Skip to main content
sharethis

กองทัพภาคที่ 3 ในฐานะคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งปี 2546 - 2547 เผยรายละเอียดการจำหน่ายลำไยอบแห้ง 67,000 ตัน ยืนยันให้พ่อค้าเลือกสินค้า ส่งออกนอกราชอาณาจักร ที่เหลือจะทำลายให้หมด ในขณะตัวแทนเรียกร้องให้กองทัพเข้ามาดูแลเงินแทน อตก.


 


วันนี้(15 ม.ค.) ที่สโมสรมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ากาวิละ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พลตรีชูชีพ ศรีสมบูรณ์ ประธานคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งปี 2546 - 2547 เป็นประธานชี้แจงรายละเอียดและเงื่อนไขการยื่นซองประมูลลำไยอบแห้งต่อผู้สนใจราว 50 ราย โดยมีอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และรักษาการผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ชี้แจงร่วม


 


พลตรีชูชีพกล่าวว่า การตัดสินใจจำหน่ายลำไยอบแห้งปี 2546 - 2547 ที่มีอยู่ 67,447,540 กิโลกรัม หรือราว 67,000 ตัน โดยเป็นลำไยปี 2546 ราว 22,000 ตัน และลำไยปี 2547 ราว 44,000 ตัน ก็เพื่อนำงบประมาณเข้าสู่รัฐบาล โดยให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรสูงสุด และจะจัดจำหน่ายโดยยึดหลักบริสุทธิ์และโปร่งใส กระทำในที่เปิดเผยสูงสุด


 


ทั้งนี้ ลำไยทั้งหมดอยู่ในโกดังทั้งหมด 108 แห่งทั่วภาคเหนือ แบ่งเป็น 64 รายการ กลุ่มละ 500 ตันขึ้นไป การเสนอราคาจะมีเงื่อนไขขายเฉพาะลำไยที่มีคุณภาพและส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย ส่วนที่ไม่มีคุณภาพผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้คัดออก และจะได้รับเงินคืนเมื่อผู้ซื้อส่งออกลำไยคุณภาพดีไปแล้ว ทั้งนี้กำหนดให้ผู้สนใจประมูลให้ดูลำไยอบแห้งในคลังสินค้าที่เก็บรักษาไว้ในวันที่ 16 มกราคม - 22 มกราคม 2550 และกำหนดยื่นซองหนังสือเสนอราคาในวันที่ 23 มกราคม เพื่อเปิดซองเสนอราคาซื้อในวันที่ 24 มกราคม 2550 ที่สโมสรมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ


 


ด้าน พลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้ามาสังเกตการณ์และยื่นหนังสือถึงพลตรีชูชีพ โดยตั้งข้อสังเกตว่าการที่ลำไยในปี 2546-2547 มีการระบุจำนวนว่า 67,000 ตัน แท้จริงแล้ว องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้เคยรวบรวมข้อมูลเมื่อ 30 ส.ค.2549 ว่า ลำไยของปี 2546 เป็นลำไยคุณภาพดี 10,369,591 กก. และเสียหายแล้ว 1,995,769 กก. ส่วนลำไยในปี 2547 มีที่คุณภาพดี 29,745,258 กก. และเสียหายแล้วราว 13,500 ตัน ดังนั้นรวมแล้วมีลำไยที่ค

ุณภาพเสียหายราว 15,000 ตัน ซึ่งกว่าร้อยละ 30 ที่อาจประเมินเสียหายได้เมื่อมีการตีราคารวม นอกจากนั้นจะดำเนินการอย่างไรกับลำไยที่คุณภาพไม่มี เพราะลำไยของปี 2545 ที่เคยถูกส่งไปทำลาย แต่ก็ปรากฏมีบางส่วนถูกนำกลับเข้ามาหมุนเวียนขายในตลาดอีก


 


"ผมเคยเสนอแนวคิดต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปแล้วว่าเมื่อคัดลำไยคุณภาพไม่ดีออกแล้งควรนำเครื่องโม่ถั่วเหลืองหรือข้าวโพดมาไว้ที่คลังเพื่อทำลายลำไยทันที และลำไยที่ทำลายแล้วอาจนำไปแปรรูปเพื่อไม่ให้กลับเข้ามาในวงจรค้าลำไยจนเสียระบบได้อีก และการทำลายครั้งนี้ควรได้ประชาสัมพันธ์ให้สื่อมวลชนจีนรับทราบ และทันทีที่ขายลำไยปี 25462547 ได้แล้ว กองทัพภาคที่ 3 ควรเป็นผู้ประสานงานจ่ายเงินเกษตรกรที่อตก.เก็บไว้กก.ละ 3 บาท หากปล่อยให้ อตก.ทำเอง อาจมีปัญหากับเกษตรกรผู้ปลูกลำไยอีก"


