Skip to main content
sharethis

ศาลลำพูนพิพากษาจำคุก 6 ปีไม่รอลงอาญา 6 คนจนไร้ที่ดินลำพูน กรณีเข้าปฏิรูปที่ดินบ้านพระบาท ญาติผู้ต้องหาโร่หาหลักทรัพย์ประกันตัวคนละแสน เผยอุทธรณ์ต่อแน่


 


วันนี้(28 ธ.ค.) ศาลจังหวัดลำพูน อ.เมือง จ.ลำพูน ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 1531/2545, 1371/2546 ระหว่างพนักงานอัยการ จ.ลำพูนเป็น โจทก์ ฟ้องนายสุแก้ว ฟุงฟู กับพวกรวม 6 คนเป็นจำเลย คือ นายประเวศน์ ปันป่า, นายไล เตจา, นายสืบสกุล กิจนุกร, นายรังสรรค์ แสนสองแคว และนายนิคม ปารีเสน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น กรณีบ้านพระบาท ม. 6 ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาว่าจำเลยทั้ง 6 คนได้กระทำความผิดตามข้อหาร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นจริง โดยมีความผิดทั้งหมด 6 กระทง คือทำให้เสียทรัพย์ 1 กระทง , บุกรุก 3 กระทง และร่วมกันแปรรูปไม้สักโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 กระทง ดังนั้นศาลจึงพิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 6 คนเป็นเวลา 6 ปีโดยไม่รอลงอาญา


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 6 คนนั้น ได้มีญาติร่วมกันทำการประกันตัวคนละ 1 แสนบาท ซึ่งทั้งหมดได้ใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินประกันตัวออกไป และจะมีการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป.


 


ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ศาลจังหวัดลำพูน อ.เมือง จ.ลำพูน มีการพิพากษาคดีกรณีชาวบ้านท่าหลุก ต.หนองล่อง กิ่งอ.เวียงหนอง จ.ลำพูน บุกรุกที่ดินของนายทุน ตามคดีหมายเลขดำที่ 1379/2546 ซึ่งพนักงานอัยการ จ.ลำพูน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเชาวลิตร เจริญผิว ชาวบ้านท่าหลุกกับพวกรวม 19 คนในข้อหาบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นคดีลักษณะเดียวกับชาวบ้านไร่ดง ต.น้ำดิบ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ที่ศาลสั่งยกฟ้องไปเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา


           


การพิพากษาครั้งนั้น ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้ง 19 คน มีความผิดลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ศาลได้ให้เหตุผลว่าจากการสืบพยานโจทก์ที่อดีตเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่นั้นมีความชัดเจน น่าเชื่อถือ พร้อมกับสามารถระบุได้ชัดเจนว่าจำเลยทั้ง 19 คนเข้าไปบุกรุกที่ดินจริง โดยหลังจากฟังพิพากษาฝ่ายญาติจำเลยได้ติดต่อทำเรื่องประกันตัวชั่วคราว โดยใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินคนละ 100,000 บาทรวมทั้งสิ้น 19 คน เป็นมูลค่า 1.9 ล้านบาท


 


นายคำ ลางหนอง ชาวบ้านท่าหลุกและเป็นญาติผู้ต้องหา กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจที่คำพิพากษาออกมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับตามกระบวนการยุติธรรม โดยตนและพวกจะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด โดยเชื่อว่าจำเลยทั้ง 19 คนและชาวบ้านทุกคนในพื้นที่เข้าไปทำกินและใช้ประโยชน์เพราะเดือดร้อนไม่มีที่ดินทำกิน พร้อมทั้งยืนยันว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวประมาณ 630 ไร่นั้นเดิมเป็นพื้นที่ทิ้งร้างว่างเปล่าไม่มีการใช้ประโยชน์แต่อย่างใด


 


ในขณะที่นายรังสรรค์ แสนสองแคว กล่าวว่า ถือว่าปัญหาเรื่องที่ดินยังไม่ยุติ เพราะชาวบ้านต้องต่อสู้ต่อไปเพื่อให้มีการเพิกถอนสิทธิ์การถือครองที่ดินของนายทุนในพื้นที่ที่มีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด และดำเนินการจัดสรรที่ดินเหล่านั้นให้กับชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินทำกินอย่างยุติธรรมซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการต่อไป


 


"ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องผลักดันต่อไป โดยเฉพาะกฎหมายปฎิรูปที่ดินและกฎหมายการเก็บภาษีที่ดินที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ที่ดินไปกระจุกตัวอยู่กับนายทุนเพียงไม่กี่ราย แต่มีชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ที่ไม่มีที่ดินทำกินซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข" นายรังสรรค์ กล่าว


 


ด้านนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด กองเลขาสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.) ก็ได้ออกมากล่าวว่า การลุกขึ้นมาต่อสู้ในปัญหาดังกล่าวของชาวบ้าน จ.ลำพูนนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ ที่เป็นการส่งสัญญาณปัญหาของคนระดับล่างไปสู่ผู้บริหารด้านบนว่าระบบการจัดการที่ดินในปัจจุบันนั้นขาดความเป็นธรรม ทำให้คนจนไม่มีที่ดินทำกิน เข้าถึงที่ดินได้ยาก ขณะที่นายทุนกลับมีที่ดินเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพื้นที่จำนวนมากก็ทิ้งร้างว่างเปล่า ที่ดินบางส่วนก็เอาไปจำนำจำนองกับธนาคาร ดังนั้นตรงนี้รัฐบาลควรเร่งหาทางแก้ไข" นายสุริยันต์ กล่าว


 


นายสุริยันต์ กล่าวเสริมว่า กรณีปัญหาที่ดินทำกินนั้นชาวบ้านในพื้นที่ต้องยืนยันความเดือดร้อนของตัวเองในมิติที่เป็นปัญหาเรื่องที่ทำกิน และรัฐบาลต้องเข้ามาจัดการให้มีแนวทางหรือแผนการที่ชัดเจน โดยหากกรณีที่ชาวบ้านมีการพิพาทเรื่องที่ดินลักษณะนี้ตนคิดว่ารัฐน่าจะต้องรีบเข้ามาแก้ไขก่อน เพราะหากแก้ไขเรื่องที่ดินได้ตนคิดว่าก็น่าจะแก้ไขโครงสร้างส่วนอื่นๆ ได้ อีกทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันเน้นแนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตนคิดว่าหากชาวบ้านไม่มีที่ดินทำกินชาวบ้านก็จะพอเพียงได้ยาก


 


ในตอนท้าย กองเลขา สกน.กล่าวว่า สำหรับการชนะหรือแพ้คดีในกระบวนการศาลนั้นไม่ใช่ตัวชี้ว่าชาวบ้านจะได้มีกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดิน แต่รัฐจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายโดยให้หน่วยงานรัฐจัดสรรที่ดินให้ชาวบ้านอย่างถูกต้อง


 


.....................................................................


เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวประชาธรรม


 


ข่าวประกอบ


รายงาน : คดีที่ดินลำพูนกับความคืบหน้าที่ถอยหลัง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net