ประชาไท - 22 พ.ค. 49 สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ(สพน.) แถลงข่าวเปิดตัวโครงการปฏิรูปประเทศไทย ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เพื่อวิเคราะห์วิกฤตการณ์ประเทศไทยและแนวทางแก้ไข
ดร.
"บ้านเมืองมีวิกฤติแบ่งเป็นฝักฝ่าย จึงไม่อาจปล่อยให้บ้านเมืองมีปัญหาแบบนี้ได้ ด้วยความรู้สึกต้องการเห็นสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น โดยวางหลักไว้ตอนที่รัฐบาลให้เข้ามาช่วยคือ เพื่อประเทศที่ดีกว่าตอนนี้ วิกฤติที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว มีการว่างงาน และการลงทุนชะลอตัว ความขัดแย้งสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ควรมุ่งสู่ประโยชน์ ไม่ใช่การเอาชนะทางการเมือง วิกฤติตอนนี้เป็นส่วนผสมของหลายปัจจัย เป็นความขัดแย้งเชิงหลักการในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายนึกถึงประเทศเป็นสำคัญ"
ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า เหตุที่เลือกแถลงข่าวเปิดตัวโครงการที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เพราะมีความเชื่อมั่นในพลังประชาชนและการเมืองภาคประชาชน
"การที่ชนชั้นนำของประเทศทั้งหลายสุขสบายอยู่ได้ทุกวันนี้ล้วนมาจากการต่อสู้ของวีรชนที่เสียสละชีวิตทั้ง 14 ตุลา, 6 ตุลา, หรือพฤษภาประชาธรรม ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างก็อ้างความรักชาติทั้งสิ้น แต่อยากถามผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่า มีใครรักชาติจริงๆ มีใครรักประเทศนี้จริงๆ ห่วงใยประชาชนจริงๆ บ้าง ชาวบ้านในชนบทลำบากจริงๆ แต่ไม่เคยได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศเลย" ดร.อนุสรณ์กล่าว
ดร.
การเลือกเสวนาหัวข้อนี้เป็นครั้งแรกของโครงการเป็นความตั้งใจของ สพน. เพราะเห็นว่า ดร.ปรีดี เป็นแบบอย่างของผู้นำที่อุทิศตัวให้ประเทศ หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์การเมืองหลัง พ.ศ.2475 จะเห็นว่า ดร.ปรีดี อาจเป็นนักการเมืองเพียงไม่กี่คนที่สามารถยกมือไหว้อย่างสนิทใจได้ การสัมมนาจะเอามองแนวคิดของ ดร.ปรีดี ผ่านหลักการ 6 ประการที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งจะนำไปเสริมแนวทางการปฏิรูปการเมืองที่ผ่านการทำงานวิจัยต่างๆ ที่รวบรวมจากชาวบ้านและประชาชน
อย่างไรก็ตามแม้ว่า สพน.ที่ทำโครงการปฏิรูปประเทศไทยนี้ จะเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาล แต่จะเป็นอิสระในฐานะนักวิจัยเพื่อเป็นกลไกของประเทศที่ผูกพันกับอนาคต แต่ไม่ผูกพันกับรัฐบาลชุดใด จะเป็นกลไกเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
แต่ยอมรับว่าการทำงานคงมีความลำบาก ภายใต้รัฐบาลที่มีความเชื่อถือจากประชาชนและนักวิชาการน้อย แต่จะทำให้เชื่อว่า สพน. เป็นหน่วยงานทำประโยชน์ให้กับประเทศ และจะวางตัวเป็นกลางภายใต้สถานการณ์การเมืองที่แบ่งฝักฝ่ายดังปัจจุบัน
นอกจากการนำเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศที่มีพื้นฐานทางวิชาการต่อรัฐบาลแล้ว จะมีการรณรงค์ต่างๆตามมาด้วย เพื่อยืนยันในหลักการที่ศึกษาคือไม่ว่าในสมัยไหน หรือมีการเปลี่ยนรัฐบาลหลักการนี้จะยังคงอยู่ เช่น หลักการที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น
ด้าน ดร.
ส่วน ดร.เสาวลักษณ์ กิตติประภัสร์ รองประธานโครงการ กล่าวเสริมว่า การวิจัยต่างๆของโครงการจะเน้นสำรวจความเห็นจากกลุ่มที่ประสบปัญหาเป็นพิเศษ เช่น คนจน แรงงาน หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำทัศนะเหล่านั้นมาเป็นพื้นฐานในการทำงานวิจัยเชิงลึกไปสู่การนำเสนอประเด็นทางนโยบายรัฐบาลต่อไป เช่น เรื่อง FTA หรือการแปรรูป เป็นต้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)