"การทำเกษตรอินทรีย์ของตำบลเริ่มต้นขึ้นคือจู่ ๆ ที่ต.เทนมีย์มีคนนอนตายเดือนละ 7-8 คน หาสาเหตุไม่เจอ ช่วงแรก ๆ ชาวบ้านก็เชื่อว่าเป็นปอบ จนกระทั่งเมื่อมีการตรวจเลือดชาวบ้านในตำบลก็พบว่า สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะสารเคมีในเลือดสูงมาก"
สัญชัย มีโชค นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเทนมีย์ อ.เมือง จ.สุรินทร์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้ตำบลเทนมีย์เป็นตำบลที่ทำเกษตรอินทรีย์ทั้งตำบล จนปัจจุบันสามารถผลักดันให้อยู่ในแผนนโยบายขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทนมีย์เป็นผลสำเร็จ มีการสนับสนุนประชาชนทั้งงบประมาณ และการฝึกอบรมมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับชุมชนที่อยู่ในกระแสการปลูกพืชเพื่อขาย และส่งออก อาจจะไม่เชื่อและคิดว่าเป็นเรื่องยากกับการผลักดันคนในตำบลรวมไปถึงฝ่ายนโยบาย เช่น อบต.ให้หันมาสนใจและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ แม้จะเห็นข้อดีของการทำการเกษตรปลอดสาร ก็เป็นเรื่องยากในการปฏิบัติ แต่สำหรับตำบลเทนมีย์ทำไมถึงสามารถผลักดันให้คนทั้งตำบลเห็นความสำคัญของการทำเกษตรอินทรีย์ได้
จากประชาคมหมู่บ้านสู่ อบต.
ภายหลังจากที่ชาวบ้านตื่นตัวจากกรณีที่มีคนตาย และพบว่าปอบแท้ที่จริงแล้วก็คือสารเคมี ชาวบ้านก็เริ่มตระหนักว่าจะต้องลดการใช้สารเคมีในการปลูกพืช สัญชัยเล่าว่า ช่วงแรก ๆ ก่อนที่จะผลักดันให้ตำบลเทนมีย์เป็นเมืองเกษตรอินทรีย์นั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ไม่ใช่จะเปลี่ยนได้โดยฉับพลัน เพราะชาวบ้านบางส่วนก็ยังคุ้นเคยกับการทำเกษตรเพื่อขาย แม้ว่าจะเป็นหนี้สินรุงรังจากต้นทุนทางการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีก็ตาม เนื่องจากยังติดอยู่ในวงจรของหนี้สิน จำเป็นต้องปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อหาเงินมาใช้หนี้
เดิมทีพื้นที่ตำบลเทนมีย์เป็นแหล่งปลูกเผือก ปลูกต้นหอม และข้าวหอมมะลิที่ใช้สารเคมีเป็นจำนวนมาก จ.สุรินทร์ถือว่าเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวหอมมะลิพันธุ์ดีที่สุดและมีปริมาณมากที่สุดคือร้อยละ 26 ของผลผลิตข้าวหอมมะลิทั่วประเทศ แต่กลับปรากฏว่าเกษตรกรกลับมีหนี้สินมากสวนทางกับตัวเลขการส่งออก ทั้งนี้เพราะต้นทุนปุ๋ย และยาปราบศัตรูพืชมีราคาสูงขึ้น แต่ราคาผลผลิตกลับลดลง
สัญชัยเล่าว่า เมื่อชาวบ้านเริ่มกลัวตายจากการใช้สารเคมี ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการนำเรื่องเกษตรอินทรีย์มาคุยกันในประชาคมตำบล ชาวบ้านที่ตระหนักก็หันมาเริ่มทำเกษตรอินทรีย์เป็นกลุ่มเล็ก ๆ และค่อยขยายไปเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มเป็น 500 คน ตอนนั้น อบต.ยังไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม ตนเองก็ยังไม่ได้เข้าไปเป็นนายกฯ อบต. แต่เมื่อประชาชนเริ่มสนใจก็ขยับไปของบประมาณสนับสนุนจาก อบต. งบประมาณที่ชาวบ้านขอสนับสนุนจะเน้นนำไปใช้ในการฝึกอบรม ดูงาน
