ประชาไท14 พ.ย.48 อภิสิทธิ์ เปิดเวทีต้าน กฟผ.เข้าตลาดหุ้น เรียกร้องให้รัฐบาลตั้งองค์กรอิสระกำกับกิจการไฟฟ้า พร้อมประกาศถ้าได้เป็นรัฐบาล จะเอาสมบัติชาติที่ขายไปกลับมาให้หมด ขณะที่รองปลัดกระทรวงพลังงานยืนยันเตรียมตั้งคณะกรรมการอิสระแล้ว ด้านนักวิชาการแนะควรแบ่งแยกกิจการที่เข้าตลาดหุ้นกับส่วนที่เป็นของรัฐ
คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านได้จัดเวทีสาธารณะเรื่อง "แปรรูปกิจการไฟฟ้า: ประชาชนได้อะไร" ที่รัฐสภา โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นาย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านไม่ได้ค้านการแปรรูปแบบหัวชนฝา เพราะจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างกิจการสาธารณะ แต่สิ่งที่ขอตั้งข้อสังเกตคือ รัฐบาลต้องมีการดำเนินการให้เกิดความพร้อม และให้ความมั่นใจว่าจะไม่แปรรูปอำนาจการผูกขาดของภาครัฐไปอยู่ในมือของเอกชน ซึ่งสิ่งที่เรียกร้องมาโดยตลอดคือให้มีการออกกฎหมายตั้งองค์กรอิสระให้เข้ามากำกับกิจการที่เป็นสาธารณะ แต่ปรากฏว่า 4 ปีที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าในการผลักดันกฎหมายนี้ แต่นโยบายของการพัฒนากิจการไฟฟ้าเป็นเพียงนโยบายที่ไปรับใช้เป้าหมายของการขยายตัวตลาดทุนเท่านั้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังมีความไม่ชัดเจนของโครงสร้างกิจการไฟฟ้าภายหลังจากที่มีการแปรรูปและกระจายหุ้น ซึ่งไม่เพียงเกิดปัญหาให้แง่ของผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าเท่านั้น แต่จะกระทบถึงความสัมพันธ์กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวงด้วย โดยสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งที่มีการไปร้องต่อศาลปกครองคือ การดำเนินการที่ปราศจากการจัดโครงสร้างและกติกาใหม่ เพราะ กฟผ.มีทรัพย์สินหลายส่วน ซึ่งได้มาจากการเวนคืนและเป็นทรัพย์สินของชาติ แต่กำลังถูกถ่ายโอนไปยังรูปแบบขององค์กรที่เป็นเอกชน
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในภาวะที่คาดการณ์ได้ว่าประชาชนมีความต้องการหุ้นมากเกินกว่าที่จำนวนหุ้นที่ กฟผ.จะมีให้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือหุ้น และอยากถามว่าการลงทุนผ่านธนาคารต่างชาตินั้น หมายความว่าชาวต่างชาติจะเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นเพียงคนไทยที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ได้เปรียบคนอื่นสามารถใช้ช่องทางเหล่านี้เข้ามาถือครองหุ้นส่วนนี้ใช่หรือไม่ และนอกเหนือจากกิจการไฟฟ้า กิจการพลังงานแล้ว การลงทุนของ กฟผ.ที่มีเครือข่ายใยแก้วนำแสง ซึ่งอาจนำไปใช้ในการประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการโทรคมนาคมมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ในการเร่งรัดแปรรูป กฟผ.
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาอย่างไรนั้น ฝ่ายบริหารก็ต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าศาลปกครองมีคำพิพากษาไม่รับพิจารณา สิ่งที่ฝ่ายนิติบัญญัติต้องทำ คือ ตรวจสอบเชิงนโยบายต่อไป จนกว่าจะมีความโปร่งใสชัดเจนในการนำ กฟผ.เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนี้ฝ่ายค้านยังไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลนำความเชื่อมั่นของนักลงทุนมาประกันเรื่องนี้ ดังนั้น เมื่อได้ประกาศแล้วว่าไม่ต้องการให้อำนาจการผูกขาดอยู่ในมือของเอกชน ตนก็ต้องเอาคืนภายใต้หลักของนิติรัฐ และขอยืนยันว่าจะต้องเอาสมบัติของชาติกลับคืนมาอยู่ในการดูแลของรัฐตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
"ผมไม่ตั้งใจที่จะเป็นฝ่ายค้านไปตลอด แต่เชื่อว่า ในวันข้างหน้าจะได้มาเป็นผู้กำหนดนโยบาย ผมพูดเรื่องนี้และจงใจพูดเรื่องนี้ในวันที่ไป ก.ล.ต. (สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)เพราะผมต้องการให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุน ซึ่งเขาควรจะรู้ว่ามีฝ่ายนโยบายและมีพรรคการเมืองที่คิดอย่างนี้อยู่ และถ้าจะลงทุนตรงนี้ก็ต้องเผื่อใจไว้เลยว่า วันข้างหน้าจะมีการใช้กฎหมายในการทำความถูกต้อง หรือทำความสมดุลให้เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจเสรีที่เป็นธรรม ดังนั้น อะไรที่มีการโอนอำนาจการผูกขาดโดยธรรมชาติไปอยู่ในมือของเอกชนที่เป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ ผมยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะนำกลับมาคืนให้ประชาชนทั้งหมด"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายวิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่การแปรรูปหรือไม่แปรรูป แต่อยู่ที่โครงสร้างการบริหารกิจการการผลิตไฟฟ้าที่รัฐบาลเลือก ซึ่งระบบดังกล่าว กฟผ.ก็ยังเป็นผู้ผูกขาดการซื้อขายไฟฟ้าเพียงรายเดียวเหมือนก่อนการแปรรูป ทำให้ยังไม่มีการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม ไม่ว่าจะซื้อจากผู้ผลิตรายย่อย หรือซื้อจากผู้ผลิตในต่างประเทศ หรือซื้อจาก กฟผ.เอง
