Skip to main content
sharethis

10 กุมภาพันธ์ 2549


คำแถลง


รัฐบาลทักษิณกับความไม่ชอบธรรมในการบริหารประเทศ


 


            สังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการทางการเมือง จนทำให้ทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา สื่อมวลชน องค์กรธุรกิจ องค์กรอิสระ องค์กรชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน และกลุ่มประชาชนโดยทั่วไป ได้ออกมาเคลื่อนไหว และเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


            เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด มีข้อห่วงใยวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมจะลุกลามบานปลายกลายเป็นการเผชิญหน้ากัน จนเกิดความรุนแรงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้


            มูลเหตุแห่งปัญหาทั้งมวลเกิดจากการผูกขาดอำนาจในการบริหารประเทศ ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร ที่ได้ใช้โอกาสและความไว้วางใจจากคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ประชาชนมอบให้ไปบริหารประเทศในลักษณะที่มีวาระซ่อนเร้น ขาดความโปร่งใสและไม่ใยดีต่อหลักการประชาธิปไตยตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเสียงทักท้วงของผู้มีความเห็นแตกต่าง กระทั่งกล่าวหาบ่อยครั้งว่าเป็นพวกไม่รักชาติ


            นโยบายการพัฒนาประเทศแบบประชานิยม ไม่เพียงเป็นการสร้างหนี้ แต่ทำให้ประชาชนติดบ่วงอยู่กับความกังวลในการหากินให้มีชีวิตอยู่รอดรายวัน และความกังวลกับภาวะหนี้สินที่ล้นพ้น จนไม่มีเวลารับรู้ข้อมูล รวมทั้งนโยบายการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเปิดทางให้บริษัทข้ามชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุนและประกอบกิจการต่างๆ ได้อย่างเสรี โดยไม่คำนึงถึงว่ากิจการดังกล่าวเป็นการแย่งชิงทรัพยากรพื้นฐานในการประกอบอาชีพ และการมีชีวิตดำรงอยู่ได้ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ทรัพยากรของแผ่นดินตกไปอยู่ในมือต่างชาติ และมีกลุ่มทุนผูกขาดบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เป็นพวกพ้องของท่านนายกฯ เอง และเป็นแหล่งทุนให้กับพรรคไทยรักไทย


            เรื่องดังกล่าวสะท้อนปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการใช้อำนาจรัฐในลักษณะแอบเอื้อผลประโยชน์ให้กับครอบครัวและเครือญาติ ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร ไม่เคยตระหนัก ซ้ำร้ายกลับมีพฤติกรรมอย่างโจ่งแจ้งจนเป็นที่เคลือบแคลงและไม่สบายใจของสังคมโดยรวม โดยเฉพาะการซื้อขายหุ้นชินฯ ที่พบว่าผู้นำมีเจตนาเลี่ยงภาษีและมีพฤติกรรมเข้าข่ายซุกหุ้น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวแม้นเป็นนักธุรกิจทั่วไปก็เป็นปัญหาแล้ว แต่เรื่องดังกล่าวนี้มีความหนักหน่วงมากขึ้นเนื่องด้วยสถานะของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร ซึ่งเป็นถึงผู้นำ และเป็นนายกรัฐมนตรีของเทศ ซึ่งควรจะต้องบำเพ็ญตนเป็นแบบอย่างที่ดีงามให้ประชาชนโดยเฉพาะการเสียภาษี ซึ่งถือว่าเป็นสำนึกพื้นฐานของพลเมืองและถือเป็นจริยธรรมเบื้องต้นของประชาชนผู้รักชาติ แต่วันนี้นายกฯ กลับใช้อำนาจหน้าที่และกลไกต่างๆ ของรัฐมากล่าวอ้างข้อกฎหมายต่างๆ เพื่ออธิบายกับประชาชนให้เข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ และทำให้สังคมคล้อยตามว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ไม่จริง อีกทั้งยังใช้อำนาจรัฐขัดขวางปิดกั้นสื่อวิทยุและโทรทัศน์ มิให้สื่อสารข่าวสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นต่อความไม่ชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งปิดกั้นการใช้กลไกอิสระตรวจสอบนโยบายและถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐบาลบนครรลองระบอบประชาธิปไตย


            ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร จะต้องไตร่ตรองสถานการณ์อย่างรอบคอบ ยึดมั่นสติ เพื่อความสงบสุขของคนในชาติ เพื่อให้สังคมไทยขับเคลื่อนพัฒนาไปอย่างมีเอกภาพและยั่งยืน เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน จึงเสนอให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ  ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และให้ภาคประชาชนได้ปฏิรูปการเมืองครั้งที่ ๒ เพื่อให้การเมืองไทยเดินหน้าไปตามกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องต่อไป


 


เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน


๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙


ณ อาคารรัฐสภา


 


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net