ขณะที่กองทุนต่างๆ กำลังหลั่งไหลอย่างท้วมท้นสู่ประชาชนรากหญ้า จากแรกเริ่มเดิมทีที่รัฐบาลใช้โครงการพัฒนาต่างๆ ลงไปยังภูมิภาคและท้องถิ่น จนปัจจุบันได้ขยับขยายสู่การลงเม็ดเงินโดยตรงมากขึ้น เพราะรัฐบาลเชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาความยากจนที่เป็นปัญหาหลักของประเทศได้ โดยหอบหิ้วเงินจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลงไปส่งให้ถึงหลังคาเรือน
แต่เชื่อไหมว่า กองทุนต่างๆ เริ่มต้นด้วยเม็ดเงินและจบลงด้วยเม็ดหนี้ทุกทีไป
กองเงินชุมชน เติมเท่าไรก็ไม่โต
นับตั้งแต่ปี 2538 กองทุนพัฒนาชนบทที่เริ่มจากรัฐบาลให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือที่คุ้นเคยในนามสภาพัฒนฯ ให้รับผิดชอบนำเม็ดเงินจำนวนหนึ่งให้ตกไปถึงมือประชาชน แต่ช่องทางขณะนั้นยังไม่เปิดโอกาสให้เข้าถึงได้ง่ายนัก ในที่สุดธนาคารออมสินก็เข้ามารับหน้าที่ดำเนินการต่อ นั่นคือโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กขคจ.)
ขณะที่ นายสุพจน์ อาวาส ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวถึง โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน หรือกขคจ.ว่า อยู่ในความดูแลของกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งทำหน้าที่ขับ เคลื่อนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดย กขคจ.เป็นเม็ดเงินที่ส่วนราชการดูแลอยู่ทั้งในระดับอำเภอและจังหวัด โดยมีวงเงิน 3.7 พันล้านบาท
ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชนเน้นส่งเสริมการออมและจัดการชุมชนเป็นหลัก ซึ่งกขคจ.มีกระบวนการติดตามตรวจสอบตามกฎหมาย และมีข้อดีส่งถึงกองทุนหมู่บ้านในเวลาต่อมา เพราะทำให้ชาว บ้านมองกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านว่ามีมาตรการเช่นเดียวกัน
ขณะที่ประชาชนได้อาศัยเม็ดเงินจำนวนมากมายทั้งเงินกู้ในระบบเช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสินเป็นต้น ทั้งนี้ชุมชนเองก็มีการจัดตั้งกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ ฯลฯ โดยส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบกึ่งระบบและกลุ่มพึ่งตนเอง รวมไปถึงยังมีเงินกู้นอกระบบที่ดูเหมือนจะไม่ลดลงเลย
สำหรับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปี 2544 สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.
นายสุพจน์ กล่าวถึงกองทุนหมู่บ้านว่า "มี 2 กลไกขับเคลื่อน นั่นคือ สำนักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง(สคบ.) ที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนด้านนโยบายและกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาและกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ให้เงินกู้ โดยสคบ.อนุมัติเงินกู้หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท ให้ชาวบ้านบริหารขับเคลื่อนกันเองจำนวนกว่า 75,000 หมู่บ้านหรือ 7.5 หมื่นล้านบาท"
นายสุพจน์กล่าวต่อไปอีกว่า การนำกู้เงินจากนอกระบบมาผ่อนชำระเกิดขึ้นจริง เป็นช่องโหว่และช่องว่าง เนื่องจากประธานกลุ่มกองทุนหมู่บ้านต่างๆ ต้องการให้ภาพพจน์ที่ดูดี มีการเช่าเงิน การขายเขียว และเพื่อลดกระแสเงินกู้นอกระบบก็ได้มีโครงการประนอมหนี้เข้ามา ซึ่งแต่ละจังหวัดมีปัญหาการชำระหนี้เฉลี่ยประมาณจังหวัดละ 3 ราย ประมาณ 1.4 หมื่นบาท
"บางจังหวัดมีหนี้ค้างชำระมาก โดยมาจากการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งบางคนมักบอกว่าเป็นเงินนายกไม่ต้องใช้คืน ซึ่งผมว่าเรายังอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์ในการทำความเข้าใจกับชาวบ้าน" นายสุพจน์ กล่าว
เอสเอ็มแอล ทุนใหม่ให้ฟรี
ส่วนที่ไล่หลังมาติดๆ คือโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน(เอสเอ็มแอล) มีลักษณะคล้ายกองทุนหมู่บ้าน แต่เป็นกองทุนให้เปล่าแบบต่อเนื่อง โดยให้แต่ละชุมชนเสนอโครงการเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาร่วมกัน ตามขนาดของจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ โดยแบ่งระดับหมู่บ้านเป็นระดับเล็กไม่เกิน 500 คน ระดับกลางไม่เกิน 1,000 คนและระดับใหญ่คือตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป โดยจะได้รับวงเงินตั้งแต่ 2.5 แสนบาท,3 แสนบาท และ 3.5 แสนบาทตามลำดับ ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยรายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 9 ส.ค. 48 ว่าได้อนุมัติงบประมาณไปแล้ว 1,838,000,000 บาท ซึ่งงบประมาณนี้ยังไม่ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน
ทั้งนี้ เอสเอ็มแอลมีความสัมพันธ์เชิงลึกด้านประชาคมมากกว่าทุกกองทุนที่ผ่านมา ซึ่งนายสุพจน์ เห็นว่าบุคคลหลักที่ขับเคลื่อนก็คือกรมการพัฒนาชุมชนเพราะถือว่าสันทัดเป็นพิเศษ และอาศัยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านเดิมเป็นแกนร่วมด้วย เท่ากับเป็นการเสริมเข้ากับเงินกองทุนหมู่บ้าน
ในขณะเดียวกัน สำหรับหมู่บ้านก็มีอยู่หลายกองทุน ซึ่งบางครั้งการบริหารยังไม่มีความไม่ชัดเจน และการจัดการกองทุนหมู่บ้านก็ยังไม่เรียบร้อยดีนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในปี 2551 ธนาคารชุมชน ที่กำลังจ่อคิวรออยู่ที่ประตูบ้าน ก็จะเริ่มทำหน้าที่กวาดเม็ดเงินรอบใหญ่เข้าระบบ หลังจากที่ปล่อยลงหมู่บ้านและชุมชนมามากแล้ว
สถาบันการเงินชุมชน รอกวาดเงินสู่ระบบ
ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐการใช้หรือการจัดตั้งธนาคารชุมชนไม่สามารถทำได้ เพราะขัดระเบียบของพ.ร.บ.ว่าด้วยการธนาคาร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กองทุนหมู่บ้านเดิมก็ทำหน้าที่คล้ายกับการทำงานกับธนาคารอยู่บางส่วน จึงใช้ชื่อว่า "สถาบันการเงินชุมชน" โดยกวาดเก็บเม็ดเงินหลายก้อนที่ฝังตัวอยู่ในชุมาชนให้เปลี่ยนผันและข้ามขั้นอีกก้าว
ขณะที่นายวิชล มนัสเอื้อสิริ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนอธิบายว่า "สถาบันการเงินชุมชนเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่ง ชาวบ้านอาจจะเอาไปรวมกับกองทุนหมู่บ้านด้วย ซึ่งอาจใช้มติของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตที่มีอยู่เดิม โดยหากมีเงินเหลือหรือขาดเงิน ก็สามารถเอาไปลงทุนร่วมได้"
