แม้จะยังไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มความรุนแรงของไข้หวัดนกที่กำลังระบาดในรอบนี้ที่ไปโผล่ยังแดนตะวันตก แต่ข้อมูลความรุนแรงของการระบาดครั้งใหญ่เมื่อปี 1918 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปราว 36 ล้านคน เป็นเหตุให้ผู้คนในตะวันตกต้องตกอยู่ในอาการขวัญผวาหวาดกลัวต่อไข้หวัดนกอย่างมากจนทำให้เกิดอาการแตกตื่น นำมาซึ่งการสั่งซื้อและตุนยาทามิฟลู ทว่ายังไม่ทันที่ข่าวนี้จะจางหาย ข่าวการพบผู้ป่วยไข้หวัดนกที่ดื้อต่อยาทามิฟลูก็ถูกรายงานออกมาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา

และเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมนี้เอง ดร.โจเซฟ เมอร์โคล่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเลือก ได้ส่งอีเมลเผยข้อมูลที่เป็นสายสนกลในของผู้ได้รับผลประโยชน์แท้จริงจากการขายยาทามิฟลู

ยาทามิฟลูเป็นยาของบริษัทโรชซึ่งเป็นของสวิตเซอร์แลนด์ แต่แท้จริงแล้ว โรชไม่ได้ผลิตเอง แต่จ้างให้บริษัทกิลิแอดซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้พัฒนาและผลิตขึ้น

ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ นายโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกาปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการบริษัทกิลิแอดเมื่อปี 1997 โดยก่อนหน้านี้รัมส์เฟลด์ยังมีบทบาทเป็นกรรมการผู้อำนวยการก่อตั้งบริษัทกิลิแอดเมื่อปี 1987 และจากคำประกาศแต่งตั้งนายรัมส์เฟลด์เป็นประธานกรรมการบริษัท ได้แสดงชัดถึงบทบาทสำคัญที่นายรัมส์เฟลด์มีต่อบริษัทกิลิแอด

ดร.เมอร์โคล่า ยังอ้างถึงบทความของ ดร.ไมเคิล โชสซูดอฟสกี้ จาก Global Research ที่ช่วยต่อภาพให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นจากการที่เมื่อไม่นานมานี้ประธานาธิบดีบุชได้ทำให้คนตระหนกด้วยการพูดถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่อาจทำให้มีคนเสียชีวิตเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างน้อย 200,000 คน หรือเลวร้ายที่สุดอาจสูงถึง 2 ล้านคน จนกลายเป็นมูลเหตุของการจัดซื้อยาทามิฟลูจำนวน 80 ล้านชุดโดยทันที ทั้งที่ยาทามิฟลูไม่ได้มีประโยชน์ในการรักษาไข้หวัดนกเท่าใดเลย เป็นแต่เพียงลดจำนวนวันที่ป่วย ซ้ำร้ายยังทำให้โอกาสการกลายพันธุ์ของไวรัสเกิดได้มากขึ้นด้วยซ้ำ

ดังนั้นการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาทุ่มเงินกว่า 2พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อซื้อยาที่ไม่มีคุณค่าเท่าใดนัก ในราคาชุดละ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นจำนวน 20 ล้านชุด และเมื่อถูกทำให้เข้าใจว่าบริษัทโรชเป็นผู้ผลิตยาทามิฟลู จึงมีการเรียกร้องว่าควรจะให้บริษัทอื่นผลิตยาทามิฟลูสูตรสามัญเพิ่ม นั่นก็ยิ่งเอื้อโอกาสให้กับผู้ผลิตตัวจริงคือบริษัทกิลิแอด ที่มีรัมส์เฟลด์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเข้าไปอีก