"จริงๆ แล้วกรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่ใกล้พื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวเท่ากับเชียงใหม่ แต่กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงอันตรายมากกว่า เนื่องจากมีฐานรากเป็นดินอ่อน ซึ่งเมื่อเกิดแรงสะเทือนจากแผ่นดินไหว ก็จะส่งผลกระทบทำให้โครงสร้างอาคารหรือตึกสูงทรุดตัวลงได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างจากจุดเกิดแผ่นดินไหวก็ตาม" นายอดิศร ฟุ้งขจร หัวหน้าสถานีตรวจแผ่นดินไหวเชียงใหม่ กล่าว
นายอดิศร ฟุ้งขจร หัวหน้าสถานีตรวจแผ่นดินไหวเชียงใหม่กล่าวว่า นอกจากพื้นที่ที่อยู่ในเขตรอยเลื่อนพาดผ่านทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกขึ้นไปถึงพม่า จะเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวแล้ว กรุงเทพฯ เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากรอยเลื่อนดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อการขยายแรงสั่นสะเทือนของฐานรากซึ่งเป็นดินอ่อน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะทำให้โครงสร้างอาคาร ตึกสูงทรุดตัวลงได้
"หากดูจากสถิติที่ผ่านมา จะรู้เลยว่า การเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละครั้ง แม้จะอยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ แต่ส่งผลกระทบรับรู้ได้ อย่างเช่น กรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2546 เวลา01.16 น.ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง โดยมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศพม่า มีขนาด 6.7 ตามมาตราริคเตอร์ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าแผ่นดินไหวครั้งนั้น รู้สึกสั่นสะเทือนได้ในอาคารสูงบางแห่งของกรุงเทพฯ" นายอดิศร กล่าว
"ที่เป็นห่วงกรุงเทพฯ ก็เพราะว่า ในห้วงขณะนี้ จุดเกิดแผ่นดินไหวนั้น จะเกิดในแถบพม่าและเกาะสุมาตราสลับกันไปมา จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน หากเกิดแรงปะทุตรงกลาง ก็จะเกิดความเครียดที่ดันพุ่งเข้ามา และที่สำคัญ ฐานรากของกรุงเทพฯนั้นอ่อนมาก เป็นภาวะดินเหลว หากเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก็อาจการทรุดตัวของตึกได้" ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวกล่าว
นายอดิศรยังกล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้อง จะต้องเร่งหามาตรการที่จะป้องกันและแก้ไขโดยเฉพาะสถาปนิกที่ออกแบบโครงสร้างอาคารสูง จะต้องใช้ความรู้ไปช่วยกันป้องกัน รวมทั้งอาจจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคารในกรุงเทพฯ กันใหม่ นอกจากนั้นจำเป็นต้องเร่งทำความเข้าใจให้ประชาชนมีการตื่นตัวและเตรียมตั้งรับอย่างรู้เท่าทัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต