ประชาไท8 ก.พ. 2549 ม.ล.วัลย์วิภา บุรุษรัตนพันธุ์ อดีตผู้ชำนาญการพิจารณาผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย - มาเลเซีย ด้านสังคม กล่าวถึงกรณีท่อก๊าซไทย - มาเลเซียรั่วว่า ปัญหาที่เกิดจากบริษัททรานซ์ไทย - มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด รีบเร่งดำเนินการทั้งที่ยังไม่มีความพร้อม เห็นได้จากการศึกษาผลกระทบด้านสังคมของโครงการนี้ยังไม่ผ่าน การพิจารณาของผู้ชำนาญการ มีการเสนอให้ศึกษาเพิ่มเติมหลายประเด็น แต่ทางสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น กลับรีบร้อนให้ผ่าน
"เมื่อผ่านโครงการฯ กันง่ายๆ ส่งผลให้ตลอดการดำเนินโครงการฯ เกิดปัญหาและผลกระทบมากมาย เช่น กรณีสารเบนโทไนท์ที่ใช้ในการขุดเจาะแนวท่อก๊าซไหลซึมเข้าไปในสวนยางพารา ทำให้ต้นยางพาราของชาวบ้านเสียหาย การขุดวางแนวท่อจนถนนทรุด การบุกรุกป่าพรุ และการฮุบที่ดินสาธารณประโยชน์ของชุมชน ตลอดจนเกิดเหตุการณ์ก๊าซรั่วบ่อยครั้ง ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นผู้ที่ต้องรับผลกระทบ คือ ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นกับโครงการท่อส่งก๊าซไทย - มาเลเซีย น่าจะเป็นบทเรียนให้กับทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่ารัฐบาล บริษัทผู้ประกอบการ หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า หากรีบร้อนดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ทั้งที่ยังไม่ยังไม่มีความพร้อมจะเกิดปัญหาตามมามากมายยากจะแก้ไข" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
นางสุไรด๊ะห์ โต๊ะหลี ชาวบ้านตำบลคลองเปียะ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงเกิดความหวาดกลัว และไม่เชื่อมั่นต่อระบบความปลอดภัยของท่อก๊าซไทย - มาเลเซีย ทั้งที่บริษัททรานส์ไทย - มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ยืนยันมาตลอดว่า ระบบป้องกันภัยได้มาตรฐาน ทั้งที่สถานีควบคุมเพิ่งก่อสร้างเสร็จใหม่ๆ ขณะที่ชาวบ้านต้องอยู่กับโครงการฯ นี้ เป็นเวลากว่า 30 ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวบ้านต้องนอนสะดุ้งตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่ก๊าซจะรั่วอีก เหตุการณ์ก๊าซรั่วไม่ใช่ครั้งแรก แต่เคยเกิดก่อนหน้านี้มาแล้ว ที่บริเวณสถานีควบคุมก๊าซบ้านคลองปอม ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา การที่บริษัทฯ ดำเนินโครงการไม่ได้มาตรฐาน สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการรีบเร่งดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนในชุมชน