ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนี้คงหลีกไม่พ้น "สื่อทีวี"
จะเห็นได้จากบริษัทโฆษณาจะทุ่มเทงบประมาณให้สื่อทีวีสูงที่สุดในสื่อทุกประเภท และยิ่งวันสื่อทีวีที่มีอยู่เพียงไม่กี่ช่องก็ผูกขาดความร่ำรวยเพิ่มยิ่งขึ้นไปด้วยตัวเลขรายได้จากโฆษณานับร้อยล้านบาทในแต่ละปี ยิ่งสื่อผูกขาดก็ยิ่งทำให้การควบคุมเนื้อหาทำได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น จึงพบว่าเนื้อหาสาระที่สื่อสารในทีวีล้วนถูกกำหนดจากกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่ม วนเวียนกันมาจัดรายการละคร โทรทัศน์ รายการข่าว การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้แก่ผู้รับสารก็เกิดขึ้นได้ยาก
การที่ผู้ชมรายการโทรทัศน์บ้านเราปล่อยให้สื่อเป็นผู้กำหนดเนื้อหาแต่เพียงฝ่ายเดียว เป็นผลทำให้สื่อโทรทัศน์ผูกขาดความคิดของคนในสังคมมากขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ในแวดวงนักวิชาการด้านสื่อ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิช และเอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสื่อภาคประชาชนจึงเกิดความคิดว่าเพื่อไม่ให้สถานีโทรทัศน์ผูกขาดความคิดของคนในสังคมจำเป็นต้องมีองค์กรตรวจสอบสื่อโทรทัศน์บ้าง จึงเกิด "โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อ" ขึ้น ทั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนการทำงานระยะเริ่มต้นจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้ประสานงานโครงการดังกล่าวชี้แจงว่าหน้าที่ของโครงการคือจัดกระบวนการให้สังคมมีการวิเคราะห์สื่อโทรทัศน์มากขึ้น มีหน้าที่เป็นกระจกแท้ ไม่ใช่การเสนอภาพที่บิดเบือน เราไม่ได้ทำหน้าที่ตัดสินว่าสื่อทีวีรายการแต่ละรายการดีหรือไม่ดี แต่จะให้ข้อมูลแก่สื่อและสาธารณชน ส่วนการตัดสินและเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของสื่อและสาธารณชน
รุกผู้รับสารวิเคราะห์สื่อ
"การทำหน้าที่ของเราเป็นเพียงการกระตุ้นให้สาธารณะโดยรวมเห็นว่าการรับสื่อต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ ต้องมีการพินิจพิเคราะห์ " เอื้อจิต กล่าวถึงบทบาทของผู้บริโภคสื่อที่อยากจะเห็นในอนาคต
การทำงานของโครงการเฝ้าระวังสื่อมีเนื้องานสำคัญคือพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้เป็นผู้รับสารที่มีประสิทธิภาพ หมายความว่าจะต้องรู้เท่าทันสื่อ วิเคราะห์เป็น โดยจะมีเครื่องมือเฝ้าระวังสื่อ คือ ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีความจุสูง สามารถบันทึกรายการที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ได้ทุกช่องเท่าที่อยากจะเก็บบันทึก
การเก็บบันทึกรายการจะสามารถนำมาฉายย้อนหลังและจับผิดรายการที่ออกอากาศไปแล้วว่ามีการนำเสนอเนื้อหาเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงแรกโครงการเฝ้าระวังสื่อได้เลือกตรวจสอบช่วงรายการเด็กและเยาวชนก่อน เพราะมีมติ ครม.ออกมาแล้วว่าช่วงเวลา 16.00-22.00 น. เป็นช่วงเวลาสำหรับรายการเด็กและเยาวชน โดยโครงการจะบันทึกเทปรายการที่ออกอากาศในช่วงดังกล่าวทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3,5, 7, 9, 11 และ ITV ว่าทำตามมติ ครม.หรือไม่ เพราะจากการประเมินคร่าว ๆ พบว่ารายการโทรทัศน์จำนวนมากยังไม่ใช่รายการสำหรับเด็กและเยาวชนจริง ๆ เป็นแค่รายการที่มีเด็กและเยาวชนมาร่วมรายการเท่านั้นเอง
เอื้อจิต เผยว่าหลังจากที่บันทึกเทปเสร็จแล้ว ทางโครงการจะนำมาแยกแยะดูว่ารายการที่นำเสนอในสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ มีรูปแบบอะไรบ้าง ลักษณะรายการเป็นอย่างไร เนื้อหาเป็นอย่างไร สัดส่วนที่เป็นเนื้อหาเท่าไหร่ โฆษณาเท่าไหร่ โดยใช้เกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้ว เช่น กระแสสังคมมีความเห็นอย่างไรต่อรายการนั้น ๆ แต่ไม่ได้ทำจากฐานคิดของตัวเอง หรือสรุปเอาเอง เป็นการรวบรวมความเห็นของสังคม หรือ feedback ของทั้งรายการทั้งคำชม คำติ
เมื่อได้ข้อมูลมาจะมีกรรมการวิชาการ เช่น อ.ประเวศ วะสี ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม สว.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ให้คำชี้แนะ อย่างไรก็ตามจะไม่ใช่งานวิจัยเต็มรูปแบบ แต่จะใช้เกณฑ์การเฝ้าระวังที่เชื่อถือได้ เช่น ถ้าเป็นรายการสำหรับเด็กก็จะนำเกณฑ์ของบีบีซีมาปรับประยุกต์ใช้ คือมีเกณฑ์เรื่องเซ็กส์ ความรุนแรง และการใช้ภาษาเป็นอย่างไรบ้าง
เอื้อจิต ย้ำว่าบทบาทของโครงการเฝ้าระวังสื่อไม่ใช่บทบาทขององค์กรที่ออกมาปฏิบัติการ แต่เป็นการทำหน้าที่ศึกษาและเสนอต่อสังคม ภายหลังที่ศึกษาเสร็จก็จะแถลงข่าวต่อสาธารณชน
"สิ่งที่เราทำคือเป็นกระจกสะท้อนให้สื่อและสาธารณชนเห็นว่า ตอนนี้น้ำหนักคุณเพิ่มขึ้นแล้ว อ้วนไปหรือผอมไป เป็นการเอาภววิสัยมาให้ดู แต่ไม่ได้บอกว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จะไม่ใช่การตัดสินสื่อ หรือทำให้เกิดจำเลยของสังคม" เอื้อจิตกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของโครงการ ส่วนหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของกลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคม และสื่อที่จะต้องร่วมกันปรับปรุงสื่อให้ดีขึ้นเอง
ร่วมกันปรับปรุงสื่อ
ปัจจุบันโครงการฯ เพิ่งดำเนินการในช่วงเริ่มต้น แต่ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยที่จะเปลี่ยนให้ผู้รับสารกลายเป็นผู้รับสารที่มีปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น ไม่ต้องทนดู ทนฟังกับรายการที่ไม่สร้างสรรค์ เนื้อหาวนเวียนซ้ำซากอยู่กับละครน้ำเน่า เกมโชว์ที่สอดแทรกความรุนแรง ค่านิยมฟุ้งเฟ้อ และต่าง ๆ อีกมากมายที่ล้วนถูกกำหนดจากผู้ผลิตรายการโทรทัศน์เพียงด้านเดียว
เอื้อจิต เผยว่าทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าผู้ผลิตสื่อโทรทัศน์ไทยล้ำหน้า มีศักยภาพมากทั้งด้านการผลิตและการตลาด แต่จะให้ดียิ่งขึ้นจะต้องมีสังคมคอยช่วยกันเป็นกระจกส่องว่าสื่อทำหน้าที่ได้ดีเพียงไร ดังนั้นการทำงานของโครงการจึงเป็นกระตุ้นคนในสังคม และกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในสังคมออกมามีปฏิบัติการต่อสื่อในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น เอื้อจิตย้ำว่านอกเหนือจากสื่อ ยังสามารถตั้งคำถามกับสถาบันอื่น ๆ ของสังคมได้ ไม่ได้หมายความว่าจะผลักภาระให้สื่อเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงกลุ่มเดียว แต่หมายถึงคนทุกกลุ่มในสังคมด้วยนั่นเอง
"จากการทำงานเบื้องต้นของเรา อาจจะเกิดองค์กรเฝ้าระวังสื่อในอนาคต สร้างมิติใหม่ในสังคม ไม่ใช่ความหวาดระแวงต่อกัน หรือเป็นการจับขั้วเหมือนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น ถ้าเรากล่าวหารัฐบาล แปลว่าเราเป็นฝ่ายค้าน โครงการนี้จะพิสูจน์ตัวเองว่าโปร่งใส จริงใจ และทำเพื่อประโยชน์ของสังคมอย่างแท้จริง" เอื้อจิตกล่าวถึงความหวังที่อยากไปให้ถึง.
เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)