพื่อให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันได้ซื้อน้ำมันดีเซลได้ในราคาที่ลดลงเหลือ 14 บาทต่อลิตร และนำไปบวกกำไรของตนเองอีก 1 บาทต่อลิตร แล้วจึงนำไปขายปลีกให้ประชนชนในราคาลิตรละ 15 บาทตามที่รัฐบาลกำหนด

ในวันที่ 22 มีนาคม 2548 นั้น สต๊อกน้ำมันดีเซลที่บวกกำไรแล้วในราคา 15 บาทต่อลิตรของบริษัทผู้ค้าน้ำมันในประเทศคาดว่ามีทั้งหมดประมาณ 2,000 ล้านลิตรซึ่งเป็นปริมาณทั่วไปที่รู้กัน แต่ปรากฏว่า เมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 22 มี.ค. รัฐบาลได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันขึ้นราคาขายน้ำมันดีเซลจาก 15 บาท เป็น 18 บาทต่อลิตร ได้ทันที !!

การกำหนดให้ขึ้นราคาน้ำมันได้ทันทีโดยไม่ค่อยๆลอยตัว จึงทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้กำไรเพิ่มอีกทันที 3 บาทต่อลิตร จากสต๊อกทั้งหมด 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 บาท ซึ่งเป็นการเอากำไรเกินควรเงิน 6,000 ล้านบาทนี้เป็นเงินของเราซึ่งเป็นผู้ใช้ดีเซลที่ได้จ่ายชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมันไปแล้วเพื่อให้นำดีเซลไปขายในราคาลดลงเหลือ ลิตรละ 15 บาท ไม่ใช่ 18 บาท เงิน 6,000 ล้านบาทเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ 75,000 ล้านบาท ที่ผู้ใช้ดีเซลจะต้องจ่ายหนี้คืนซึ่งจะรวมอยู่ในราคาดีเซลในวันข้างหน้าให้แก่กองทุนน้ำมันพร้อมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่าย

น่าเสียใจต่อผู้ใช้ดีเซลว่า นอกจากนี้จะต้องซื้อน้ำแพงขึ้น และยังต้องใช้หนี้อีก 75,000 ล้านบาทแล้วยังต้องชดใช้หนี้อีก 6,000 ล้านบาทเนื่องจากมีคนแอบขโมยไป

การดูแลรับผิดชอบการขึ้นราคานี้ เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรี และสำนักนโยบายฯ พลังงาน กระทรวงพลังงานครับ ไม่ใช่ผู้บริหารบริษัทฯ บริษัทเป็นผู้ทำตามครับ ....

ผมจึงได้เรียนให้ทราบว่า ได้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นแต่สามารถแก่ไขได้ โดยให้ตรวจเช็ครายงานตัวเลขบัญชีสต๊อกน้ำมันทั้งหมด และเรียกชดเชยของประชาชน 6,000 ล้านบาท ที่ผู้ค้าได้กำไรเกินควรคืน ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยใช้รายงานประจำวันที่บริษัทผู้ค้าน้ำ มันต้องรายงานอยู่แล้ว และนายกทักษิณมีอำนาจเรียกคืนตามกฎหมายอยู่แล้วเช่นกัน

ปรากฏว่าผู้บริหารใหญ่ของบริษัทฯผู้ค้า ปตท. รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ( อดีตผู้ว่า ปตท.) และสำนักนโยบายพลังงาน รวมทั้งกรรมการตรวจสอบซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ได้ร่วมกันออกมาแถลงและแจ้งต่อนายกฯ และครม. ว่าไม่ต้องคืนเงิน 6,000 ล้านบาท ไม่มีการกักตุนเพราะมีสต๊อกเหลือแค่ 1,100 ล้านลิตร ซึ่งดูจะเป็นการเบี่ยงเบียนประเด็นไปคนละเรื่องกับการเรียกเงินคืนเพราะกำไรเกินควร ไม่มีฝ่ายประชาชนผู้เสียเงินร่วมอยู่เลย

