คุณ Joseph Deiss หัวหน้ากรมการเศรษฐกิจ (สวิซเซอร์แลนด์)
คุณ Geir H. Haarde รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ไอซ์แลนด์)
คุณ Rita Kieber-Beck รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ลิกซ์เตนสไตน์)
สำเนาถึง รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
ถึง รัฐมนตรี
ขณะนี้ รัฐเอฟต้ากำลังเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับไทย เราเป็นห่วงว่ารัฐเอฟต้าจะนำเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งจะไปไกลเกินกว่าข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาของดับบลิวทีโอ (ต่อแต่นี้ เรียก บทว่าด้วย "ทริปส์ผนวก") เข้าไปรวมอยู่ในบทของข้อตกลง ขณะเดียวกัน เราเป็นห่วงว่ารัฐเอฟต้าต้องการให้ไทยเปิดเสรีภาคการเงิน องค์กรที่ลงนามต้องการแสดงความคัดค้านอย่างยิ่งที่จะมีการรวมประเด็นดังกล่าว
ทรัพย์สินทางปัญญา
เราคัดค้านบททริปส์ผนวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกษตรและยา ถ้านำเอามาใช้ บทเหล่านี้จะก่อผลกระทบทางลบอย่างต่อเนื่องต่อสาธารณสุขและความมั่นคงทางอาหารในไทย ความกังวลของเราอยู่บนพื้นฐานของบทเช่นที่ว่าในข้อตกลงที่ได้สรุปแล้วก่อนหน้านี้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ (เช่น ข้อตกลงของเอฟต้ากับชีลีตั้งแต่ 26 มิถุนายน 2546 กับเลบานอนตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2547 และกับตูนีเซียวันที่ 17 ธันวาคม 2547) บทที่ว่านี้จะไม่ช่วยแก้ไขการแบ่งแยกปฎิบัติทางการค้าระหว่างรัฐเอฟต้าและรัฐอื่นๆที่เจรจาข้อตกลงกับไทยเพราะว่ากฎหมายสิทธิบัตรของไทยให้สิทธิและข้อผูกมัดสำหรับบุคคลไทยและชาวต่างชาติจากแต่ละประเทศเช่นเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของไทยตามที่รัฐเอฟต้าเรียกร้องจะก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบโดยตรงต่อสาธารณสุขและความมั่นคงทางอาหารของประชากรไทย
บทว่าด้วยทริปส์ผนวกในยาของเอฟต้า
แรงกดดันจากเอฟต้าที่มีต่อไทยในการนำเสนอกฎหมายเรื่องการผูกขาดข้อมูลการจดทะเบียนยาชื่อการค้าเป็นเวลา 5-10 ปี (หลังจากนี้เรียก "การผูกขาดข้อมูลยา") นั้นยอมไม่ได้ เพราะการผูกขาดข้อมูลยาเป็นหนึ่งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในบทบัญญัติทริปส์ผนวกว่าด้วยยา การปกป้องดังกล่าวจะใช้ในแม้แต่กรณีที่ยาไม่ได้รับสิทธิบัตรหรือมีการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ในช่วงเวลาที่มีการปกป้อง เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจควบคุมจะไม่สามารถอาศัยข้อมูลการทดสอบทางคลีนิคของผู้ผลิตยาต้นแบบเมื่อจะอนุมัติการเข้าสู่ตลาดของยาชื่อสามัญได้ จะทำให้การนำยาชื่อสามัญเข้าสู่ตลาดเป็นไปยากยิ่งขึ้น
โดยการออกกฎหมาย พรบ. ความลับทางการค้าไทยในเดือนกรกฎาคม ปี 2545 ไทยได้ปฏิบัติตามภาระข้อผูกพันภายใต้ข้อตกลงทริปส์โดยเฉพาะมาตรา 39.3 แล้ว การเสนอให้มีการผูกขาดข้อมูลยาในสู่กฎหมายไทยอีกจะเป็นการให้การปกป้องเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นซึ่งจะทำลายความสามารถของไทยในการประกันการเข้าถึงยาที่มีราคาถูกสำหรับประชากรของตน
เรายังกังวลด้วยว่าประเทศสมาชิกเอฟต้าจะเรียกร้องให้ไทยต้องขยายอายุสิทธิบัตรออกไปอีก 5 ปีเพื่อชดเชยความล่าช้าที่ "ไม่มีเหตุผล" ในกระบวนการอนุมัติการออกสู่ตลาด บทที่ว่านี้ขึ้นอยู่กับการตีความหมายหลายอย่างและจะถ่วงเวลาการเข้ามาแข่งขันของยาชื่อสามัญถึงห้าปีภายหลังจากการหมดอายุสิทธิบัตรตามปกติ
บทเหล่านั้นไปไกลเกินกว่าข้อผูกพันทริปส์ มันจะทำให้สิทธิการผูกขาดของบริษัทยาแข็งแกร่งขึ้นโดยที่ผู้ป่วยต้องรับภาระ ผลกระทบของมันจะป้องกันและถ่วงเวลาการเข้ามาแข่งขันของยาชื่อสามัญ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของยาเอชไอวีเอดส์ พิสูจน์ให้เห็นว่าการแข่งขันของยาชื่อสามัญเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดยาราคาสูงให้อยู่ในระดับที่ผู้คนเข้าถึงได้ และ ช่วยในการเข้าถึงยา นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีทรัพยากรจำกัด
บทเหล่านี้ไม่สมควรอย่างสิ้นเชิงสำหรับไทยเมื่อพิจารณาจากภาวะการแพร่ระบาดอย่างหนักที่ประเทศประสบ ทุกวันนี้ มีประชากรประมาณ 700,000 คนติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ในประเทศ อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในประชากรผู้ใหญ่อยู่ที่ประมาณ 1.5% คนจำนวน 65,071 คนได้รับยาต้านไวรัสอยู่ขณะที่ประชาชนจำนวน 114,000 ต้องการยา ตรงกันข้ามกับยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐาน (first-line) ยาส่วนมากที่ใช้ในยาสูตรสำรอง (second-line) อยู่ภายใต้สิทธิบัตรในไทย และราคายาของมันก็สูงกว่าอย่างชัดเจน ไทยเป็นประเทศที่สองที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งอาจจะพัฒนาไปสู่สายพัฒนาที่มีความสามารถแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคม 2548 มีการรายงานกรณีการติดเชื้อเอช 5 เอ็น 1 ในคนแล้ว 22 กรณี ซึ่ง 14 รายเสียชีวิต มันจึงจำเป็นสำหรับไทยที่จะสงวนไว้ซึ่งความสามารถในการใช้มาตรการที่เหมาะสมทุกรูปแบบที่ป้องกัน รักษาและควบคุมสาธารณสุขของประชากร รวมถึงการใช้การแข่งขันของยาชื่อสามัญเพื่อที่จะได้มาซึ่งยาจำเป็นและช่วยชีวิตคนในราคาที่เข้าถึงได้ ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเพิ่มความแข็งแรงให้กับสิทธิผูกขาดของบริษัทยาขนาดใหญ่
โดยการเรียกร้องบทว่าด้วยทริปส์ผนวก รัฐเอฟต้ากำลังปฏิเสธจดหมายและจิตวิญญาณของคำประกาศโดฮาเกี่ยวกับข้อตกลงทริปส์และสาธารณสุขซึ่งได้ตกลงกันในเดือนพฤศจิกายน 2544[1] มันกล่าวไว้ว่าทุกประเทศมี "สิทธิที่จะปกป้องสาธารณสุขและโดยเฉพาะสนับสนุนการเข้าถึงยาของทุกคน"
บทว่าด้วยทริปส์ผนวกในเกษตรของเอฟต้า
ในการตอบคำถามของสภา รัฐบาลลิกเตนสไตน์ได้ยืนยันว่าประเทศเอฟต้าจะไม่เรียกร้องให้ไทยต้องเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (ยูปอฟ) แต่ยังคงยืนกรานว่าจะต้องให้การคุ้มครองสอดคล้องกับข้อตกลงยูปอฟปี 2521 แม้กระนั้น บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเอฟต้ายังต้องการสร้างกฎเกณฑ์ให้ไทยว่าจะต้องคุ้มครองพันธุ์พืชของตนอย่างไรอีก มันน่าสงสัยว่าระบบการคุ้มครองอย่างยูปอฟซึ่งถูกพัฒนาโดยประเทศอุตสาหกรรมเพื่อเกษตรกรรมของตนเองจะมีประโยชน์สำหรับประเทศอย่างไทยหรือ ด้วยกฏเกณฑ์ดังกล่าว ประเทศเอฟต้าได้จำกัดความยืดหยุ่นที่มีอยู่ในของข้อตกลงทริปส์
เราเป็นห่วงว่ารัฐเอฟต้าจะเรียกร้องให้ไทยให้สิทธิบัตร "สิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีชีวภาพ" บทนี้จะไปไกลว่าข้อผูกพันในทริปส์ เพราะว่า "สิ่งประดิษฐ์เทคโนโลยีชีวภาพ" สามารถเป็นได้ทั้งพืชและสัตว์ การอ้างอิงนี้เป็นการเปิดให้มีการจดสิทธิบัตรในพืชและสัตว์บางชนิด (โดยที่ไม่ได้กล่าวออกมาโดยตรง) การขอให้ไทยเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาปูดาเปสปี 2540 จะเป็นอีกทางในการสนับสนุนให้มีการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตและก็เป็น "ทริปส์ผนวก" สิทธิบัตรในเมล็ดพันธุ์ก็เป็นปัญหาในไทยเพราะการบังคับทรัพย์สินทางปัญญาในเกษตรจะไปจำกัดสิทธิเกษตรกร โดยเฉพาะสิทธิในการใช้เมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้เอง จนถึงบัดนี้ ระบบอุปทานแบบไม่เป็นทางการซึ่ง 80% ของเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูกนั้นมาจากการเก็บไว้ใช้เองของเกษตรกร มีบทบาทสำคัญในไทยและก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดขึ้นจะทำลายระบบเหล่านี้เและความหลากหลายทางชีวภาพในเกษตรกรรม
อย่าให้มีบทว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงเขตการค้าเสรีเอฟต้า-ไทย
ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเผชิญหน้ากับความท้าทายในการได้มาซึ่งความมั่นคงทางอาหารและการรักษาสุขภาพที่ดีสำหรับประชากร ดังนั้นมันควรจะรักษาความเป็นอิสระที่เพียงพอในการจะปรับระบบทรัพย์สินทางปัญญาให้เหมาะสมกับความต้องการของมัน อย่างไรก็ตาม บทว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงเขตการค้าเสรีทวิภาคีลดอิสระดังกล่าวและมีผลกระทบทางตรงกับสิทธิทางอาหารและสิทธิทางสุขภาพของประชาชน เพื่อผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมในประเทศของเอฟต้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขและความจำเป็นทางอาหารของประเทศคู่ค้าผ่านบททริปส์ผนวกในข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับไทย สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกซ์เตนสไตน์ กำลังเอาภาพพจน์และชื่อเสียงของตนมาเสี่ยง
ด้วยลายชื่อในจดหมายนี้ เราเรียกร้องให้ไม่มีบททรัพย์สินทางปัญญาในข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างรัฐเอฟต้าและไทย
อย่าให้มีแรงกดดันสำหรับการเปิดเสรีตลาดการเงิน
รัฐเอฟต้ายังมีมุ่งหมายที่จะขอให้มีการเปิดเสรีสาขาการเงินจากไทยโดยเฉพาะการเข้าถึงตลาดที่ดีขึ้นสำหรับการประกันภัยและธนาคารและกำจัดกฎระเบียบในภาคการเงิน สิ่งนี้น่าเป็นห่วงยิ่ง เพราะประสบการณ์ตั้งแต่ครึ่งหลังของทศวรรษ 2533-2543 ได้แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันจากธนาคารต่างประเทศในประเทศกำลังพัฒนาสามารถจะทำให้สถาบันทางการเงินของท้องถิ่นอ่อนแอลงได้ ตัวอย่างเช่น ธนาคารต่างประเทศให้การบริการโดยเฉพาะลูกค้าที่ร่ำรวย แต่ไม่ประกันว่าธุรกิจขนาดกลางและย่อม ผู้หญิง และผู้คนในชนบทจะเข้าถึงสินเชื่อราคาถูก เป็นไปได้ว่าประเทศสมาชิกเอฟต้าจะเรียกร้องให้กำจัดการควบคุมกระแสทุนทั้งหมดด้วย การทำเช่นนั้นเท่ากับละเลยความสำคัญของการควบคุมดังกล่าวอย่างสิ้นเชิงสำหรับประเทศอย่างไทย ตั้งแต่วิกฤตเอเชีย มันเป็นที่ทราบกันดีกว่าการไหลเข้าอย่างฉับพลันของทุนมักจะก่อให้เกิดฟองสบู่เก็งกำไรในหุ้นและมักจะนำไปสู่การขยายตัวของราคาทรัพย์สิน การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของราคาทรัพย์สินจะเพิ่มความไม่เท่าเทียมกัน ภายในระบอบของประเทศที่ลดเลิกการควบคุมกระแสทุนนั้นมักจะถูกกระทบโดยวิกฤตการณ์ทางการเงินในประเทศอื่นๆได้โดยง่าย
