Skip to main content
sharethis









โดย ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา



 


 


 


 


6 กรกฎาคม 2502


ณ หลักประหาร เรือนจำบางขวาง


ปุ! ปุ! ปุ!


กระสุนเพชฌฆาตจากอำนาจแห่งมาตรา 17 ของจอมเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปลิดชีพ ชายร่างสูงโปร่ง ผิวขาว วัย 34 ปี กับอีก 4 วันลง


 

เขายิ้มรับกับความตายที่มาเยือนอย่างองอาจกล้าหาญ อำนาจทมิฬเถื่อนมิอาจทำให้เขายอมค้อมหัวให้ สารพัดข้อกล่าวหาที่

ยัดเยียดใส่ร้าย ป้ายสี ไม่ว่าจะเป็น คอมมิวนิสต์ใหญ่ บ่อนทำลายความมั่นคง โค่นล้มราชบัลลังก์ ทรยศ ขายชาติ เหล่านี้มิอาจทำให้เกียรติยศแห่งชนชั้นกรรมชีพของเขาต้องจางหายไป     สิ้นเสียงปืนนัดสุดท้าย ก็เพียงแค่สิ้นใจ แต่ทว่าไม่สิ้นชื่อ


 


เรื่องราวของเขาแม้วันนี้ยังคงดูมืดมิด แต่อีกไม่นานเกินรอ ความจริงจะปรากฏ เรื่องราวของเขาคือสัจจธรรม ที่คงทนต่อการพิสูจน์ ประวัติศาสตร์จะต้องเปิดพื้นที่ให้กับเขาในฐานะวีระบุรุษคนหนึ่งของมวลผู้ใช้แรงงานไทย ชื่อของเขา "ศุภชัย ศรีสติ"


 


เมื่อเป็นนักเรียน เขาเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเลิศจนได้รับทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้ไปเรียนต่อในดินแดนซากุระ


ภายหลังสำเร็จการศึกษา ศุภชัย ศรีสติ วิศวกรหนุ่มกลับคืนสู่แผ่นดินบ้านเกิดด้วยความเร่าร้อนที่จะนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ


เขาได้เข้าทำงานครั้งแรกที่วิทยุการบิน แม้จะเป็นวิศวกร แม้จะเป็นนักเรียนนอก แต่ศุภชัยนึกเสมอว่า เขาคือกรรมกรคนหนึ่ง เป็นคนขายแรงงาน เป็นคนที่ถูกมองว่าต่ำต้อยด้อยค่าในสังคม แต่เขาภาคภูมิใจในความเป็นกรรมกรของเขา  ด้วยจิตใจรักความเป็นธรรมและเชื่อมั่นในพลังแห่งชนชั้นกรรมาชีพ


 


ศุภชัยตัดสินใจเข้าสู่ขบวนแถวของนักต่อสู้แห่งชนชั้นกรรมาชีพที่สมาคมกรรมกรไทย องค์กรระดับชาติของคนงานซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การนำของ ประกอบ โตลักษณ์ล้ำ กรรมกรม้าเหล็กผู้ได้รับฉายานามจอมขบถแห่งทุ่งมักกะสัน


 


ศุภชัย ศรีสติ เป็นสหายต่างวัยทำงานใกล้ชิดกับประเสร็ฐ ขำปลื้มจิต สารถีคนขี่สามล้อถีบที่มีบทบาทสำคัญในขบวนการแรงงานไทยในขณะนั้น ความสามารถทางด้านภาษาของศุภชัย ทำให้เขาได้รับมอบหมายจากเพื่อนคนงานอื่นให้เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้เชื่อมขบวนการแรงงานไทยเข้ากับขบวนการแรงงานสากล เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและกรรมการของกลุ่มกรรมกร 16 หน่วย ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาความแตกแยกไม่มีเอกภาพของขบวนการแรงงานไทยในขณะนั้น กลุ่มกรรมกร 16 หน่วยของเขามีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งในสังคมไทยในช่วงท้ายของทศวรรษที่ 2490 ผลงานที่สำคัญประการหนี่งของกลุ่มกรรมกร 16 หน่วยคือการต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้มีการตรากฎหมายคุ้มครองแรงงานจนประสบชัยชนะทำให้รัฐบาลต้องผ่านกฎหมายแรงงานฉบับแรกออกใช้บังคับในปี 2499


 







ศุภชัยเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสมาคมผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือที่เราเรียกกันในวันนี้ว่าแรงงานนอกระบบ เพื่อเรียงร้อยเพื่อนพี่น้องผู้ใช้แรงงานเหล่านั้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแรงงานไทย ศุภชัย ศรัทธาและเชื่อมั่นในอุดมการณ์สังคมนิยมอย่างแน่วแน่ เขามองว่าสังคมนิยมคือทางออกของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยขณะนั้น เขาเห็นว่าแนวทางสังคมนิยมคือธงนำของกรรมาชีพทั่วโลก เขาศึกษาค้นคว้าเพื่อทำความเข้าใจกับแนวทางสังคมนิยมอย่างจริงจังและอย่างเปิดเผย โฉ่งฉ่าง ขณะที่นักสังคมนิยมร่วมสมัยพากันพรางกายอยู่ข้างหลัง แต่ศุภชัยกลับประกาศตัวอย่างเปิดเผยในฐานะนักสังคมนิยมอิสระ เขาคิดว่ามนุษย์ควรมีสิทธิและเสรีภาพในอันที่จะเลือกยึดถืออุดมการณ์ทางการเศรษฐกิจการเมืองใดๆ ก็ได้ตราบที่ไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น

 


ด้วยความที่สนใจใคร่รู้ในลัทธิสังคมนิยมเขาจึงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมกรไทยที่เดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับกรรมกรจีน ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนซึ่งปกครองภายใต้ระบอบความเชื่อของอุดมการณ์สังคมนิยมในปี 2500 ซี่งเมื่อกลับสู่ประเทศไทยเขาจึงถูกจับกุม


 


ศุภชัยได้จัดตั้ง สภาคนงานแห่งประเทศไทยขึ้นในปี 2500 ทำการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อมวลคนงาน คัดค้านอำนาจเผด็จการและจักรวรรดินิยมอเมริกา


ภายหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ผู้นำกรรมกรหลายคนถูกจับกุมคุมขัง พร้อมกับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนอื่นๆ ศุภชัยและสภาคนงานแห่งประเทศไทยของเขายังคงซุ่มทำงานตามอุดมการณ์ต่อไปอยู่นอกคุกอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจเผด็จการ


 


แถลงการณ์ใบปลิววิพากษ์รัฐบาลเผด็จการกับจักรวรรดินิยมอเมริกาอย่างรุนแรงที่เขาทำ ถูกแจกจ่ายสู่สาธารณชน ดูเหมือนว่าจะมีเขาและองค์กรของเขาเป็นองค์กรเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดทำงานตามอุดมการณ์อย่างต่อเนื่องท่ามกลางบรรยากาศเผด็จการและอำนาจล้นฟ้าของระบอบปฏิวัติของจอมเผด็จการสฤษดิ์


 


แต่แล้วในที่สุด วันที่ 30 มิถุนายน 2502 เขาได้ถูกจับกุม และถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยอำนาจตามมาตรา 17 โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม


 


ฝ่ายเผด็จการพยายามที่จะให้เขาใส่ร้ายป้ายสีเพื่อนเพื่อขยายผลการจับกุม แต่สำหรับเขา การขายเพื่อนคืออาชญากรรมอันชั่วร้าย เขาขอตายเพื่อรักษาเกียรติยศแห่งชนชั้นกรรมาชีพดีกว่า ก่อนตายเขาได้บันทึกข้อความสั้นๆ บนกระดาษโน๊ตเล็กๆ ว่า


 


"อายุของข้าพเจ้าครบวันเกิดปีที่ 34 ในวันนี้ และอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ วาระสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว แต่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน" 


 


"จะให้ซัดทอดอะไรอีกได้ ในเมื่อมันไม่มีตัวมีตนเลย ใส่ร้ายเพื่อนหรือผู้อื่นหรือ? นั่นมันอาชญากรรมอย่างชั่วช้าที่สุด และเราจะไม่มีวันทำอย่างเด็ดขาด ถ้าจะต้องตายแล้วจะขอตายด้วยเกียรติยศ จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ด้วยการให้ร้ายผู้อื่นอย่างเด็ดขาด..."


 


เผด็จการคิดว่ากระสุนของพวกเขาได้ปลิดชีพศุภชัยไปแล้ว  แต่ไม่ใช่เลย... ศุภชัยยังไม่ตาย... เขายังคงอยู่ ยังอยู่ในมโนสำนึกของคนที่ต่อสู้เพื่อกรรมกร เพื่อคนทุกข์ยากและเพื่อสังคมที่เป็นธรรม จิตใจกล้าหาญของเขายังคงประทับอยู่กลางดวงใจของผู้คนที่ใฝ่หาความเป็นธรรมเสมอ ศุภชัยยังอยู่เคียงข้างคุณเสมอตราบที่คุณยืนหยัดอยู่กับการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของมวลกรรมกร


 


วันนี้ชื่อของศุภชัย ศรีสติ ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อห้องประชุมในพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ใกล้สถานีรถไฟมักกะสัน เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณให้กับวีรบุรุษกรรมกรท่านนี้ เพื่อพวกเราจะสืบสานเจตนารมณ์ของเขา และเพื่อตอกย้ำว่าศุภชัยยังไม่ตาย เผด็จการไม่เคยฆ่าเขาให้ตายไปจากขบวนการกรรมกรไทยได้เลย


 


วันนี้ห้องประชุมแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่ใช้ประชุมที่ขลังและมีพลังที่สุดของขบวนการแรงงานไทย เป็นห้องประชุมที่นักสหภาพแรงงานหลายคนใฝ่ฝันที่จะเข้ามาใช้เป็นสถานที่ถกเถียงในประเด็นปัญหาแรงงาน คุณล่ะเคยมาหรือยัง?

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net