Skip to main content
sharethis

กลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐ "สมัชชาคนจน" ที่ปักหลักตั้งหมู่บ้านที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา เปิดเวทีเสวนาที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในหัวข้อ "สร้างประชาธิปไตยที่กินได้ สร้างการเมืองที่เห็นหัวคนจน" โดยมีนายประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น.ส.วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน และนายประทิน อุปฮาด ตัวแทนเครือข่ายที่ดิน ร่วมเสวนา


 


นายประภาส กล่าวว่า ขณะนี้นายกฯ เกิดวิกฤติด้านความชอบธรรมเสมือนสำเภารั่ว แล้วจะเอากะลามากู้ รวมทั้งจะใช้อธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐมาร่วมกู้ ดังนั้น เราควรพิจารณาว่าจะร่วมขับไล่นายกฯ หรือไม่ เพราะบางส่วนก็กลัวว่าจะเข้าทำนอง อัปรีย์ไป จัญไรจะมาแทน ฉะนั้น จึงต้องชี้ให้เห็นปัญหาความยากจนว่ารัฐบาลนี้ทำงานคืบหน้าแค่ไหน รวมทั้งตรวจสอบนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลนี้ทำด้วย


 


รัฐบาลพยายามบอกว่าความยากจนเกิดจากความบกพร่องส่วนบุคคลที่ไม่รู้จักเก็บออม อยากถามว่า ถ้าเก็บออมแบบนายกฯแล้วขายหุ้นได้ 7 หมื่นกว่าล้านบาทจึงเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่สร้างความยากจนให้คนจนคือนโยบายของรัฐและพยายามเปลี่ยนเส้นความยากจนให้ลดลง 1,243 บาทต่อคนต่อเดือน โดยโฆษณาว่าคนจนลดลงจาก 12.8 ล้านคนเหลือ 8.5 ล้านคน โดยมีรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นจาก 3.5หมื่นบาทเป็น 5.2 หมื่นบาทต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่อ้างขึ้น


 


ด้าน น.ส.วนิดา กล่าวว่า ทุกวันนี้พื้นที่ของคนจนเล็กมาก คนจนไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใดๆ ที่จะสู่กับความอยุติธรรม การต่อสู้ของคนจนที่มาในวันนี้ ไม่ได้มาเพื่อโค่นล้มใคร แต่ต้องการสร้างเสียงของคนจนให้ดังขึ้นมา และทุกวันนี้ประชาธิปไตยในรูปแบบของรัฐบาลได้ทำลายเสียงของคนจน เจ้าหน้าที่รัฐร้อยละ 80 ไม่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชน แต่รับใช้นักการเมือง


 


"การที่จะยอมรับให้บุคคลเหล่านี้มาช่วยคนจน ต้องทำให้อำนาจของคนจนมีมากขึ้น และประชาธิปไตยที่กินได้คือประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมมีสิทธิในที่ดิน ทำกิน มีสิทธิในการออกเสียงเพื่อความยุติธรรม วันนี้ หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าสมัชชาคนจนจะเข้าร่วมขับไล่นายกฯ หรือไม่ ขอบอกว่าเราจะไม่ไล่ใคร เพราะสมัชชาคนจนถือว่า เราไม่มีนายกรัฐมนตรี เพราะถ้ามีนายกฯ ที่ดีจริงจะไม่มีสมัชชาคนจนมานั่งอยู่ตรงนี้"


 


หลังการเสวนา สมัชชาคนจนได้ออกแถลงการณ์ ความว่า


"พวกเราในนามสมัชชาคนจน ได้มายืนอยู่ ณ อนุสาวรีย์อันเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยแห่งนี้เพื่อคารวะ ดวงวิญญาณ ของวีรชนที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์เดือนตุลาคม เดือนพฤษภาคม และวีรชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทุกแห่งหน นอกจากนั้นยังเป็นการแสดงจุดยืนในการสืบทอดเจตนารมณ์ดังกล่าวต่อไปอย่างถึงที่สุด วีรกรรมอันห้าวหาญของวีรชน ที่ถากถากเส้นทางประชาธิปไตย จนสามารถเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้คนจนมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิออกเสียงได้ แม้วันนี้จะมีพื้นที่แค่เพียงบนท้องถนน แต่ก็เป็นจุดเริ่มที่จะนำพาไปสู่การสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต่อไป


 


"การต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อประชาธิปไตย ในความหมายของพวกเรา คนจนในชนบท และคนจนเมือง  ที่เป็น ชาวนา ชาวประมง และผู้ใช้แรงงาน ที่มารวมตัวกันในนามสมัชชาคนจนคือการต่อสู้เพื่อปกป้องและทวงสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติจากรัฐอย่างเสมอภาค และอย่างมีศักดิ์ศรี  และสิทธิที่พวกเราเรียกร้องต้องการนั้น มีรูปธรรมที่ชัดเจนจับต้องได้ และเป็นเรื่องของความเป็นความตาย พอๆกับที่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี และสิทธิเสรีอันเป็นนามธรรม


 


"การต่อสู้ของสมัชชาคนจนและขบวนการภาคประชาชนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา คือเครื่องพิสูจน์ว่า คนจนก็มีจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในแนวทางของตัวเอง  เราต้องต่อสู้กับเผด็จการที่แย่งชิงทรัพยากร ทรราชย์ที่ข่มเหงสิทธิชุมชน ปล้นสิทธิของเราไปด้วยการสร้างเขื่อนปิดแม่น้ำไม่รู้กี่สาย   ที่ทำกินถิ่นฐานของเราถูกท่วมทับทำลาย แล้วมาแลกด้วยเศษเงินค่าชดเชยปิดปากที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ถึงมือพวกเราด้วยซ้ำ พวกเราหลายคนโดนกฎหมายยัดเยียดข้อหาให้กลายเป็นผู้ร้ายบุกรุกป่าไม้ในที่ทำกินของตัวเอง อีกหลายคนถูกปล้นแรงงานร่างกายด้วยโรงงานก่อมลพิษร้าย และอีกสารพัดที่ฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์กับเราอย่างมัวเมาในอำนาจ  เพื่อสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับนายทุน เพื่อรองรับความสุขสบายของชนชั้นกลาง และสร้างพวกเราให้เป็นคนจน


 


ดังนั้น สำหรับพวกเราแล้ว การแก้ปัญหาคนจน คือความหมายเดียวกันกับการปกป้องประชาธิปไตยเพราะความทุกข์ยากที่พวกเราคนจนต้องเผชิญตลอดมานี้ ล้วนเกิดจากการที่รัฐใช้อำนาจเข้าข่มเหง แย่งชิงและทำลายสิ่งที่เคยเป็นถิ่นฐาน รากเหง้า ปากท้อง ลำแข้งและศักดิ์ศรีของเราทั้งสิ้น  รัฐอาจมองเห็นเป็นแค่ทรัพยากรที่จะยักย้าย แปรสภาพ หรือขายทิ้งเพื่อแลกกับการลงทุนโครงการพัฒนาจอมปลอมทั้งหลาย  แต่สำหรับเราแล้ว นั่นแหละคือ "ชาติ" ในความหมายที่เป็นรูปธรรมที่สุดของเรา  คนจนถูก "ปล้นชาติ" มาจนครบทศวรรษแล้ว โดยที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีกระบวนการทางการเมืองหรือกฎหมายใดให้ความยุติธรรมแก่เราได้


 


........................................................................................


ส่วนหนึ่งเรียบเรียงจาก : เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net