วันที่ 30 พ.ค. ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 และนาย
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 44 จำเลยเสนอรายชื่อบุคคลให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อวุฒิสภาโดยมิชอบ ขัดต่อระเบียบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินฯ ข้อ 6 (5) ที่กำหนดให้ คตง.เสนอรายชื่อผู้มีคะแนนสูงสุดเพียงคนเดียวที่ได้รับการคัดเลือกจาก คตง. ให้สมควรเป็นผู้ว่าการ สตง. เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบและดำเนินการตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 แต่ปรากฏว่าในการสรรหาผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ สตง.ดังกล่าว จำเลยกลับเสนอชื่อบุคคลทั้งสิ้น 3 ราย ประกอบด้วย นาย
ทั้งนี้ ระเบียบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินฯ ข้อ 6 (5) กำหนดว่า การคัดเลือกของคณะกรรมการ คตง. นั้น ต้องลงมติด้วยคะแนนลับ และผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้รับคะแนนสูงสุด โดยมีคะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการ คตง.ทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งในการประชุม คตง. ครั้งที่ 26/2544 วันที่ 3 ก.ค. 44 พบว่าบุคคลที่ได้รับคะแนนสูงสุดและเกินกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการ คือนาย
ในชั้นพิจารณาจำเลยต่อสู้คดี โดยให้การปฏิเสธ อ้างว่าจำเลยดำเนินกระบวนการสรรหาและเสนอชื่อผู้สมควร ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ สตง.ตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของกฎหมายแล้ว ไม่มีเจตนาจะทำให้ โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย
ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 44 จำเลยในฐานะประธาน คตง. ได้รับหนังสือยินยอมจากโจทก์ร่วม ให้เสนอรายชื่อบุคคล 3 คนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกเป็นผู้ว่าการ สตง. โดยหนังสือระบุว่า โจทก์ร่วมได้รับคะแนนคัดเลือกเป็นอันดับ 1 5 คะแนน นางจารุวรรณได้รับเลือกเป็นอันดับ 2 3 คะแนน ส่วนนายนนทพลไม่ได้รับคะแนน ทั้งที่ความจริงแล้ว จำเลยควรจะต้องเสนอชื่อเฉพาะโจทก์ ร่วมเพียงคนเดียวซึ่งได้รับเลือกด้วยคะแนนสูงสุด อันเป็นคะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ คตง.ที่มีอยู่ทั้งหมด 8 คน ทำให้ผลสุดท้ายวุฒิสภาได้ใช้บัญชีรายชื่อบุคคลตามที่จำเลยเสนอให้ทั้ง 3 คน แล้วเลือกนางจารุวรรณเป็นผู้ว่าการ สตง. ซึ่งไม่ได้รับการสรรหาที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ตามระเบียบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้อ 6 (5) ระบุว่าการเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม ให้ถือตามมติ คตง. ด้วยวิธีลงคะแนนลับ
ในการนี้ให้ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดและมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคะแนนเสียง คตง. ที่มีอยู่ทั้งหมด ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเห็นได้ชัดว่า นางจารุวรรณและนายนนทพล ไม่ได้รับคะแนนเสียงตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว หากเป็นสอบไล่ต้องถือว่าสอบตก เพราะไม่ได้คะแนนตามที่กำหนดไว้ การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาฝ่าฝืนมติ คตง. ที่ระบุให้เสนอชื่อโจทก์ร่วมต่อวุฒิสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ แต่จำเลยซึ่งมีวุฒิภาวะทางการศึกษาระดับสูงถึงปริญญาเอก เคยทำงานด้านบริหารระดับสูงในองค์กรสำคัญหลายแห่ง หลายปี รวมทั้งเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยเฉพาะก่อนหน้าที่จำเลยจะได้รับเลือกเป็น ประธาน คตง. จำเลยต้องเคยผ่านกระบวนการสรรหามาแล้ว ย่อมจะมีประสบการณ์และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนั้น ถือว่าจำเลยกระทำการโดยปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157
นอกจากนี้ จำเลยยังเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงขององค์กรอิสระ ที่มีความสำคัญต่อบ้านเมือง ประเทศชาติและต่อประชาชน แต่กลับใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ผิดเสียเอง จนเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ในปัจจุบัน อีกทั้งทำให้เกิดความ เสียหายต่อประเทศชาติหลายประการ ส่วนข้ออ้างของจำเลยนั้นฟังไม่ขึ้น พิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ต่อมาญาติของนายปัญญาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นสมุดเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาบางเขน จำนวน 150,000 บาท ขอประกันตัวออกไป ศาลพิเคราะห์ แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ได้