ดังนั้นเมื่อมีมติ ครม. โดยผ่าน นพ. พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ( อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน) ให้ผมไปร่วมฟังกรรมการตรวจสอบ ผมจึงได้เรียนปฏิเสธเพระว่าเป็นการตรวจสอบไปคนละเรื่องคนละประเด็น ผู้เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายผู้ได้เงินจากการขึ้นราคา ไม่มีฝ่ายประชาชนผู้เสียเงินร่วมอยู่เลย

คงเป็นเหตุที่ท่านนายกฯนัดพบผมเพื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผมได้ให้ความจริงนายกทักษิณดังนี้ครับ

ประการแรก ข้อมูลที่รัฐมนตรีและสำนักนโยบายฯ กระทรวงพลังงาน รายงานว่า ในคืนวันที่ 22 มีนาคม มีสต๊อกน้ำมันดีเซลของผู้ค้า 19 บริษัท ปริมาณ 1,100 ล้านลิตรเท่านั้น นั้นเป็นการบอกที่ไม่ครบ และไม่ให้ความจริง เพราะว่าไม่ใช่สต๊อกของทั้งประเทศ บริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่และรายย่อยตามข้อมูลราชการมีทั้งหมด 141 บริษัท ไม่ใช่มีแค่ 19 บริษัทตามรายงาน

นอกจากนั้นยังมีเรือประมงน้ำมันทั้งประเทศปริมาณมหาศาล มีปั้มน้ำมันอีก 18,947 แห ง บนรถน้ำมันอีกมากกว่า 2,000 คัน ในคลังน้ำมันของผู้ค้าส่ง ( จ๊อบเบอร์) 40-50 ราย และที่คลังน้ำมันชายทะเลที่เกี่ยวข้องกับน้ำเถื่อนอีกจำนวนมาก ปกติผู้ค้ารายใหญ่จะมีสต๊อกประมาณ 1,500 ล้านลิตร และรายย่อยมีรวมกัน ประมาณ 500 ล้านลิตร ( เหมือนกับทุกคนรู้ว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกครับ) ถ้าจะต่างจากตรงนี้ก็เพราะมีการยักย้ายถ่ายเทระหว่างกันเพื่อแอบเอาเงินชดเชยของประเทศไปเก็บซ่อนไว้

ได้มีเจ้าหน้าที่สรรพสามิต และพนักงานบริษัทโรงกลั่นใหญ่ๆ บางแห่งที่ชายทะเล โทรบอกผมว่ามีการนำน้ำมันชนิดอื่นใส่ถังดีเซลแทนเพื่อใช้เป็นตัวเลขสต๊อกตามกฎหมาย โดยรีบถ่ายเทดีเซลออกจากโรงกลั่นเพื่อรับเงินชดเชยลิตรละ 6 บาทจากประชาชน แทนการได้รับเพียง 3 บาท หลังวันขึ้นราคา

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้มีอำนาจกำหนดราคาทั้งหลายรู้ว่ารู้ล่วงหน้ากันมานานมากกว่า จะขึ้นราคาดีเซล 1 - 3 บาทต่อลิตร เหลือเพียงตัดสินใจว่า ทีเดียวหรือไม่ เท่านั้นเอง สังเกตได้ว่าหุ้น ปตท. ขึ้นจาก 167 บาทเป็นมากกว่า 210 บาทในช่วงเวลานั้น

ส่วนสต๊อกที่กระทรวงยังไม่ไม่รายงานให้นายกฯรู้นั้น สามารถหาได้ง่ายจากบัญชีสต๊อกน้ำมันซึ่งเป็นระบบที่สุจริตอยู่แล้วตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นรองผู้ว่า ปตท. และอยู่ในกรรมการนโยบายน้ำดูแลน้ำมันทั้งประเทศในรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อ 25 ปีก่อน ซึ่งควรพัฒนาให้สุจริตขึ้น

ผมเรียนนายกฯว่า ควรเรียกเงิน 3,300 ล้านบาทจาก 19 บริษัทคืนให้ประชาชนก่อน ส่วนที่เหลือก็เอาบัญชีน้ำมันที่ยังไม่รายงานมาดูและเรียกคืนเพิ่มเติมอีก ในเรื่องการเรียกเงินของประชาชนคืนนายกฯรับว่าจะไปติดตามเอาคืนมาให้ได้

