ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ หนุนยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเข้าทำงาน เชื่อหากรัฐยกเลิกนโยบายดังกล่าว เอกชนจะปฏิบัติตาม พร้อมสนับสนุนการตรวจเลือดโดยสมัครใจเพื่อดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธีหากติดเชื้อฯ
เนื่องในโอกาสวันเอดส์โลกซึ่งตรงกับวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ในปีนี้โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอดส์) ให้คำขวัญรณรงค์ว่า "หยุดเอดส์ รักษาสัญญา" (Stop AIDS, Keep the Promise.) เพื่อให้สังคมหันมาสนใจปัญหาเอดส์และทวงสัญญาจากรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศที่เคยให้ไว้ว่าจะร่วมแก้ปัญหาเอดส์
นายก
นายกมล กล่าวว่า คนในสังคมต่างก็มีข้อมูลเรื่องเอดส์ แต่เพราะทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว จึงทำให้ปัญหาเอดส์ได้แพร่ไปสู่กลุ่มที่คิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มเยาวชน เนื่องจากคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนรักของตัวเองไม่น่าจะติดเชื้อฯ ทั้งที่ความจริงแล้ว การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางฯ ไม่ว่าจะกับใครก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งนั้น
ปัจจุบันคาดการณ์ว่า มีผู้ติดเชื้อฯ 6 แสนราย ในจำนวนนี้ 3 แสนรายไม่ทราบว่าตัวเองมีเชื้อฯ ส่วนหนึ่งเนื่องจากคิดว่าตัวเองไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจึงไม่คิดจะตรวจ และอีกส่วนหนึ่งที่รู้ว่าตัวเองมีพฤติกรรมเสี่ยงแต่ไม่กล้าไปตรวจเพราะกลัวว่าจะทำใจไม่ได้หากผลเลือดออกมาเป็นบวก จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนตรวจเลือดเพื่อจะได้รู้ผลเลือดของตัวเอง หากผลเลือดเป็นบวกก็จะได้เตรียมตัวเรื่องการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เพราะเอดส์รักษาได้ โดยควรรับบริการปรึกษาก่อนตรวจ หากรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไม่ปล่อยให้โรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราในสมอง เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาว นายกมลกล่าว
ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ติดเชื้อฯ สามารถเข้ารับการรักษาได้ตามหลักประกันสุขภาพที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งในขณะนี้บรรดาองค์กรที่ทำงานด้านเอดส์พยายามผลักดันให้หลักประกันสุขภาพทุกระบบมีมาตรฐานการรักษาเดียวกัน