ดังนั้น เท่ากับเป็นการบังคับว่า ร้อยละ 50 ของโรงไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหลังปี 2554 จะถูกดำเนินการโดย กฟผ. ส่วนอีกร้อยละ 50 ที่ต้องเปิดประมูลในการซื้อไฟฟ้านั้นก็ยังเปิดโอกาสให้บริษัทลูกของ กฟผ.เข้าประมูลได้อีก ถือเป็นการเอื้อให้เกิดการผลิตไฟฟ้าเกินความจำเป็น เพราะ กฟผ.ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ย่อมต้องการกำไรที่ตอบสนองผู้ถือหุ้นเป็นหลัก โดยไม่มีหลักประกันว่าจะรักษาสิทธิที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแต่อย่างใด
"เป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบดำเนินการดังกล่าว เหตุใดการแปรรูป กฟผ.ถึงไม่มีการแยกระบบสายส่งออกจากการผลิต เพราะสายส่งเป็นทรัพย์สินที่ถูกผูกขาดโดยธรรมชาติ เพราะคงไม่มีใครที่จะมาเป็นคู่แข่งในเรื่องของสายส่งแน่นอน และจะทำไม่เอื้อให้เกิดการแข่งขันแม้จะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะผู้ที่มีอำนาจในการกำกับย่อมสามารถผูกขาดกิจการเพื่อสร้างกำไรและมูลค่าหุ้นได้ ซึ่งจะทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก โดยประเด็นเรื่องการผูกขาดก็ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าศาลปกครองจะตัดสินอย่างไร" นายวิฑูรย์ กล่าว
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่ารัฐบาลสามารถเลือกได้ว่าส่วนใดของกิจการการผลิตไฟฟ้าที่ควรอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันมีประสิทธิภาพในการให้บริการต่อประชาชน หรือส่วนใดควรยังอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ เพื่อความเป็นธรรมต่อประชาชนผู้บริโภคและบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งรัฐบาลควรเลือกแนวทางที่ทุกฝ่ายรับได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลประโยชน์ที่มีการคัดค้านเช่นในปัจจุบัน
ขณะที่ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการแปรรูป กฟผ.ว่า การนำ กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้ชี้แจงต่อสภา ซึ่งสาเหตุหลักของการแปรสภาพ กฟผ. คือ ต้องการระดมทุนเพื่อแบ่งเบาภาระหนี้สินของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำเงินไปใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
ดังนั้น เชื่อว่า ถ้า กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วจะสามารถนำเงินที่ได้นำไปใช้ในกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้ นอกจากนี้ภายหลังการกระจายหุ้นแล้ว รัฐก็ยังเป็นหุ้นส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 75 ผ่านกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการยืนยันว่า ในการแปรรูปรัฐก็ยังเป็นเจ้าของอยู่ เพราะกิจการไฟฟ้ายังคงเป็นกิจการสำคัญที่รัฐบาลต้องเข้ามาดูแล รวมทั้งประชาชนและพนักงาน กฟผ.สามารถเข้ามาเป็นเจ้าของผ่านการถือหุ้นในการแปรรูป และมีสิทธิตรวจสอบได้ด้วย
นายณอคุณ กล่าวอีกว่า ทางกระทรวงพลังงานจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการการไฟฟ้า (regulator) ซึ่งตอนนี้รูปแบบการบริหารงานดังกล่าวได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างการกับกิจการ กฟผ.เป็น พ.ร.บ.เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปอยู่ในระหว่างการรับฟังความเห็นจากประชาชน ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือน ธ.ค.2548 นี้ และจะมีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
"คณะกรรมการที่จะมากำกับกิจการ กฟผ.นั้น นายวิเศษ ประกาศจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการแปรรูป โดยคณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการ แนวพาดสายส่ง สายส่งการผลิตจากเขื่อน ส่วนประเด็นทรัพย์สินที่มีการพูดคุยกันมากนั้น กรณีเขื่อนที่เดิมเป็นของ กฟผ. ปัจจุบันได้โอนเป็นของกรมธนารักษ์ทั้งหมดแล้ว และให้ กฟผ.มีสถานะเป็นเพียงผู้เช่า โดยสัญญาเบื้องต้นมีระยะเวลา 30 ปี ส่วนสายส่งที่ กฟผ.ไปรอนสิทธิ หรือเข้าไปใช้สายส่ง กฟผ.ก็มีการจ่ายค่ารอนสิทธิให้กับทางภาครัฐอยู่แล้ว"นายณอคุณกล่าว
รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ส่วนน้ำจากเขื่อนที่ใช้เฉพาะการชลประทาน จะเป็นอำนาจของกรมชลประทานร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการ กฟผ.ในการดูแลปริมาณน้ำที่ออกจากเขื่อนเพื่อการชลประทาน แต่ยังสามารถนำมาผลิตไฟฟ้าได้ โดยไม่ได้นำมาเป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดการปล่อยน้ำจากเขื่อน
ด้านนาย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)