ประการที่สอง จากรายงานของสำนักนโยบายฯ ที่แถลงสื่อมวลชน ที่พยายามบอกให้เห็นว่าสต๊อกของบริษัทผู้ค้ารายใหญ่มีต่ำ และไม่มีกักตุนนั้น มีความผิดปกติหลายประการ ประการหนึ่งที่สำคัญคือสต๊อกประจำวันของ ปตท. ได้ลดต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นปริมาณ เป็นเวลาต่อเนื่องเป็นเดือน แสดงว่ามีการสมคบของผู้ค้ารายย่อยกับคนสำคัญถ่ายน้ำมันที่มีเงินชดเชยของประชาชน 6 บาทต่อลิตรออกไป เก็บไว้ที่อื่นเพื่อขายเมื่อราคาสูง

กลุ่มนี้จะซื้อในชื่อปั้มเพื่อหลอกว่าประชาชนบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นซึ่งตรงกับคำพูดของสำนักนโยบาย ซึ่งเหมือนกับเหตุวิกฤติทางการเงินของประเทศ 2540 ที่มีกลุ่มคนรู้ว่า เงินดอลลาร์จะแพงขึ้น จึงมีการซื้อเอาเงินดอลลาร์ไปตุนจนหมดประเทศทำให้ประเทศล่ม ( ไม่มีใครหลอกครับจะแอบตุนเงินดอลลาร์ไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นการตรวจสต๊อกผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่แล้วบอกว่าไม่มีการกักตุนจึงดูแปลก เพราะถ้าจะตรวจสอบการกักตุนต้องไปตรวจสต๊อกผู้ค้ารายย่อย ผมไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร)

ในเรื่องนี้ นายกทักษิณ ได้พูดย้ำขึ้นเองหลายครั้งว่า ถ้าพบการทุจริตต้องลงโทษผู้ร่วมทุจริตให้ได้ และได้สั่งให้ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ไปจัดตั้งกรรมการใหม่ที่มีนักบัญชี และส.ต.ง.ตรวจสอบตัวเลขและติดตามเอาเงินคืนและได้ขอให้ผมมาช่วยบอกความหมายจริงของตัวเลขให้กรรมการชุดใหม่ด้วย

เรื่อง 6,000 ล้านนี้ ศูนย์สร้างสรรค์ประชาธิปไตย ของเสนาะ เทียนทอง ได้ขอให้ผมไปพูดวันเปิดศูนย์ฯ บังเอิญผมติดธุระ อย่างไรก็ดี คุณอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตย ได้มาพูดคุยคุยและนำข้อมูลไปด้วยแล้ว และคณะกรรมการวิสามัญสอบสวนการทุจริต วุฒิสภา ซึ่งมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน ได้แจ้งให้ผมไปร่วมประชุมเรื่องนี้ในวันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน 2548 เวลา 14.00 น. ที่ห้อง 114 รัฐสภา 2 ด้วยประการนี้ก็คงต้องมีผู้ติดตามคืนเงินให้กับผู้ใช้ดีเซลเพิ่มขึ้น สำหรับผมมีคนเดียว และใช้เบนซินครับ

ผมกับท่านนายกฯได้พูดกันเกี่ยวกับปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ใช้เวลานานมากกว่าเรื่องน้ำมันมาก ซึ่งผมได้เรียนถึงความจริงหลายประการที่สามารถทำให้ภาคใต้เกิดความสงบสันติสุข ซึ่งดูท่านนายกฯ แจ่มใสขึ้น หลายคนได้บอกว่าดูนายกทักษิณเปลี่ยนไป ผมว่า อาจไม่ใช่ นายกฯ อาจกลับมามากกว่าเปลี่ยนไป ผมจะขอเล่าเรื่องนายกฯเปลี่ยนไปหรือกลับมา ( เหมือนเดิม ถ้าเปลี่ยนก๊วน ) ในคราวหน้าครับ.....

"ที่ประชาชนถูกขโมยไป (6,000 ล้าน) เป็นช้างครับ ไม่ใช่มด และที่รายงานเป็นแค่หางช้าง"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net