Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ด้วยพระนามของอัลลอฮผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่ง มวลการสรรเสริญแด่พระองค์ ขอความสันติจงมีแด่ท่านศาสดามุฮำมัดและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน


 


ปัจจุบันมีการพูดและแสดงความคิดเห็นกันมากเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอาน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้ทีจะต้องชี้แจงเพื่อความกระจ่างและขจัดความสับสนของสังคม


 


ความมหัศจรรย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน


 


ถ้าใครสักคนหนึ่งจะออกมาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของทฤษฎีหรือสัจธรรมอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นก็จะต้องมีหลักฐานและข้อพิสูจน์มายืนคำกล่าวอ้างของตน โดยเฉพาะในยุคก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยิ่งถ้าเป็นการกล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าและสิ่งที่มองไม่เห็นหรือการอ้างตัวเป็นศาสดาด้วยแล้วยิ่งต้องมีหลักฐานและข้อพิสูจน์มายืนยันให้เป็นที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก


 


เมื่อตอนที่นบีมูซา(โมเสส)ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้าให้เป็นศาสนทูต (รอซูล) ของอัลลอฮฺ (พระเจ้า)เพื่อนำสาส์นของพระองค์ไปยังลูกหลานของอิสราเอลนั้น ผู้คนของท่านได้ขอให้ท่านแสดงหลักฐานอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันสาส์นของท่านและการเป็นศาสนทูตของท่าน


เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องคาถามายากล อัลลอฮฺก็ได้ประทานปาฏิหาริย์แก่นบีมูซาประเภทเดียวกับที่ผู้คนของท่านรู้จักกันดีทั้งนี้เพื่อที่ปาฏิหาริย์นั้นจะได้เป็นที่ชัดเจนแก่พวกเขา กล่าวคือ พระองค์ให้ประทานไม้เท้าที่จะกลายเป็นงูใหญ่ซึ่งจะกินงูเล็กที่พวกนักคาถามายากลและพวกพ่อมดหมอผีสร้างขึ้นมา (นี่เป็นหนึ่งในบรรดาปาฏิหาริย์ที่นบีมูซาได้รับ) ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺประทานแก่นบีมูซาได้ทำให้บรรดานักคาถามายากลเกิดความเชื่อมั่นในศาสนาของท่าน ดังนั้น พวกนักคาถามายากลจึงได้ยอมก้มกราบต่อพระอัลลอฮฺก่อนที่จะขออนุญาตต่อฟาโรห์และรู้ดีถึงสัจธรรมที่นบีมูซานำพร้อมกับปาฏิหาริย์เป็นสิ่งยืนยัน


ผู้คนในสมัยนบีอีซา(พระเยซูในศาสนาคริสต์)ก็มีความรู้ในเรื่องการรักษาโรค ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ช่วยเหลือท่านด้วยการประทานปาฏิหาริย์ในลักษณะที่ผู้คนของท่านมีความรู้ นั่นคือ การทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาด้วยการอนุมัติของพระองค์เช่นเดียวกับการรักษาคนตาบอดให้มองเห็นและคนโรคเรื้อนให้หายจากโรคดังกล่าว


คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า : "ฉันได้มายังพวกท่านพร้อมกับสัญญาณหนึ่งจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน คือฉันปั้นดินเป็นรูปนกต่อหน้าพวกท่าน แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันจะกลายเป็นนกโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันรักษาคนตาบอดและคนโรคเรื้อนและให้ชีวิตแก่คนตายโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันแจ้งให้พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านกินและสิ่งที่พวกท่านสะสมในบ้านของพวกท่าน แท้จริง ในนั้นมีสัญญาณสำหรับพวกท่าน ถ้าพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา" (กุรอาน 3:49)


เนื่องจากคำสอนนบีมูซาและนบีอีซานำมานั้นเป็นคำสอนสำหรับชนชาติของท่านเป็นการเฉพาะและยังไม่ได้เป็นคำสอนที่สมบูรณ์ตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติ(ตามทรรศนะศาสนาอิสลาม) ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำคำสอนตลอดกาลมายังมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้ทรงกำหนดให้ท่านนบีมุฮัมมัดเป็นนบีคนสุดท้ายที่จะนำคำสอนตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติมา


คำสอนของนบีมุฮัมมัดจึงเป็นตราประทับของคำสอนทั้งหมดที่นบี(ศาสดา)ก่อนหน้านี้นำมาและเป็นคำสอนที่เพียงพอสำหรับมนุษยชาติตราบจนถึงวันสิ้นโลก เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือนบีมุฮัมมัดด้วยปาฏิหาริย์ที่จะดำรงอยู่ตราบจนถึงวันสิ้นโลก และนั่นก็คือคัมภีร์อัลกุรอานที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวของบรรดาคนก่อนหน้านี้และเรื่องราวของบรรดาผู้ที่จะมาหลังจากนั้น


หลักฐานที่เชื่อถือได้ที่สุดสำหรับการยืนยันว่านบีของมุฮัมมัดเป็นรอซูล (ศาสนทูต) ถูกเก็บไว้ในคัมภีร์เล่มนี้เป็นเวลา 14 ศตวรรษโดยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงตั้งเริ่มต้นจนถึงวันนี้และก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจนถึงวันสุดท้าย ถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะมีการท้าทายของบรรดาผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน แต่ความพยายามของคนเหล่านั้นก็ต้องประสบความล้มเหลว เพราะอัลลอฮฺถือว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะรักษาหลักฐานเหล่านั้นไว้


บางคนถามว่า "ถ้ามุฮัมมัดเป็นนบีคนสุดท้ายแล้ว เราจำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์ยืนยันคำกล่าวอ้างที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยของเราเหมือนกับที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้"


คำตอบก็คือ ในคัมภีร์อัลกุรอานมีความจริงมากมายหลายอย่างซึ่งได้ถูกประทานมาเมื่อ 14 ศตวรรษก่อนหน้านี้ แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อเร็วๆนี้และได้ยืนยันปาฏิหาริย์ของนบีมุฮัมมัด นั่นคือ คัมภีร์อัลกุรอาน ต่อไปนี้เป็นหลักฐานเพียงบางส่วนที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ :


 


1) อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า : "พระองค์ได้ให้ทะเลทั้งสอง (น้ำเค็มและน้ำจืด) มาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างทั้งสองนั้นคือแนวขวางกั้นมิให้ทั้งสองล้วงล้ำกัน แล้วความโปรดปรานอันใดเล่าของพระผู้อภิบาลของสูเจ้าทั้งสอง (ญินและมนุษย์) ที่สูเจ้าจะมาปฏิเสธ?" (กุรอาน 55: 19-21)


วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงการมีอยู่ของแนวขวางกันน้ำซึ่งแยกน้ำจืดและน้ำเค็มออกจากกันภายในมหาสมุทรและทะเลรอบโลก แนวที่ขวางกั้นนี้ถูกดาวเทียมนอกโลกถ่ายภาพได้ แล้วใครที่บอกให้มุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือและอาศัยอยู่ในทะเลทราย ไม่เคยนั่งเรือหรือเห็นมหาสมุทรให้รู้ถึงความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ?


2) วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ค้นพบขั้นตอนการวิวัฒนาการของตัวอ่อนในมดลูกของแม่ เรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากโลกได้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และได้มีการพูดกันอย่างยืดยาวในศตวรรษที่ 20 นี้เอง แต่คัมภีร์อัลกุรอานได้พูดถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนในสมัยที่ผู้คนยังใช้อูฐ ม้า ลาและล่อเป็นยานพาหนะ


อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า : "มนุษย์เอ๋ย ถ้าหากสูเจ้ายังสงสัยคลางแคลงเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพหลังความตายอยู่ สูเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่าเราได้สร้างสูเจ้ามาจากดินในตอนแรก หลังจากนั้นก็จากหยดอสุจิ แล้วก็จากก้อนเลือด แล้วก็จากก้อนเนื้อทั้งที่เป็นรูปร่างสมบูรณ์หรือไม่เป็นรูปร่าง ก็เพื่อที่จะทำให้ความจริงเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับสูเจ้าและเราได้ทำให้อสุจิที่เราประสงค์เหล่านั้นอยู่ในมดลูกชั่วระยะเวลาที่กำหนดไว้ หลังจากนั้น เราก็ให้สูเจ้าคลอดออกมาเป็นทารกหลัง จากนั้น เพื่อสูเจ้าจะได้บรรลุวัยผู้ใหญ่และในหมู่สูเจ้านั้นอาจมีบางคนที่ถูกเรียกกลับก่อนและบางคนที่กลับไปสู่วัยอันน่าสังเวชเพื่อที่เขาจะไม่รู้อะไรเลยหลังจากที่ได้รู้ทุกสิ่งที่เขาสามารถแล้วและสูเจ้าได้เห็นแผ่นดินแห้งแล้ง แต่เมื่อเราได้ส่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็ร่วนซุยและทำให้พืชพันธุ์หลากชนิดมีชีวิตงอกเงยออกมา" (กุรอาน 22:5)


ใครบอกมุฮัมมัดเกี่ยวกับความรู้ที่ถูกซ่อนเร้นนี้ ?จะมีใครเสียอีกนอกจากอัลลอฮฺนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อที่กุรอานจะได้เป็นสาส์นอันนิรันดรและเป็นสาส์นสุท้ายของบรรดาสาส์นที่มาก่อนหน้านี้จนกระทั่งถึงวันสิ้นโลก


3) อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า : "บรรดาผู้ปฏิเสธไม่พิจารณาหรือว่าชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในตอนแรกนั้นเป็นมวลเดียวกัน หลังจากนั้น เราได้แยกมันออกจากกัน และเราได้สร้างทุกสิ่งที่มีชีวิตจากน้ำ ? แล้วพวกเขายังไม่เชื่ออีกหรือ ?" (กุรอาน 21:30)


เป็นไปได้อย่างไร ? ใครบอกนบีมุฮัมมัดว่าโลกและชั้นฟ้าเคยรวมอยู่ด้วยกันเป็นมวลเดียว ? อัลลอฮฺผู้ทรงเลือกนบีมุฮัมมัดให้เป็นนบีคนสุดท้ายและเป็นศาสนทูตของพระองค์ยังมนุษยชาติต่างหาก


ดังนั้น ลองพิจารณาหลักฐานดังกล่าวมาข้างต้นนี้และลองคิดถึงเรื่องการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน กลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มหาสมุทรและทะเลและสิ่งมีชีวิตอีกมากมายสุดคณานับที่อาศัยอยู่ในนั้นดู สิ่งเหล่านี้ไม่มีผู้สร้างที่คอยควบคุมมันไว้เพื่อมนุษยกระนั้นหรือและการที่อัลลอฮทรงควบคุมมันไว้นั้นมิได้มีวัตถุประสงค์อะไรหรือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เลยกระนั้นหรือ ?


ถ้าหากใครสักคนจะใช้เงินของตนโดยไม่รู้ว่าใช้ไปเพื่ออะไร เราก็จะถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนไร้ความคิด แล้วอัลลอฮฺกับจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เล่า ? อัลลอฮฺทรงสร้างมันขึ้นมาโดยไร้วัตถุประสงค์และประโยชน์กระนั้นหรือ ? ความจริงแล้ว อัลลอฮฺได้ทรงสร้างจักรวาลมาเพื่อวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่ กล่าวคือ เพื่อที่เราจะได้เคารพภักดีพระองค์และยอมตนต่อพระองค์และปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องของพระองค์



ไม่มีทางใดไปสวรรค์นอกจากหนทางของท่านนบีมุฮัมมัดเพียงทางเดียวเท่านั้น ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่จะมายืนยันในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเครื่องบอกทางง่ายๆสำหรับใครก็ตามที่มีหัวใจและสามารถได้ยินและมองเห็น จงคิดถึงสิ่งเหล่านั้นและยืนยันด้วยตัวของคุณเองและปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้องก็แล้วกัน เพราะปลายทางชีวิตของคุณก็คือสวรรค์หรือไม่ก็นรก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net