Skip to main content
sharethis

โดย ชำนาญ จันทร์เรือง


 


 


ประเด็นข้อขัดแย้งของการสร้างสวนสัตว์กลางคืนที่เชียงใหม่ได้นำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทและการสอบสวนของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาชุดที่ผ่านมาจนในที่สุดคณะกรรมาธิการมีความเห็นว่าสมควรระงับการดำเนินการโดยด่วนที่สุด โดยแนวทางการพิจารณาของคณะกรรมาธิการเน้นไปในประเด็นทางกฎหมายเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้มีการปฏิบัติตามแต่อย่างใด เพราะผู้ที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยในปัญหาความชอบด้วยกฎหมายและสามารถออกคำสั่งหรือคำบังคับก็คือศาลนั่นเอง


 


แต่ประเด็นนอกเหนือจากปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ว่าจริงหรือที่สวนสัตว์ทั้งหลายที่คนสร้างขึ้นนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์บ้าง เพื่อการศึกษาบ้าง ฯลฯ ว่าจริง ๆ แล้วเป็นไปตามนั้นหรือไม่ยังไม่มีการพูดถึงกันอย่างจริงจัง


 


การที่คนสร้างสวนสัตว์ขึ้นมาโดยเอาสัตว์ป่ามาเก็บไว้ดูเล่นนั้นมีมานานแล้ว จักรพรรดิของจีนก็ทำอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อหลายพันปีมาแล้ว แต่สวนสัตว์ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมนั้นเกิดขึ้นในยุโรปเมื่อสักสองร้อยกว่าปีมานี้เอง เมืองเล็กเมืองน้อยทั้งหลายพยายามสร้างจุดเด่นของเมืองโดยการที่จะต้องมีสวนสัตว์ไว้อวดอ้างกัน ว่ากันว่าทั่วโลกเวลานี้มีสวนสัตว์มากกว่า 500 แห่ง ซึ่งก็รวมถึงสวนสัตว์เอกชนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไรเป็นการเฉพาะด้วย


 


โดยที่วัตถุประสงค์เริ่มแรกของการมีสวนสัตว์ก็มีไว้เพื่ออวดกัน คนสร้างก็เลยไม่ค่อยได้คำนึงถึงชีวิตจิตใจของสัตว์ จึงมักจะจัดสัตว์ไว้ในกรง ทีแรกสัตว์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด ฯลฯ หมอบเหงา ๆ อยู่ในกรงเล็ก ๆ หรือไม่ก็เดินงุ่นง่านไปรอบ ๆ กรง เหนื่อยหน่อยก็กลับมาหมอบอยู่อย่างเหงา ๆ เพราะไม่มีมุมให้หลบหน้าคนไปได้ สวนสัตว์แบบนี้จึงเป็นสวนสัตว์ที่ไร้ชีวิตจิตใจ สัตว์จึงนั่ง ๆ นอน ๆ เดิน ๆ เพื่อรอวันตายให้พ้นทุกข์ไปเสีย ซึ่งดู ๆ ไปแล้วก็คือการทารุณกรรมสัตว์ดี ๆ นี่เอง


 


ที่แย่หน่อยก็คือเดี๋ยวนี้สวนสัตว์ต่างๆ มักจะอวดกันว่าสวนสัตว์ของใครมีสัตว์หลายประเภทมากกว่ากัน จึงต้องซื้อหาหรือแลกเปลี่ยนสัตว์แปลก ๆ ซึ่งอยู่นอกถิ่นมา เช่น เอาสัตว์เมืองหนาวมาไว้บนก้อนน้ำแข็งหรือเอาสัตว์เมืองร้อนไปไว้ในห้องอับ ๆ ที่ทำความอุ่นในเมืองหนาว หรือเอาสัตว์จากอาฟริกามาไว้เชียงใหม่ ฯลฯ


 


สวนสัตว์แบบนี้จึงถูกโจมตีจากนักอนุรักษ์ทั้งหลาย บางคนถึงกับไม่ยอมเข้าสวนสัตว์แบบนั้นเอาเลยก็มี จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีบางคนไปยืนถือป้ายประท้วงอยู่หน้าสวนสัตว์เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนงดเข้าชมสวนสัตว์แบบนั้น


 


ในส่วนของสวนสัตว์เปิดนั้นเล่าก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะส่วนใหญ่แล้วสวนสัตว์เปิดมักจะทำไปเพื่อผลทางธุรกิจและมักจะ "ทารุณ" สัตว์เสียยิ่งกว่าสวนสัตว์ธรรมดาเสียด้วยซ้ำ เพราะสวนสัตว์เปิดมักจะพยายามระดมหาสัตว์หลากหลายชนิดมาปล่อยรวมกันให้คนเข้าชม ชีวิตของสัตว์เหล่านั้นจึงไม่สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข


 


