Skip to main content
sharethis

ศูนย์ข่าวอิศรา : 23 กันยายน 2548


 


"มีหมวกผ้าสีเข้มคล้ายหมวกของทหารตกอยู่ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นทหาร"


 


ลาเต๊ะ การิม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านตันหยงลิมอ แปลคำพูดภาษามลายูท้องถิ่นของบรรดาลูกบ้านให้ฟัง เพื่อตอบคำถามว่า เหตุใดชาวบ้านจึงปักใจเชื่อว่า ผู้ก่อเหตุยิงถล่มร้านน้ำชาในหมู่บ้าน ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย เป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ กระทั่งนำไปสู่การกักตัวเรือตรีวินัย นาคะบุตร และจ่าเอกคำธร ทองเอียด 2 นาวิกโยธิน ซึ่งจบลงด้วยการที่ทั้งสองถูกกลุ่มบุคคลที่ยังไม่อาจระบุตัวได้รุมทำร้ายจนเสียชีวิต


 


เสียงพูดมลายูที่ดังระงมขึ้นจากกลุ่มชาวบ้านที่นั่งรวมกันนับสิบคนที่ล้อมวงเข้ามาร่วมฟัง วิพากษ์ วิจารณ์ บอกเล่าเรื่องราวที่พวกเขาประสบในคืนนั้น ผ่านการแปลของลาเต๊ะ ซึ่งเขาเองก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้ความเป็นไปในคืนก่อนวิกฤติการณ์ เนื่องจากช่วงเวลานั้น ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน


 


หลังสิ้นเสียงปืน จากการยิงถล่มร้านน้ำชา ทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านมาดูเหตุการณ์ เมื่อตำรวจเข้ามาตรวจที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าทหารนาวิกโยธินทั้งสองนาย ขับตามเข้ามาด้วย ซึ่งขณะนั้นโต๊ะคอเต็บประจำมัสยิดได้เคาะกลองเพื่อแจ้งให้ชาวบ้านทราบถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้านออกมาดูเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก


 


การออกมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจพฤติกรรมของชาวบ้าน และเกิดความหวาดระแวง จึงพากันถอยรถออกไป เหลือเพียงรถยนต์ของนาวิกโยธินทั้งสอง แต่เหมือนโชคร้าย ที่รถยนต์ซึ่งนาวิกโยธินทั้งสองนายขับมานั้นสตาร์ทไม่ติด ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งซึ่งเก็บหมวกได้และปักใจเชื่อว่าเป็นของผู้ก่อเหตุ ซึ่งน่าจะเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ จึงช่วยกันกักตัวทหารทั้งสองนายเอาไว้


 


ลาเต๊ะ บอกว่า หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ช่วยกันตรวจสอบหมวกใบดังกล่าว พบว่าเป็นหมวกของทหารบก ไม่ใช่ของทหารเรือ จึงเชื่อว่านาวิกโยธินทั้ง 2 นายไม่ใช่คนร้าย แต่ช่วงนั้นเหตุการณ์เริ่มบานปลาย โดยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาสมทบเป็นจำนวนนับพันคน จนไม่อาจคุมสถานการณ์ได้...!


 


น่าเสียดายที่หมวกใบนั้นหายไป กระทั่งถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ไปอยู่ที่ไหน ปริศนาว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุยิงถล่มร้านน้ำชา อันเป็นปฐมบทของโศกนาฏกรรม จึงยังไม่มีคำตอบ !!?


 


ชาวบ้านอีกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลังจากเกิดเหตุยิงถล่มร้านน้ำชา ชาวบ้านได้ช่วยกันปิดถนน มิใช่การสกัดฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งจะเข้ามาในหมู่บ้าน แต่เป็นการปิดสกัดเพื่อป้องกันฝ่ายคนร้ายที่อาจย้อนกลับมาก่อเหตุซ้ำ ในช่วงแรกๆ มีเพียงชาวบ้านเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ช่วยกันหาอุปกรณ์สิ่งของมาขวางถนนเอาไว้ แต่ไม่นานนักก็มีคนมาสมทบอีกเป็นจำนวนมาก ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน


 


กระทั่งรุ่งเช้า ชาวบ้านช่วยกันฝังศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ร้านน้ำชา จากนั้นมีเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงของมัสยิด ให้ชาวบ้านมารวมตัวกัน ซึ่งมีคนจากต่างหมู่บ้านจำนวนหนึ่งเดินตรงไปรวมตัวกันเพื่อขวางถนนเอาไว้


 


ในขณะที่ชาวบ้านตันหยงลิมอแท้ๆ ส่วนใหญ่กลับเข้าไปอยู่ภายในบ้าน เนื่องจากความกลัวที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครมาจากไหน มีเพียงกลุ่มที่เฝ้าอยู่หน้าอาคารอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นสถานที่กักตัวนาวิกโยธินทั้งสองนายไว้เท่านั้น


 


 "ผมเองพยายามออกมานอกหมู่บ้านเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ออกมาได้ แต่เมื่อกลับเข้าไป กลุ่มที่ขวางถนนทางเข้าหมู่บ้านอยู่ไม่ยอมให้เข้าไป ผมบอกไปแล้วว่าผมเป็นคนในหมู่บ้าน เป็นคนที่นี่ แต่ก็ยังไม่ยอม ผมถามเขากลับไปว่าพวกเขาเป็นคนที่ไหน หากไม่ใช่คนที่นี่มีสิทธิอะไรที่จะมาห้ามผม เขาก็ยอมให้ผมเข้าไป"


 


นี่เป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่ง ซึ่งสะท้อนออกมาจากปากคำของคนบ้านตันหยงลิมอ ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องสืบค้นกันต่อไปว่า ความจริงที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมนั้น เป็นอย่างไร!?


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net