แม้แต่สถาบันอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางหลายแห่ง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วนิยมการเปิดตลาด ยังให้เน้นว่าอย่างแรกสุดประเทศต้องมีสถาบันและมาตรฐานในการควบคุมสำหรับดูแลธนาคารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กลไกระหว่างประเทศสำหรับการป้องกันและจัดการกับวิกฤตที่ถูกเรียกร้องให้มีขึ้นภายหลังวิกฤตเอเชียยังไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้น
ด้วยลายชื่อในจดหมายนี้ เราขอให้ประเทศเอฟต้าอย่าเรียกร้องการเปิดเสรีทางการเงินก่อนที่จะมีการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างภาคการเงินของโลกและในการดูแลควบคุมธนาคารสำหรับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเติบโตใหม่ที่ระบุได้ชัดเจน
ด้วยความจริงใจ
สวิตเซอร์แลนด์ :
Julien Reinhard & François Meienberg,
ลิกเตนสไตน์:
นอร์เวย์:
Arvid Solheim, The Development
ประเทศไทย:
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สำลี ใจดี, กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน
รายชื่อองค์กรสนับสนุน
ประเทศไทย:
- มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
- เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
- สมัชชาคนจน
- องค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย
- สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
- กลุ่มศึกษาปัญหายา
- พันธมิตรสหภาพแรงงานประชาธิปไตย
- โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา (โฟกัส)
- กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอว็อชท์)
สวิตเซอร์แลนด์:
- Alliance Sud
- Ärztinnen und Ärzte für Umweltschutz / Médecins en faveur de l'environnement
- Association Maison Populaire de Genève
- Association romande des Magasins du Monde
- attac Suisse
- Berne Declaration / Déclaration de Berne / Erklärung von Bern
- Bethlehem Mission Immensee
- Blauen-Institut
- Bread for all / Pain pour le prochain / Brot für Alle
- Comité pour l'Anulation de
- CO-OPERAID
- E-CHANGER
- Geneva Federation for Cooperation and Development / Fédération Genevoise de Coopération
- Geneva Infant Feeding (GIFA) / Association genevoise pour l'alimentation infantile
- Greenpeace
- Groupe de Travail Suisse - Colombie / Arbeitsgruppe Schweiz - Kolumbien
- medico international schweiz
- MIVA Schweiz
- Restaure
- SID'Action
- SolidarMed
- SOLIFONDS
- Syndicat interprofessionnel de travailleuses et travailleurs (SIT)
- Swissaid
- TearFund
- terre des hommes schweiz
- World Vision
เฉพาะประเด็นสุขภาพ:
- Antenne Sida du Valais romand
- Centrale Sanitaire Suisse Romande
- Groupe Sida Genève
- Médecins Sans Frontières - Suisse
- Swiss Aids Federation / Aide Suisse contre le Sida / Aids-Hilfe Schweiz
ลิกเตนสไตน์:
- Liechtenstein Association for Environmental Protection / Liechtensteinische Gesellschaft für Umweltschutz (LGU)
- Aktion: Wir teilen. Das alternative Fastenopfer
- Verein Welt und Heimat
นอร์เวย์:
- attac Norway
- Friends of the Earth Youth Norway / "Natur og Ungdom"
- The Development Fund, Norway
เฉพาะประเด็นสุขภาพ:
- Médecins Sans Frontières - Norway
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)