Skip to main content
sharethis

กรุงเทพฯ- 10 พ.ค.48 เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ศาลนัดพร้อมฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 1021/2548 ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องต่อจำเลยอันได้แก่นายมุสตอปา เจ๊ะยะ อายุ 23 ปี อาชีพรับจ้าง อดีตพนักงานของบริษัทบริษัท พี ดี เอส คลีนนิ่ง ที่ดูแลความสะอาดในศาลากลางจังหวัดปัตตานี เป็นจำเลยที่ 1

นายอิลยาส หรือ อิสยาส ปันหวัง อายุ 24 ปี อดีตนายกสโมสรนักศึกษาวิทยาลัยอิสลามปัตตานี เมื่อปี 2544 และเป็นบัณฑิต ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อาชีพครูอาสา ของส่วนการศึกษานอกโรงเรียน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เป็นจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 3 ได้แก่ นายอุสมาน ปะซี อายุ 32 ปี และนายยูไล โสะปนแอ อายุ 22 ปี นักศึกษา ชั้นปีที่ 4 เอกอิสลามศึกษา โปรแกรมไทย วิทยาลัยอิสลามยะลา ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นจำเลยที่ 4

ทั้งนี้ หลังจากศาลอ่านคำฟ้อง จำเลยทั้งสี่ต่างปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและยืนยันจะสู้คดีต่อไป ในขณะที่อัยการฝ่ายโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานให้กับศาลในวันเดียวกัน โดยศาลนัดวันตรวจสอบพยานหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 1 ส.ค.ศกนี้ ที่ศาลอาญา

สำหรับรายละเอียดคำฟ้องคดีดังกล่าว โดยอัยการฝ่ายโจทก์ระบุฐานความผิดร่วมกันก่อการร้ายและร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 289, 91, 83, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2546 มาตรา 4

คำฟ้องระบุข้อความประกอบว่า "ข้อ 1 เมื่อประมาณปี พ.ศ.2534 กลุ่มก่อการร้ายในเขตพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ซึ่งประกอบด้วย กลุ่ม BRN และกลุ่ม BRN Coordinate กลุ่ม BRN คองเกรส ปูซากา ได้รวมตัวกันก่อตั้งองค์การทางการเมืองขึ้น เรียกชื่อว่า "ขบวนการเบอร์ซาตู" มีชื่อเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "BERSATU" อันเป็นคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการโดยมีวัตถุประสงค์ต้องการแบ่งแยกดินแดนซึ่งประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และอำเภอสะเดา อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ของประเทศไทย ออกจากการปกครองของประเทศไทย ตั้งตัวเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง เรียกว่า รัฐปัตตานี หรือ รัฐปัตตานีดารุสสลาม ไม่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของประเทศไทย

ขบวนการเบอร์ซาตู มีแผนยุทธวิธีในการดำเนินการแบ่งแยกดินแดน ด้วยการสะสมกำลังพล และอาวุธ ทำการโฆษณาชวนเชื่อ ยุยง และปลุกระดมราษฎรซึ่งนับถือศาสนาอิสลามและมีถิ่นที่อยู่ในเขต 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าวว่าดินแดน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามประวัติศาสตร์เป็นดินแดนของชนชาติมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ได้ถูกประเทศไทยเข้ารุกรานยึดครอง และรัฐบาลไทยได้ปกครองโดยไม่สนใจดูแลความเป็นอยู่ของราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลาม มีการกดขี่ข่มเหงราษฎรที่นับถือศาสนาอิสลาม ข้าราชการไทยปฏิบัติต่อผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ราษฎรที่ได้รับการโฆษณาชวนเชื่อ ยุยง ปลุกระดมดังกล่าวหลงเชื่อ เกิดความรู้สึกเกลียดชังราษฎรที่นับถือศาสนาพุทธ เกลียดชังข้าราชการและรัฐบาลไทย จึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกของขบวนการเบอร์ซาตู

ขบวนการเบอร์ซาตูยังให้ผู้ที่เป็นสมาชิกทำการแทรกซึมชักจูงวงศ์ญาติและเพื่อนฝูงที่สนิทเข้าเป็นสมาชิก หรือแนวร่วมของขบวนการเบอร์ซาตู สมาชิกขบวนการจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน ได้แก่ กลุ่มการเมืองท้องถิ่น กลุ่มสนับสนุนเงิน กลุ่มองค์กรศาสนา และกลุ่มปฏิบัติการก่อการร้าย เป็นต้น ขบวนการเบอร์ซาตูไดจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธทำการก่อการร้ายในพื้นที่ต่างๆ ในเขต 4 จังหวัดดัง
กล่าว โดยใช้อาวุธปืนลอบซุ่มยิง ใช้มีดฟันเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ผู้พิพากษา นักศึกษา เจ้าพนักงานตำรวจ ทหาร ข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ วางระเบิดสถานที่ต่างๆ

เมื่อขบวนการเบอร์ซาตูดำเนินการก่อการร้ายต่างๆ จนเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนในเขต 4 จังหวัดดังกล่าว จนรัฐบาลไทยไม่สามารถปกครองและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ต้องยอมแยกดินแดน 4 จังหวัดภาคใต้ดังกล่าวให้เป็นรัฐอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของประเทศไทยต่อไป

ข้อ 2. จำเลยทั้งสี่กับพวกอีกเจ็ดคนที่ยังไมได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ

2.1 เมื่อระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน 2547 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2547 เวลากลางวันต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยทั้งสี่กับพวกดังกล่าว ซึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการเบอร์ซาตู ในกลุ่ม BRN Coordinate ได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ในเขตพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยใช้อาวุธปืนยิงฆ่าเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน

ทั้งนี้ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อบังคับขู่เข็ญรัฐบาลไทย ให้ยินยอมแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา (บางส่วน) ของประเทศไทยออกจากราชอาณาจักรไทย เพื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระ ปกครองตนเอง เรียกว่ารัฐปัตตานีหรือรัฐปัตตานีดารุสลาม ไม่อยู่ภาย
ใต้อำนาจการปกครองของประเทศไทยตามวัตถุประสงค์ของขบวนการเบอร์ซาตู

เหตุเกิดที่ตำบลบานา, ตำบลสะบารัง, ตำบลตะลุโป๊ะ, อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี เกี่ยวพันกัน

2.2 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2547 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสี่กับพวกดังกล่าวโดยมีเจตนาฆ่า ได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงดาบตำรวจโมหามัด เบญญากาจ กระสุนปืนถูกดาบโมหามัด เบญญากาจ ที่บริเวณ สะบักขวา, หัวเหน่า (หัวหน่าว) และแขน เป็นแผลทะลุหน้าอก มีเลือด
ออกและปอดแตกทั้ง 2 ข้าง เป็นเหตุให้ดาบตำรวจโมหามัด เบญญากาจ ถึงแก่ความตายเพราะบาด
แผลดังกล่าว สมดังเจตนาของจำเลยทั้งสี่กับพวก ทั้งนี้ จำเลยทั้งสี่กับพวกได้กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ด้วยการวางแผนไว้ล่วงหน้า รายละเอียดบาดแผลและสาเหตุการตายปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายคำฟ้อง

เหตุเกิดที่ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี

ข้อ 3. ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2548 เจ้าพนักงานนำยึดได้โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 04 - 7486480 จำนวน 1 เครื่อง ที่จำเลยทั้งสี่กับพวกใช้เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารในการกระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 2.1 และ 2.2 อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 เป็นของกลาง

วันที่ 8 มกราคม 2548 เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ กับนำยึดได้ซิมการ์ดโทรศัพท์
เคลื่อนที่ หมายเลข 06 - 2909462 ซึ่งใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยทั้งสี่กับพวกใช้เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารในการกระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 2.1 และ 2.2 เป็นของกลาง

วันที่ 14 มกราคม 2548 เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยที่ 3 ได้

วันที่ 21 มกราคม 2548 เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 4 ได้นำส่งพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ของกลางเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสี่ ถูกควบคุมตั้งแต่วันที่ถูกจับกุมตลอดมา โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำที่ พ.43/2548 จำเลยที่ 3 ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำที่ พ.77/2548 และจะเลยที่ 4 ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำที่ พ.130/2548 ขอศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสี่มาพิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย

อนึ่ง คดีนี้พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 5/2548 ลงวันที่ 6 มกราคม 2548 ได้ทาการสอบสวนคดีนี้ และฝากขังจำเลยทั้งสี่ในเขตอำนาจของศาลนี้ และเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง หากจำเลยทั้งสี่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยทั้งสี่อาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรืออาจหลบหนี โจทก์จึงขอคัดค้านการประกันตัวจำเลยทั้งสี่"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net