อันที่จริงแล้วสวนสัตว์เปิดที่แท้จริงนั้น จะต้องไม่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสวนสัตว์ตั้งแต่แรก แต่จะเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ตามธรรมชาติ เช่น เป็นวนอุทยานที่มีสัตว์บางชนิดชุกชุมอยู่แล้ว โดยเปิดให้คนเอารถเข้าไปชม แต่ก็ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะการที่มีผู้คนเข้าไปทีละมาก ๆ ของนักท่องเที่ยวย่อมกระทบต่อระบบชีวิตของสัตว์ได้ โดยบางแห่งเขาจะปิดเป็นคราว เช่นในฤดูติดสัด เป็นต้น เพื่อไม่ให้คนเข้าไปรบกวนมัน นั่นเอง


 


จะเห็นได้ว่าความเข้าใจของคนที่เข้าใจว่าสวนสัตว์เป็นสถาบันเพื่อการศึกษาหรืออนุรักษ์สัตว์ป่านั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ถูกต้อง เพราะอันที่จริงสวนสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสวนสัตว์กลางวัน สวนสัตว์กลางคืน ฯลฯ ก็เป็นเพียงการตัดซอยธรรมชาติ แล้วแบ่งเป็นช่อง ๆ ไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมหรือจำกัดอาณาเขตโดยเรียกโก้ ๆ ว่าสวนสัตว์เปิดบ้าง ซาฟารีเวิลด์บาง หรือแม้กระทั่งไนท์ซาฟารีบ้าง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการอนุรักษ์ที่ว่าเลย แต่เป็นการนำสัตว์ป่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาแบ่งแยกเป็นล็อก ๆ โดยไม่มีการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แล้วคนก็แส่เข้าไปทำหน้าที่แทน เช่น สร้างเกาะ ปลูกต้นไม้ ให้อาหาร หรือแม้แต่การเข้าไปจุ้นจ้านกับการผสมพันธุ์ของมัน


 


การแยกสัตว์ออกมาจากธรรมชาติแท้ ๆ เพื่อมาใส่ไว้ในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น กรง เกาะ เนินเขาจำลอง ฯลฯ จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและบุคลากรมากมาย รวมถึงงบประมาณที่ละลายแม่น้ำไปอีกจำนวนมหาศาล และเป็นการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ข้องผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น     


 


ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปเที่ยวสวนสัตว์นั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะไปเพื่อไปดูของแปลก หรือของที่ไม่เคยเห็น เช่น หมีแพนด้าจากเมืองจีน ฯลฯ ส่วนป้ายประกาศตามกรงต่าง ๆ นั้น ก็อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง แล้วจะได้ความรู้มาจากไหน สู้นอนดูทีวีรายการเกี่ยวกับสัตว์ที่บ้านยังจะได้ความรู้มากกว่าเสียอีก ฉะนั้น ใครที่อยากได้ความรู้พร้อมกับการใกล้ชิดธรรมชาติจริง ๆ แล้ว ไม่มีใครไปเที่ยวสวนสัตว์กันหรอกครับ


 


การแสวงหาความรู้ทางวิชาการหรือการอนุรักษ์สัตว์ที่ถูกแล้วควรจะเป็นเรื่องของการวิจัยหรือขยายพันธุ์สัตว์แล้วนำสัตว์ที่ได้ส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติต่างหาก มิใช่การจับไปกักขังในรูปแบบของสวนสัตว์ดังเช่นในปัจจุบันที่ไล่ล่าสัตว์ทั้งหลายออกมาจากป่าแล้วนำมาผสมพันธุ์กันเพื่อให้ตกลูกแล้วจัดงานประกวดตั้งชิงรางวัลกันโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันต่อการศึกษาหรือการอนุรักษ์สัตว์แต่อย่างใด


 


ภาพลักษณ์ของสวนสัตว์ที่คนเราพยายามสร้างว่ามันเป็น "ธรรมชาติ" หรือ "สัตว์ป่า" นั้น ล้วนแล้วแต่ผ่านการสร้างขึ้นตามที่คนจินตนาการหรือนึกคิดไปเองเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ "ธรรมชาติ" หรือ "สัตว์ป่า" ในสวนสัตว์จึงไม่มีอยู่จริง หากเป็นแต่คนเรานึกคิดไปเองเท่านั้น เพราะคนเราไปหลงตัวเองว่าคนเป็นศูนย์กลางของจักวาล สัตว์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของคนเท่านั้น โดยลืมไปว่าคนก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในบรรดาของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายที่ต่างก็เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารและเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย กับสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์เช่นกัน


 


ลองคิดง่าย ๆ ก็แล้วกันว่า หากจับเอามนุษย์ขี้เหม็นไปอยู่ในสวนสัตว์แล้วให้สัตว์เป็นฝ่ายเข้าชมบ้าง ท่านจะรู้สึกอย่างไร

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net