Skip to main content
sharethis

ทีมข่าวประชาไทภาคเหนือ : รายงาน


 



เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ วางเครื่องหมายบริเวณจุดที่ค้นพบหลักฐานในที่เกิดเหตุ


 


เป็นเวลาเกือบ 1 ปี 6 เดือนแล้วที่พระสุพจน์ สุวโจ พระนักอนุรักษ์แห่งกลุ่มเสขิยธรรม เจ้าอาวาสสวนเมตตาธรรม ซึ่งตั้งอยู่ ณ บ้านห้วยงู หมู่ 5 ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีคมไม่ทราบขนาดและจำนวนสังหารอย่างเหี้ยมโหดเมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายน 2548


 


แม้จะมีการโอนคดีจากตำรวจท้องที่ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่ก็เช่นเดียวกับคดีสังหารนักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนทั้งหลายที่ไม่มีความคืบหน้าของรูปคดี กระทั่งหลายฝ่ายรวมทั้งองค์การภาคประชาสังคมต่างๆ ต้องออกมากระตุ้นการทำงานของดีเอสไอบ่อยครั้ง


 


คดีที่ไร้วี่แววมีคืบหลังเปลี่ยนอธิบดีดีเอสไอ


แต่แล้วคดีสังหารพระสุพจน์ที่เคยไร้วี่แววว่าจะนำตัวมือสังหาร ตลอดจนคนบงการมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมได้ก็ถึงจุดเปลี่ยน...


 


เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2549 นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งย้าย พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาช่วยงานที่กระทรวงยุติธรรม ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม สลับกับนายไกรสร บารมีอวยชัย รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รอให้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสุนัย มโนมัยอุดม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ มาเป็นอธิบดีดีเอสไอต่อไป


 


ต่อมา พล.ต.อ.สมบัติ ได้กลับเข้ามารับตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งตำแหน่งดังกล่าว เป็นตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งมีขึ้น


 


หลังการเปลี่ยนแปลงอธิบดีดีเอสไอนี้เอง ได้มีการรื้อฟื้นคดีสำคัญๆ มาพิจารณากันอีกครั้ง ทั้งคดีอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม การรื้อฟื้นคดีฆ่าตัดตอน ฯลฯ


 


คดีสังหารพระสุพจน์ก็เช่นกัน ทีมเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นำโดยพันตำรวจโท กฤษฎา ริบรวมทรัพย์ นักนิติวิทยาศาสตร์ 8 ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 6-7 ธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมในคดีดังกล่าว


 


ฤากระดูกร้องได้? เมื่อเครื่องตรวจจับวัตถุโลหะร้องอยู่ไม่ขาดระหว่างการค้นหาหลักฐาน


โดยในการสืบสวนหาพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการตรวจสอบหาหลักฐานของคนร้ายในกุฏิพระสุพจน์ มีการเก็บหลักฐานไปตรวจสอบหลายชิ้น อย่างไรก็ตามระหว่างการหาหลักฐานเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชน ผู้เกี่ยวข้องและญาติของผู้เสียชีวิต เข้าไปบริเวณกุฏิ


 


ส่วนช่วงบ่ายได้มีการหาหลักฐานเพิ่มเติมบริเวณที่พระสุพจน์ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งปัจจุบัน จุดที่พระสุพจน์เสียชีวิตได้มีการตั้งศาลและบริเวณโดยรอบมีสภาพเป็นป่าไผ่ มีหญ้าขึ้นรกและเป็นที่น่าสังเกตว่า สวนส้มของอีกฝั่งถนนซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับจุดทีพระสุพจน์เสียชีวิตก็ได้มีการตั้งศาลขึ้นเช่นกัน


 


ทางเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ใช้เครื่องตรวจจับวัตถุโลหะช่วยค้นหาหลักฐานประเภทของมีคมที่อาจหลงเหลือบริเวณที่เกิดเหตุ และบริเวณป่าไผ่ ป่าหญ้ารอบๆ เป็นบริเวณกว้างด้วย โดยระหว่างการค้นหาหลักฐานของทีมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ปรากฏว่าเครื่องตรวจจับวัตถุโลหะดังกล่าวส่งสัญญาณเป็นระยะๆ


 


โดยสื่อมวลชนที่เกาะติดทำข่าวคดีสังหารพระสุพจน์ตั้งข้อสังเกตว่าการค้นหาพยานหลักฐานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มีความละเอียดและมีการใช้เครื่องมือค้นหาที่ทันสมัยมากอย่างเครื่องตรวจจับวัตถุโลหะ ซึ่งแตกต่างจากทีมค้นหาหลักฐานชุดก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นทีมของตำรวจท้องที่ หรือจากดีเอสไอก่อนหน้านี้


 



เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ขณะปฏิบัติหน้าที่ค้นหาหลักฐาน


 


การค้นหาช่วงบ่ายกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทีมจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จึงยุติการค้นหา โดยได้หลักฐานจากที่เกิดเหตุเพิ่มเติมหลายประเภท ทั้งขวดแก้ว รองเท้า กรอบแว่นตา เลนส์แว่นตาที่ญาติสงสัยว่าจะเป็นของพระสุพจน์ เป็นต้น


 


อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ลงพื้นที่หาหลักฐานครั้งนี้ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ กับผู้สื่อข่าว


 



นายกิตติพัฒน์ ด้วงประเสริฐ บิดาของพระสุพจน์ สุวโจ


 


หัวอกพ่อแม่ "การค้นหาวันนี้ทำให้มีความหวังระดับหนึ่ง"


ในวันที่มีการค้นหานี้ ผู้เป็นบิดามารดาของพระสุพจน์ที่ได้มรณภาพ คือ นายกิตติพัฒน์และนางดาวเรือง ด้วงประเสริฐ ได้เดินทางจากภูมิลำเนาคือ จ.นนทบุรี ขึ้นมายังสวนป่าเมตตาธรรม อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อเฝ้าติดตามการค้นหาหลักฐานของทีมนิติวิทยาศาสตร์ด้วย


 


นายกิตติพัฒน์ผู้เป็นบิดาได้กล่าวหลังสิ้นสุดการค้นหาหลักฐานกับ "ประชาไท" ว่า ตั้งแต่เปลี่ยนรัฐบาลก็มีความหวังกับคดีนี้ขึ้นมาเล็กน้อย และการค้นหาวันนี้ทำให้เริ่มมีความหวังระดับหนึ่ง แต่จะได้สักแค่ไหนตนต้องดูก่อน ที่เห็นวันนี้ก็รู้สึกว่าทีมค้นหาหลักฐานก็มาทำจริงจัง ซึ่งถ้าเขามาทำตั้งแต่ทีแรก ตั้งแต่พระท่านมรณภาพใหม่ๆ สัก 2-3 วันแรก ก็อาจจะมีผล แต่นี่มันช้าไป หลักฐานต่างๆ อาจจะหาย


 


พระกิตติศักดิ์เผยดีเอสไอตั้งปมสังหารใหม่อาจมีการบงการฆ่า


ด้านพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ เจ้าอาวาสสวนป่าเมตตาธรรม มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และประธานเครือข่ายเสขิยธรรมกล่าวถึงที่มาของการค้นหาหลักฐานคดีพระสุพจน์เพิ่มเติมครั้งนี้ว่า ได้รับแจ้งจากดีเอสไอว่าจะมีการนำเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์มาตรวจที่เกิดเหตุ มาตรวจในกุฏิท่านสุพจน์ เพื่อหาหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติม โดยพระกิตติศักดิ์กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงคดีว่าล่าสุดที่ดีเอสไอบอกก็คือเรื่องนี้ไม่ใช่การบันดาลโทสะหรือการก่อเหตุซึ่งหน้า และคดีนี้มีการบงการ


 


"อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดกันตรงไปตรงมา มันจะเรียกว่าความคืบหน้าไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรจะทำตั้งแต่ 18 เดือนที่แล้ว" พระกิตติศักดิ์กล่าว


 


ถ้าทำคดีตามที่สมมติฐานที่เสนอแต่แรกก็จบ พอไม่ทำตอนนี้จึงเสียหาย


"ถึงวันนี้ อย่างหนึ่งที่ชัดเจนก็คือการกลับมาพิสูจน์สมมติฐานที่เราตั้งไว้ ซึ่งเราพูดตั้งแต่พระสุพจน์มรณภาพมาได้วันสองวัน ว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เราถูกปฏิเสธมาตลอด และพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าสมมติฐานที่เขาตั้งไว้ถูกต้อง คือเสียเวลาไปปีหนึ่งในการพยายามพิสูจน์ว่า คดีนี้เป็นเรื่องของการก่อเหตุซึ่งหน้า เป็นเรื่องของชาวบ้านมาตัดไม้ เรื่องนี้ไม่มีเบื้องหลังไม่มีการเมือง" พระกิตติศักดิ์กล่าว


 


พระกิตติศักดิ์เปรียบเทียบการทำคดีของดีเอสไอว่า "ก็เหมือนกับว่ามีคนชี้ว่าควรจะเดินไปทางนี้ ทางทิศตะวันออก เพื่อจะไปให้ถึงหมู่บ้านข้างหน้า แต่คุณไม่ฟัง คุณพยายามจะเดินไปทางทิศเหนือ คุณพยายามจะเดินไปทางทิศได้ คุณพยายามจะเดินไปทางทิศตะวันตก สุดท้ายคุณเดินไปทุกทิศ คุณไม่เจอหมู่บ้าน คุณก็บอกว่าใช่ น่าจะไปทางทิศตะวันออกนี่แหละ"


 


"ถามว่ามันเป็นความคืบหน้าไหม มันไม่ใช่ ถ้าคุณเดินตั้งแต่ทีแรกก็จบ ทีนี้ถ้าสันนิษฐานว่ามันมีเหตุผลอะไร ที่เขาไม่เดินทีแรก ถ้ามองในด้านร้าย กลัวว่าจะถึงผู้ที่เขาไม่อยากให้ไปถึง สอง เขาไม่มีประสิทธิภาพ สาม มันทำให้เท่ากับยอมรับความคิดเห็นของพวกเรา กลายเป็นว่าที่เขาทำงาน เป็นการทำตามที่พวกเราเสนอ เขาไม่ยอม พอไม่ยอมก็เสียหาย พอเสียหายแล้วใครรับผิดชอบ" พระกิตติศักดิ์กล่าว


 


หมอพรทิพย์รับหาหลักฐานยากเพราะคดีเกิดนาน-แถมตำรวจเอาไปทำเองแต่แรก


พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงกรณีส่งทีมงานร่วมเดินทางไปกับดีเอสไอครั้งนี้ผ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า เป็นไปเพื่อร่วมเก็บพยานหลักฐานตามที่มีการร้องขอ พร้อมทั้งจะเข้ารับฟังข้อมูลจากพนักงานสอบสวน แต่ทั้งนี้ยอมรับว่าการหาพยานหลักฐานอาจเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นมานานจนกระทั่งพนักงานสอบสวนท้องที่ได้โอนคดีไปให้ดีเอสไอ


 


ส่วนคดีนี้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการเองตั้งแต่แรกแต่ก็เงียบหายไปนาน กระทั่งมาให้ความสำคัญในตอนนี้จึงอาจดูเหมือนเป็นการสร้างกระแส ส่วนการทำงานร่วมกันของดีเอสไอกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ก็เป็นไปตามขั้นตอน แต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาโดยเนื้องานแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทำงานร่วมกัน คดีพระสุพจน์ จึงดูคล้ายกับคดีทนายความสมชาย นีละไพจิตร ที่อยากจะเรียกมาทำก็เรียกมาตามใจชอบ แต่ผลที่ตามมาคือเรียกมาช้าทำให้พยานหลักฐานแทบจะไม่มีเหลือ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์กล่าว


