Skip to main content
sharethis

ประชาไท-12 มิ.ย. 48 "ทำอย่างไรให้ภูมิคุ้มกันเดิมอยู่ได้ ชาวบ้านบางคนกลัวที่จะเจอผม เพราะกลัวว่า จะถูกมองว่าคาบข่าวมาบอกแล้วจะไม่ปลอดภัย ภูมิคุ้มกันในอดีตต้องคุมให้อยู่อย่าให้ อาณาจักรความกลัว ขยาย" นายพงศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเมืองยะลา กล่าวในเวทีเสวนา ข้อเท็จจริงจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วันนี้(12 มิ.ย.)

นายกเทศมนตรีเมืองยะลา กล่าวต่อว่า ในอดีตพื้นที่ชายแดนภาคใต้มีภูมิคุ้มกันที่จะทำให้ทั้ง
วัฒนธรรมพุทธและอิสลามอยู่รวมกันได้ แต่ปัจจุบันเริ่มจางหายไป เมื่อเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นยืดเยื้อยาวนานจนกลายเป็นอาณาจักรแห่งความกลัว จนทำให้วิถีชีวิตของคนในทั้งสองวัฒนธรรมเริ่มเปลี่ยนไป เกิดความระแวงและมีการตั้งแง่ระหว่างกันอย่างเห็นได้ชัด

"ต้องเปิดโอกาสให้ทั้งพุทธและมุสลิมแสดงออกอย่างเท่าเทียม ในกรณีตากใบเริ่มมีการมองว่าเอาเงินไปช่วยโจรเพราะไม่ได้ช่วยไทยพุทธ ต้องบาลานซ์ความรู้สึกของคนทั้งสองฝ่ายให้ได้ อย่าให้ความรู้สึกดังกล่าวขยายวง ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นมากในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้" นายพงศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายพงศักดิ์ ระบุว่า ความรู้สึกระหว่างดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเรื่องศาสนา เพียงแต่ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือจากคนบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ต่างจากในอดีตถึงมีการเรียกเก็บค่าคุ้มครอง แต่ก็รู้ว่าเป็นกลุ่มที่มีเจตนาหวังผลประโยชน์ชัด แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนอกจากจะไม่รู้กลุ่มผู้กระทำแล้วยังสร้างความกลัวบนพื้นที่อย่างมาก

นายพงศักดิ์ เห็นว่า ควรกลับมาให้ความสำคัญในระดับชุมชนและทำให้ภาพความหลากหลายทางวัฒนธรรมสามรถอยู่รวมกันได้เหมือนในอดีตกลับมา โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดทั้งสองวัฒนธรรมต้องเรียนรู้กันและกัน

นอกจากนี้ในระดับประเทศต้องปรับหลักสูตรการศึกษาให้มีการเรียนรู้และทำความเข้าใจในทุกศาสนา เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างความเกลียดชัง และมองว่า คนในสามจังหวัดเป็นพวกสร้างปัญหา

"ปัจจุบันรถทะเบียนยะลา ปัตตานี เวลานำไปจอดที่หาดใหญ่ก็โดนกรีด เพราะถูกมองว่าสร้างปัญหาดังนั้นต้องสร้างความเข้าใจตั้งแต่ในชั้นชุมชน เพราะคนรุ่นก่อนก็อยู่กันอย่างสันติสุข " นายพงศักศิ์ระบุ

นอกจากนี้นายเทศมนตรีเมืองยะลายังได้กล่าวสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังเผชิญอยู่ว่า ขณะนี้คนในสามจังหวัดภาคใต้กำลังว้าเหว่จนทำให้เกิดการอยากย้ายถิ่นฐาน การต้องเผชิญกับลูกระเบิดนั้นในพื้นที่ยังพอทนได้ แต่รัฐเองกลับทำให้รู้สึกอย่างนั้น เพราะขอเสนอต่างๆไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐ

อย่างไรก็ดี เทศบาลเคยรวบรวมปัญหาเสนอ ผู้ว่าราชการจังหวัดและกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่คำตอบแบบรัฐคือ ช่วยไม่ได้ เนื่องจากไม่รู้จะหาคำอธิบายให้พี่น้องภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนืออย่างไร หรือโครงการต่างของรัฐที่บอกว่าจะมาลงในพื้นที่ แต่ในความเป็นจริงก็ไปลงที่จังหวัดอื่น เพราะถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากเข้ามาในพื้นที่เสี่ยง

ส่วนนักธุรกิจในพื้นที่เองที่เป็นรายใหญ่ก็เริ่มหาทางขยับย้ายไปตลาดพื้นที่อื่นแล้ว เช่น กลุ่มไม้ยางซึ่งเคยเป็นรายได้หลักของพื้นที่ก็กำลังขยับฐานไปทางภาคตะวันออก เศรษฐกิจขนาดเล็กถ้าเป็นคนนอกเข้ามาลงทุนก็เริ่มย้ายกลับ

สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐเองที่ส่งมาทำงานในพื้นที่ก็ไม่มีความจริงใจ ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญ บางคนมาเพื่อหวังตำแหน่ง เงินเพิ่มขั้นและสิทธิพิเศษต่างๆ เมื่อมาถึงเพียงวันเดียวก็ทำเรื่องขอย้ายทันทีทั้งๆที่ไม่มีผลงานเลย

ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net