การทำเกษตรอินทรีย์เริ่มต้นจากการปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ก่อน คนที่สนใจทำเกษตรอินทรีย์จะต้องสมัครเป็นสมาชิกและลงทะเบียนอย่างน้อยต้องทำคนละ 5 ไร่ เพื่อให้การทำเกษตรอินทรีย์เป็นจริงจึงจัดตั้งโรงสีข้าวชุมชน และโรงปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นมา โดยของบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สมาชิกที่ผลิตข้าวจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากโรงปุ๋ยอินทรีย์ของชุมชน ซึ่งทำจากหอยเชอรี่ เนื่องจากชุมชนมีหอยเชอรี่เป็นจำนวนมากจึงรับซื้อจากชาวบ้านกิโลละ 1 บาท ปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวผลิตขายแทบไม่ทันเพราะดังไปถึงกัมพูชา ขณะที่ปุ๋ยคอกก็หาลำบากต้องไปสั่งถึงต่างอำเภอ เนื่องจากชาวบ้านเริ่มนิยมใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น นอกจากจะราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมีแล้วยังเสี่ยงภัยน้อยกว่าอีกด้วย
หลังจากผลักดันให้ชาวบ้านปลูก ก็ผลักดันให้ชาวบ้านในตำบลได้บริโภคอาหารปลอดสารพิษด้วย เมื่อกระแสความนิยมการบริโภคอาหารปลอดสารพิษเพิ่มขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อการทำเกษตรอินทรีย์โดยตรง
ต่อมาทางกลุ่มก็เริ่มผลักดันแนวคิดการทำเกษตรอินทรีย์ไปสู่ อบต.เพราะเห็นว่าถ้าหาก อบต.เห็นด้วยกับแนวทาง ก็จะเรื่องที่ดีที่จะผันงบประมาณบางส่วนมาสนับสนุน จากเดิมที่งบประมาณส่วนใหญ่เน้นแต่การสร้างถนน ซ่อมทางก็จะเปลี่ยนไป
จนกระทั่งปัจจุบัน (2548) อบต.เริ่มมีการกำหนดยุทธศาสตร์ของตำบลเทนมีย์ไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องมีโครงการเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่องทุกปี และงบประมาณสนับสนุนด้านอาหารปลอดภัยและการทำเกษตรอินทรีย์มากกว่าด้านอื่น ๆ เช่นการทำข้าวอินทรีย์ การทำผักปลอดสารพิษ และมีงบประมาณสำหรับการฝึกอบรม ให้ความรู้ สนับสนุนให้ชุมชนจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนในตำบลขึ้นมาเพื่อเป็นฐานของชุมชนในระยะยาวด้วย
อบต.กับนโยบายสาธารณะของท้องถิ่น
"ถ้าผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์ก็จะทำงานพัฒนาท้องถิ่นในแบบเดิม ๆ คือเน้นแต่เรื่องน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี แต่การที่ อบต.เทนมีย์สามารถนำเรื่องเกษตรอินทรีย์มาบรรจุเป็นแผนได้จึงนับว่ามีวิสัยทัศน์อย่างมาก" อ.สุธี ประศาสน์เศรษฐ์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงบทบาทของ อบต.ที่ควรเปลี่ยนไปจากเดิม
อย่างไรก็ตาม อ.สุธี ก็เห็นว่ากระบวนการที่จะนำระบบเกษตรอินทรีย์มาปฏิบัติและเผยแพร่เป็นที่ชัดเจนนั้นยาก ต้องใช้กระบวนการหลากหลาย ต้องมีพันธมิตร และมีความร่วมมือกับเกษตรตำบล อนามัยตำบล นักวิชาการ และต้องมีปราชญ์ชาวบ้านที่ได้ค้นพบและปฏิบัติอยู่แล้ว จึงจะทำให้เกิดกระบวนการเกษตรอินทรีย์ขึ้นในตำบลได้จริง
เกือบ 8 ปีแล้วนับตั้งแต่มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จนถึงปัจจุบันมี อบต.กว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้ว่า อบต.จะมีอำนาจในการจัดการท้องถิ่น แต่กลับพบว่า อบต.จำนวนไม่น้อยก็ถูกครอบงำจากส่วนราชการอยู่มาก มีข้าราชการเกษียณ และนักการเมืองท้องถิ่นที่เข้ามาอยู่ใน อบต.ก็มาก กลับกลายเป็นว่า อบต.กลายเป็นหน่วยงานที่ไม่ต่างไปจากส่วนราชการที่มีแผน นโยบายที่กำหนดมาจากส่วนกลาง ดังนั้นการที่ อบต.เทนมีย์รับเอาความคิดของชุมชนในปรับเป็นแผน นโยบายของ อบต.จึงถือเป็นตัวอย่างที่น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตประธานสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนมีความเห็นถึงบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าขณะที่ในระดับชาติมีแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในท้องถิ่นก็สามารถมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำนองเดียวกับรัฐส่วนกลางได้เช่นกัน ในระดับชาติมีกฎหมาย นโยบายเกิดขึ้น เช่นมีกฎหมายปฏิรูปการศึกษา ในท้องถิ่นก็สามารถมีข้อบังคับ ข้อปฏิบัติได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไพบูลย์ก็มีความเห็นว่าการระดมนโยบายสาธารณะของท้องถิ่นนั้นไม่ใช่การที่กำหนดกันเองภายใน อบต.และสมาชิกไม่กี่คน แต่หมายถึง อบต.จะต้องสามารถระดมความเห็นของประชาชนในท้องถิ่นได้ด้วย เช่น การจัดเวทีให้คนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความเห็นว่าต้องการการพัฒนาภายในชุมชนแบบไหนอย่างไร แล้วนำความเห็นเหล่านั้นมากำหนดเป็นแผนของ อบต.อีกทีหนึ่ง เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่า การลบล้างภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น อบต. อบจ. เทศบาลทั้งหลายจากการที่เคยเป็นองค์กรที่กินตามน้ำ กินหินปูนทรายจากการโครงการก่อสร้างมาสู่การเป็น อบต.ที่เป็นของประชาชนนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะเรื่องเหล่านี้ต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก
แต่ปัจจุบันก็พบว่ามี อบต.จำนวนไม่น้อยที่เริ่มปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการทำงาน นอกเหนือจาก อบต.เทนมีย์แล้วยังมี อบต.อีกหลายแห่งที่เริ่มเข้าไปทำงานใกล้ชิดกับประชาชน และร่วมผลักดันนโยบายสาธารณะที่มาจากท้องถิ่นจริง ๆ จากงานศึกษาของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติพบว่ามีเป็นจำนวนมาก เช่น อบต.ประดู่ยืน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี อบต.น้ำเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่านมีการผลักดันเรื่องระบบสวัสดิการของชุมชนท้องถิ่น อบต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อบต.ขอนหาด จ.นครศรีธรรมราชก็มีการผลักดันเรื่องเกษตรอินทรีย์เช่นเดียวกับตำบลเทนมีย์ เป็นต้น
วาระการทำงานของนายก อบต.และสมาชิก อบต.ที่กำลังเริ่มต้นหลังเลือกตั้งผ่านไปหมาด ๆ จึงอยู่ในสายตาของประชาชนในท้องถิ่น กระบวนการทำงานและวิสัยทัศน์จะถือเป็นบทพิสูจน์ว่า อบต.นั้น ๆ จะอยู่ในใจคนท้องถิ่นได้หรือไม่.
เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)