 






ปมคดีฆ่าพระสุพจน์


ที่มาดีเอสไอ-นิติวิทยาศาสตร์ ขึ้น อ.ฝางสางคดี


 


ย้อนหลังกลับไปสำหรับคดีฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวโจที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายน 2548 นั้น


 


ในช่วงแรกของการเสียชีวิต พ.ต.ท.สมชาย อินทวงศ์ สวส.สส.สภ.อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบบริเวณพยานแวดล้อม พบว่าห่างจากศพประมาณ 10 เมตร มีร่องรอยของการตัดไม้ไผ่ที่ถูกตัดกองไว้อยู่สองลำ สันนิษฐานว่าการมรณภาพของพระรูปดังกล่าวน่าจะเกิดจากการเข้าไปห้ามปราม หรือต่อว่าชาวบ้านที่เข้ามาตัดไม้ หรืออีกกรณีอาจเป็นไปได้ว่ามีการว่าจ้างคนงานให้ไปตัดไม้แล้วมีปัญหาเรื่องค่าจ้าง อาจเป็นเหตุให้ชาวบ้านไม่พอใจและลงมือสังหารได้


 


แต่พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรมระบุว่า การมรณภาพไม่น่าจะใช่ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของชาวบ้านที่เข้าไปตัดไม้ไผ่ หาหน่อไม้ เพราะสถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรมอนุญาตให้ชาวบ้านเก็บหน่อไม้หากินอยู่กับป่าได้ อีกทั้งพระสุพจน์เป็นพระที่เคร่งครัดจริยวัตรปฏิบัติ จนเป็นที่เคารพของชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก และทั้งที่เกิดเหตุยังห่างจากกุฏิเพียง 300 เมตร และผ้าสบงยังแช่น้ำเตรียมซักอยู่ จึงเชื่อว่าจะถูกหลอกให้ออกไป โดยคนร้ายอ้างว่ามีเหตุสำคัญให้ออกไปดูก่อนลงมือสังหารพระสุพจน์


 


ทำให้พระสุพจน์รีบออกไปโดยไม่ได้ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งานอยู่ และจากบาดแผลน่าจะเป็นการฟันซ้ำให้ตาย อีกทั้งสุนัขที่พระสุพจน์เลี้ยงไว้ก็ถูกฟันที่สะโพกเช่นกัน


 


พระกิตติศักดิ์กล่าวว่าโดยการมรณภาพน่าจะเกิดจากผู้มีอิทธิพลในท้องที่ และเชื่อมโยงกับนักการเมืองระดับชาติ เพราะก่อนหน้านี้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ซึ่งทราบว่าเป็นน้องของ ส.ส.พรรคไทยรักไทย รวมทั้งเจ้าที่รัฐบางคน เข้ามาข่มขู่เพื่อหวังจะฮุบเอาที่ดินไปใช้ประโยชน์ตัวเอง โดยอ้างว่าพื้นที่สถานปฏิบัติธรรมมีเอกสารสิทธิไม่ถูกต้อง ทั้งที่ความจริงนั้นมีเอกสารสิทธิถูกต้อง โดยได้รับบริจาคจากชาวบ้านที่ค่อนข้างมีฐานะมอบให้ใช้ปฏิบัติธรรม ต่อมาทางมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ได้ดำเนินการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีพระสุพจน์เป็นพยานสำคัญ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงไม่รับแจ้งความ จนต้องทำเรื่องไปถึงรัฐบาล ตำรวจถึงจะยอมรับแจ้งความ และล่าสุดอัยการแจ้งมาว่าเรื่องจะขึ้นสู่ศาลในวันที่ 30 มิถุนายน 2548


 


หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ ทำให้เอ็นจีโอสายสิ่งแวดล้อมและเครือข่ายพระนักพัฒนา ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เร่งดำเนินคดี ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ส่วนตำรวจได้โอนคดีให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้ดำเนินการต่อและเรื่องได้เงียบหายไป กระทั่งมีการเปลี่ยนรัฐบาลและดีเอสไอชุดใหม่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบคดีในครั้งนี้


 


 






พระสุพจน์ สุวโจ : ผู้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่อกับธรรมะอย่างสมสมัย


 




พระสุพจน์ สุวโจ


 


พระสุพจน์ สุวโจ จบการศึกษาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกอบอาชีพสัตวแพทย์ในกรุงเทพมหานคร จนเมื่อปี 2535 ได้อุปสมบทที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี โดยมีหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุเป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดสวนโมกพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ จะนิมนต์พระสุพจน์ พร้อมพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณและพระมหาเชิดชัย กวิวังโส ไปจำพรรษาที่สวนป่าเมตตาธรรม หมู่ 5 บ้านห้วยงู ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2541


 


ที่ผ่านมาพระสุพจน์ ถือเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พุทธศาสนา มีการกล่าวขานกันว่า พระสุพจน์เป็นผู้ "ประยุกต์ใช้ธรรมะเพื่อแก้ปัญหาชีวิตและสังคมอย่างสมสมัย" โดยท่านเป็นผู้มากความสามารถด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต และการประยุกต์ศิลป์ เพื่อออกแบบสื่อ ทั้งเว็บไซต์และสิ่งพิมพ์ให้กับพระพุทธศาสนา


 


โดยการจัดทำและพิมพ์หนังสือธรรมะกว่า ๑๐๐ เล่ม รวมทั้งจดหมายข่าวเสขิยธรรม ท่านเป็นเว็บมาสเตอร์เว็บไซต์พุทธทาสศึกษา (www.buddhadasa.org) และเป็นผู้จัดรูปเล่มพ็อกเก็ตบุกเผยแผ่ธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ทำเว็บไซต์จิตติวัฒน์ (www.jitwiwat.org) เว็บไซต์สมาคมคนน่ารัก (www.khonnaruk.com) เว็บไซต์กลุ่มเสขิยธรรม (www.skyd.org) หรือเว็บไซต์รณรงค์เพื่อให้วัดและพระปลอดบุหรี่ (www.nosmoke.in.th)


 


ตลอดจนเป็นผู้ร่วมตั้งกลุ่มพุทธทาสศึกษา และมีบทบาทในการร่วมจัดอบรมธรรมะแบบมีส่วนร่วม หรือการจัดเสวนาอภิปรายเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ธรรมะกับชีวิตและสังคม


 


ขณะเดียวกัน เมื่อเข้ามาจำพรรษาในสวนป่าเมตตาธรรม พระสุพจน์อดีตสัตวแพทย์ใช้ความรู้ที่เรียนมาช่วยดูแลรักษาชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงหมา แมว จนเป็นที่รักใคร่ของคนในชุมชนนั้น ทั้งยังคอยดูแลรักษาพื้นที่ป่า จากเดิมที่เป็นสวนลิ้นจี่ร้าง ก็ได้นำต้นมาปลูกทดแทน ทำให้สภาพป่าสมบูรณ์ขึ้นและให้ชาวบ้านเข้ามาเก็บหาของป่าทั้งเห็ด หน่อไม้ ไปเลี้ยงชีพและขาย และยังทำให้มีสัตว์ป่าหลายชนิดเข้ามาอาศัยอยู่


 


สวนป่าเมตตาธรรมที่พระสุพจน์จำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น เป็นที่ดินที่ได้รับการบริจาคโดย ดร.สิงห์ทน คำซาว ซึ่งมอบที่ดินกว่า 1,500 ไร่ ให้เป็นของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ โดยใช้ในกิจการพระศาสนาคือสวนป่าเมตตาธรรมจำนวน 700 กว่าไร่ และให้เป็นป่าชุมชน 700 กว่าไร่


 


แต่ที่ดินของสวนป่าเมตตาธรรมเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. ซึ่งชาวบ้านได้ยินยอมให้ใช้ประโยชน์ในพุทธศาสนา ซึ่งที่ดินดังกล่าวถือเป็นแปลงใหญ่ที่สุดที่ยังว่างอยู่ ทำให้ผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับนักการเมืองใน อ.ฝาง รวมทั้งญาติ ต้องการฮุบที่ดินเป็นของตัวเอง โดยกลางปี 2545 กลุ่มอิทธิพลดังกล่าวได้นำทหารนอกราชการและนักเลงในพื้นที่เข้ามาข่มขู่คนงานภายในสำนักสงฆ์ให้ออกนอกพื้นที่ จึงได้เข้าแจ้งความ แต่ตำรวจกลับปล่อยตัว


 


ต่อมากลุ่มอิทธิพลดังกล่าวก็ได้ก่อเหตุรุนแรง ด้วยการรุมซ้อมคนงานภายในสำนักสงฆ์ พระสุพจน์จึงได้เข้าแจ้งความที่ สภ.อ.ฝาง เป็นครั้งที่สอง แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความโดยอ้างว่าเป็นเรื่องของทหาร เมื่อตำรวจไม่รับแจ้งความ พระสุพจน์จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นและสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือสั่งการไปยัง สภ.อ.ฝาง ให้รับแจ้งความ


 


ล่าสุดในช่วง 3 เดือนก่อนพระสุพจน์จะมรณภาพ กลุ่มอิทธิพลกล่าวก็ยังไม่เลิกความพยายาม ได้นำรถไถเข้าไปไถปรับหน้าดินในพื้นที่สำนักสงฆ์ประมาณ 20 ไร่ และบอกว่าจะมาไถอีกเรื่อยๆ ทำให้พระสุพจน์ต้องเข้าแจ้งความอีก ตำรวจท้องที่ต้องเข้ามาสั่งให้หยุด


 


และคดีเก่ายังไม่ทันจะสะสาง คืนวันที่ 17 มิถุนายน 2548 ระหว่างที่พระรูปอื่นในสวนเมตตาธรรมมีกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ ก็ได้เกิดเหตุฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวโจ โดยมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธของมีคมไม่ทราบขนาดและชนิดฟันพระสุพจน์จนเกิดบาดแผลฉกรรจ์กว่า 20 แผลถึงแก่มรณภาพ


 


เป็นเวลากว่า 1 ปี 6 เดือนแล้ว ที่เกิดปริศนาคาใจผู้คนในสังคมอยู่จนทุกวันนี้ว่าใครฆ่าพระสุพจน์?


 


ที่มาของแหล่งอ้างอิง


พระสุพจน์ สุวโจ : ประวัติชีวิต http://www.skyd.org/Supoj/bio.html


 


 


ข่าวประชาไท "คดีสังหารพระสุพจน์" ย้อนหลัง


สัมภาษณ์ : "พระกิตติศักดิ์" วิพากษ์ทำไมรัฐบาลสุรยุทธ์- คมช.มุ่งสนใจแต่คดีทนายสมชาย!? 30/11/2549


"พระกิตติศักดิ์" ขึ้นศาลฝางสู้คดีแจ้งความเท็จ สภาทนายความยื่นมือช่วยเหลือหวั่นอิทธิพลมืด22/11/2549


พระกิตติศักดิ์ ร้อง ดีเอสไอ ข่มขู่พยานคดีพระสุพจน์ 7/7/2549


คุกคามซี่รี่ย์ : ฟัง "พระกิตติศักดิ์" พูด...ยุคทักษิณ แม้ห่มผ้าเหลืองก็มรณภาพได้ง่ายๆ 6/9/2549


ดีเอสไองง! พยานคดีพระสุพจน์หนีข้ามประเทศ กองปราบฯถอนชุดคุ้มครอง"พระกิตติศักดิ์" 6/10/2548


ดีเอสไอแกะรอยคดีพระสุพจน์ โยงยาเสพติด-ฟอกเงิน-อิทธิพลท้องถิ่น? 6/10/2548


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net