นอกจากนี้นายวิชลกล่าวว่า ชุมชนนั้นมีทั้งทุนภายในและทุนภายนอกซึ่งมีความยั่งยืนต่างกัน สำหรับทุนภายในคือกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต ที่มีการกู้กันเองและให้มีคนค้ำประกัน 2 คนหมุนเวียนกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งกรมฯ ต้องเชื่อมั่นในหลักประกันดังกล่าว เพราะชาวบ้านอยู่ในชุมชนเดียวกัน อันจะก่อให้เกิดลักษณะการบีบทางชุมชน ซึ่งกรมฯ ส่งเสริมมากว่า 20 ปีแล้ว
"สหกรณ์ออมทรัพย์มักมุ่งคนมีรายได้ประจำแล้วใช้ระบบหักบัญชี เป็นการหาทางรักษาเงินในชุมชนเพื่อไม่ให้ถูกฉ้อโกง ส่วนสัจจะสะสมทรัพย์เป็นของเอกชนขึ้นอยู่กับแกนนำ ไม่มีหน่วยใดควบคุมการเคลื่อน กรมการพัฒนาชุมชนไม่เกี่ยว เพราะไม่อยู่ในระบบที่มีการจดทะเบียน ซึ่งมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.)เข้ามาดูแลอยู่" นายวิชลชี้แจง
ขณะเดียวกัน นายสุพจน์เห็นว่า ในเบื้องต้นโดยพฤตินัยชาวบ้านมีการบูรณาการทุนอยู่แล้ว แต่ว่าภายหลังมีการนำเงินกองทุนมารวมและให้ชุมชนกำหนดวงเงินกู้ เอาแผนพัฒนาชุมชนมาจัดระเบียบ ต่อไปก็จะใช้แผนแม่บทการเงินระดับฐานรากมาเชื่อมยึดโยงให้เข้มแข็งและเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางขึ้น
เงินก้อนสุดท้าย ที่รัฐคิดถึงท้ายสุด
เม็ดเงินที่ฝังรากอยู่ในชุมชน ที่มาจากการออมคนละเล็กคนละน้อย สะสมมาเป็นเวลานานของชาวบ้านเปรียบเป็นพลังเงียบ ซึ่งขณะนี้รัฐกำลังจับตามดูอย่างใกล้ชิด โดยอ้างว่าเดิมเป็นการจัดการที่สะเปะสะปะหาใครรับผิดชอบไม่ได้ ให้มาอยู่ในรูปสถาบันการเงินชุมชนหรือธนาคารชุมชน เพื่อให้มีระบบระเบียบและมีความมั่นคงเข้มแข็งขึ้น นั่นคือการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของเม็ดเงินชาวบ้าน
"กองทุนเงินในหมู่บ้าน ภายในชุมชนมีทั้งการระดมเงินออมและกองทุน 1 ล้านบาทรวมกัน โดยมีเงินออมทั่วประเทศประมาณ 6,320 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ 40% มาจากกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตเช่น กลุ่มแม่บ้าน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบไหมว่าบริบทชุมชนเป็นเช่นไร ความจริงแล้วมีเงินออมอยู่ในชุมชนมากว่า 3-4 แสนล้านบาท จากเงินออมหลายประเภทที่รัฐเข้าไปไม่ถึง" ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าว
ทั้งนี้พลเอก มนัส อร่ามศรี กรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภากล่าวว่า นอกจากกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตแล้ว ทุกหมู่บ้านก็มีกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ และกิจกรรมทุนต่างๆ ซึ่งเป็นกิจการในระดับล่าง โดยชาวบ้านเริ่มออมเงินกันมาตั้งแต่ปี 2538 ภายหลัง กรมการพัฒนาชุมชนและธนาคารออมสิน ได้เข้ามาทำโครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาชนบท สำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้ต่ำ เพื่อให้ผูกโยงกับธนาคาร แล้วทำอย่างไรไม่ให้กองทุนต่างๆ ที่มีอยู่สะเปะสะปะและมีความเสี่ยงเกิดขึ้นในกรณีที่กองทุนปล่อยกู้ การแก้ไขคือต้องมีการรวมศูนย์
"ก่อนหน้าในปี 2536 กรมการพัฒนาชุมชนส่งเสริมการออมเป็นหลัก ภายหลังจึงให้มีการปล่อยกู้และธนาคารออมสินได้ปล่อยทุน ซึ่งชาวบ้านออมก็ไปฝากธนาคารออมสินได้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 จึงหันมาปล่อยกู้จากกิจการออมทรัพย์ของชุมชนเองและกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 6.6 ส่วนเงินฝากให้ดอกเบี้ยถึงร้อยละ
ความเข้มแข็งที่ไม่คุ้นเคย
ดร.ปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบายว่า ทั้งกองทุนหมู่บ้านและเอสเอ็มแอล ล้วนมาจากนโยบายรัฐบาล สร้างความสามารถให้ชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งสมัยก่อนก็มีกองทุนเล็กๆ อย่าง กขคจ. ยังทำไม่ได้ทั่วประเทศ ภายหลังมีกองทุนเงินล้านก็ทำให้ทั่วถึงขึ้น ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมาจากรัฐบาลโดยตรง ส่วนสภาพัฒนฯ มีหน้าที่ติดตามประเมินผลเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้สภาพัฒน์ฯได้ชี้แจงถึงกองทุนหมู่บ้าน โดยสำรวจด้วยงบประมาณที่มีอย่างจำกัดไม่ถึง 1,000 ตัวอย่าง ตั้งแต่ปี 2545-2546 ส่วนใหญ่มีการกู้เพื่อใช้ในอาชีพเดิมประมาณ 60% ลงทุนอาชีพใหม่ 7-10% เท่านั้น กู้เพื่อการบริโภค 17% และกู้เพื่อใช้หนี้ประมาณ 10% โดยใช้เป็นทุนหมุนเวียนเป็นหลัก เงินกู้ครึ่งหนึ่งมีประโยชน์แต่ลงทุนอะไรไม่ได้จริงจัง เนื่องจากสมาชิกเยอะ แบ่งสันปันส่วนทำให้ต้องกู้จากแหล่งอื่นเพิ่มเติม แต่สมาชิส่วนใหญ่ 98% ชำระหนี้กองทุนได้
"4 ปีที่ผ่านไป กองทุนส่วนใหญ่กู้ไปทำอาชีพของตัวเอง ไม่ใช่ร่วมคิดร่วมทำในชุมชน ไม่ใช่เพิ่มศักยภาพมากขึ้น เนื่องจากเราไม่ห่วงเรื่องการบริหารโดยตรง เมื่อก่อนมีกขคจ.เราเน้นในพื้นที่และชุมชนว่าต้องมีการรวมตัวกัน ร่วมกันคิดเก็บข้อมูลชุมชน พัฒนาพื้นที่ตัวเองได้" ดร.ปรเมธี กล่าว
จากจุดนี้จึงรัฐบาลจึงริเริ่มโครงการเอสเอ็มแอลเพื่อให้ชุมชนได้ร่วมคิดร่วมทำ และจนมาถึงสถาบันการเงินชุมชนที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยนัก
ขณะที่ นายสุพจน์ อาวาส ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ อธิบายให้เห็นว่าสถาบันการเงินชุมชน เป็นนิติบุคคลขณะที่กองทุนหมู่บ้านต้องยังอยู่ โดยกิจการของสถาบันการเงินชุมชนเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งทำได้เฉพาะในหมู่บ้านหรือตำบลเท่านั้น
สถาบันการเงินชุมชนทำหน้าที่บริการได้แก่ ระดมเงินออม ให้กู้ยืมเงิน กู้ยืมเงิน และจัดบริการสาธารณะ การให้บริการทางการเงินเช่น รับชำระค่าบริหารต่างๆ ประกันชีวิต จัดสวัสดิการภายในชุมชน ฯลฯ ขณะนี้มีกระทรวงการคลังดูแลอยู่ โดยบรรจุกิจการของสถาบันการเงินชุมชนเป็นการเงินฐานราก
"ยังมีการเรียกชื่อที่ทำให้เกิดความไขว้เขว ชาวบ้านคุ้นกับคำว่าธนาคาร ทั้งนี้ขับเคลื่อนเกี่ยวเนื่องกับกองทุนหมู่บ้านที่มีธนาคารเข้ามาร่วมจัดตั้งและดำเนินการด้วย ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร" นายสุพจน์ ชี้แจง
การดำเนินการของกองทุนแห่งชาติให้ทั้ง 3 ธนาคารไปประเมินความพร้อม ดูศักยภาพประชาคมกับชาวบ้าน ดูว่า มีสภาพคล่องมีความพร้อมในการบริหารจัดการสาธารณูปโภค โดยทั้ง 3 ธนาคารต้องการจำลองธนาคารที่สมบูรณ์แบบ เจ้าหน้าที่ธนาคารไปดำเนินการด้วย
ทั้งนี้นายสุพจน์ได้ยกตัวอย่าง ธนาคารออมสินจะไปติดตั้งคอมพิวเตอร์จำนวน 100 เครื่อง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีเป้า 100 แห่ง ส่วนธนาคารกรุงไทยยังไม่กำหนดเป้าหมายการจัดตั้งสถาบันการเงินชุมชน เพราะขอให้นำรูปแบบที่ค่อนข้างมั่นใจและจัดสรรระบบให้เรียบร้อยก่อนจัดตั้งทั้งประเทศต่อไป เพราะถ้าเมื่อนำไปใช้แล้วการบริหารการจัดการใช้ไม่ได้ ก็จะทำเกิดความเสี่ยงขึ้นในชุมชน
"ธนาคารและรัฐขับเคลื่อนจัดตั้งแล้วกองทุนหมู่บ้านต้องยังอยู่ สถาบันการเงินชุมชนเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของกองทุนหมู่บ้าน และทำได้เฉพาะชุมชนในระดับตำบลเท่านั้น ซึ่งต้องมีความพร้อมสูงจึงจะจัดตั้งได้" นายสุพจน์ กล่าวในที่สุด
สถาบันการเงินชุมชน รีดรวมจากฐานราก
จากร่างแผนแม่บทการเงินระดับฐานรากกล่าวไว้ว่า ปัจจุบันประชาชนในประเทศไทยจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการเงินพาณิชย์ทั่วไปได้ จึงได้รวมกลุ่มเป็นองค์กรการเงินระดับฐานราก เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกในกลุ่มหรือชุมชน
ทั้งนี้ หลักการทำงานของสถาบันการเงินชุมชน คือ รับฝากเงินจากสมาชิกในลักษณะของการออม และนำเงินฝากเหล่านั้นไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิกที่มีความต้องการใช้เงิน เพื่อนำไปประกอบอาชีพหรือนำไปปลดหนี้เงินกู้นอกระบบ ทั้งนี้โดยไม่ต้องนำหลักทรัพย์ค้ำประกันและยังมีอัตราดอกเบี้ยและได้รับสวัสดิการต่างๆ
สามารถแยกองค์การการเงินในระดับฐานรากได้ 3 กลุ่มหลักได้แก่ กลุ่มในระบบ กลุ่มกึ่งในระบบ และกลุ่มพึ่งตนเอง ซึ่งสถาบันการเงินชุมชนมุ่งเน้นจะเข้ามาดูแลและจัดระบบใน 2 กลุ่มหลังเป็นสำคัญ
สำหรับกลุ่มกึ่งในระบบและกลุ่มพึ่งตนเองประกอบด้วย สหกรณ์ สหกรณ์เครดิตยูเนียน กลุ่มเครดิตยูเนียน กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต และกลุ่มออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งการบริหารจัดการมีทั้งที่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการและที่ประชาชนร่วมกำหนดขึ้น ซึ่งไม่มีเกณฑ์ความมั่นคงทางการเงิน และมีที่ไม่เข้มแข็งเพียงพอ อันอาจก่อให้เกิดปัญหาในสังคมชนบทได้
เนื่องจากแนวนโยบายของรัฐบาล ได้มุ่งเน้นที่จะส่งเสริมให้องค์กรการเงินระดับฐานรากเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถของชุมชน โดยองค์กรการเงินระดับฐานรากสามารถดำเนินงานด้วยตนเอง มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อเกื้อกูลช่วยเหลือกันในการพัฒนาระบบการเงินจากระดับฐานรากไปสู่ระบบการเงินระดับชาติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภายในปี 2551
คงต้องรอดูกันต่อไป เม็ดเงินที่กระเซ็นกระสายไปตามหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ กำลังจะถูกจัดระบบใหม่ แล้วเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่แต่ชุมชนเคยจัดการกันเองนี้จะมีเส้นทางอย่างไรต่อไป หรือว่าการตัดสินใจสุดท้ายจะไม่ใช่อยู่ที่เจ้าของเม็ดเงินเหล่านั้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)