ประชาไท -- 31 พ.ค.48 ครม. มีมติอนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) หรือ สบพ.ออกและเสนอขายตราสารหนี้ (พันธบัตร)ให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันและประชาชนทั่วไป จำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท ซึ่งการเสนอขายตราสารหนี้ดังกล่าว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยตราสารหนี้ดังกล่าวจะเสนอขายเป็นชุดๆ กำหนดช่วงเวลาและอายุการไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี

ทั้งนี้ การออกตราสารหนี้ดังกล่าว สบพ.จะนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนฯ

กระทรวงการคลัง รายงานว่า ภายหลังรัฐบาลได้ประกาศตรึงราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95,91 และดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยให้ สบพ. จัดหาเงินทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ สบพ. กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ จำนวน 63,000 ล้านบาท

กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของภาครัฐไม่สามารถค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้น หรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ของหนี้ที่เกิดจากการก่อหนี้ของ สบพ. ได้อีกต่อไป ตามข้อบัญญัติห้าม มาตรา 19 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548

และสบพ.ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงทำให้สบพ.ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ สบพ. จึงต้องออกตราสารหนี้ดังกล่าวเพื่อให้ สบพ.มีเงินชำระหนี้เงินกู้ที่ครบชำระและหนี้ที่ค้างชำระ ตลอดจนให้กระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างต่อเนื่อง และกองทุนมีสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งเพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง

ขณะนี้ สบพ.จะต้องเริ่มทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป และกองทุนฯ ยังคงมีภาระในการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ โดยปัจจุบันอัตราเงินชดเชยสุทธิของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.90 บาท /ลิตร

ธิติกมล สุขเย็น