 


พลตรีชูชีพกล่าวยืนยันว่าปริมาณของลำไยที่มีอยู่ 67,000 ตัว เมื่อคัดคุณภาพจะเปิดให้ผู้ซื้อได้เป็นผู้คัดเอง ส่วนที่เป็นของที่เสีย เป็นที่ยืนยันว่าจะทำลายทั้งหมดเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเพื่ออนาคตของลำไยในปี 2550 ด้วย ทั้งนี้วิธีการที่พลตรีอินทรัตน์เสนอมา ก็จะได้หารือถึงวิธีการที่เหมาะสมต่อไป แต่ยืนยันว่าจะไม่ให้ผีลำไยปี 2546-27 ตามมาหลอกหลอนเกษตรกรได้อีก


 


สำหรับบรรยากาศการชี้แจงการจำหน่ายลำไย กลุ่มผู้รับฟังได้สอบถามถึงราคากลาง ซึ่งเบื้องต้นพลตรีชูชีพระบุว่าได้มีการกำหนดไว้แต่ไม่เปิดเผย ทั้งนี้แนวทางดำเนินการคือเมื่อมีผู้เสนอราคามา หากอยู่ในเกณฑ์ราคากลางก็จะขาย แต่หากไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็จะไม่ขาย นำไปทำลายเสีย อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้เรียกร้องให้เปิดเผยราคากลางเพื่อที่จะได้ชัดเจน เนื่องจากเคยมีกรณีการไม่บอกราคากลางแล้วมีผู้รู้ข้อมูลวงใน ประกอบกับเคยปรากฏเป็นข่าวทางสื่อก่อนหน้านี้ถึงราคาที่กำหนดไว้ ในที่สุด พลตรีชูชีพได้หารือกับคณะกรรมการจะเปิดเผยถึงราคากลางว่าตั้งอยู่ที่ลำไยเกรด AA กก. ละ 33 บาท เกรด A กก.ละ 17 บาท และเกรด B กก.ละ 12 บาท


 


ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการส่งออกลำไย และสหกรณ์การเกษตรในภาคเหนือ นำโดยนายประเทือง คงรอด รองประธานเครือข่ายเกษตรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายธีระ สูตะบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียกร้องให้ทบทวนนโยบายขายลำไยเพื่อล้างสต๊อก แม้จะเป็นเรื่องดี แต่จากการตรวจสอบพบว่า ลำไยในสต๊อกที่มีคุณภาพดีน่าจะเหลือไม่ถึง 30% รัฐบาลไม่ควรจะปล่อยให้ลำไยที่มีคุณภาพไม่ดีไปทำลายตลาดลำไยในประเทศจีน เนื่องจากตลาดส่งออกลำไยอบแห้งคือจีนถึง 99% และในช่วงเทศกาลตรุษจีนหากผู้บริโภคเจอลำไยไม่ดี อาจทำให้ตลาดลำไยอบแห้งของไทยในอนาคตเสียหาย ถูกเหมารวมว่าเป็นของไม่ดีทั้งหมด


 


"หากลำไยในสต๊อกไม่มีคุณภาพ ก็ไม่ควรจะขาย น่าจะนำไปทำลำไยแท่ง ส่งขายเกาหลี หรือมาเลเซีย เพื่อทำยาหรือทำน้ำลำไยแทน ซึ่งได้ราคาดีด้วย ราว 38-40 บาท/กิโลกรัม" นาย ประเทือง กล่าว


 


ในขณะที่ นายทรงศักดิ์  วงค์ภูมิวัฒน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถึงนโยบายในการจัดการบริหารลำไยปี 2550 ว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการจัดการเครือข่ายลำไยที่จะเสนอแนวทางการจัดการอย่างไร และส่งแนวทางการจัดการมาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาวิธีการดำเนินงานต่อไป


 


อย่างไรก็ตาม ข้อยุติในการแก้ไขปัญหาลำไยก็ยังไม่ความชัดเจน ฝ่ายกลุ่มเกษตรกรลำไย ผู้ประกอบการและการส่งออก ก็เร่งให้รัฐบาลจัดการกับการชดเชยปัญหาให้เร็วที่สุด ในขณะที่ทางรัฐบาล ซึ่งก็คือ ทหาร จากกองทัพภาคที่ 3  ก็ยังเดินหน้าหาข้อสรุปและหาทางออกของปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ภายใต้การปกครองของประเทศ ที่อยู่ในความปกครองภายใต้การดูแลของทหาร ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ซึ่งในอนาคตไม่อาจรู้ได้ว่า ทหารจะสามารถปลดล็อคลำไยได้หรือไม่


 


 






 


ลำไย จัดเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ และที่ผ่านมามีปัญหาใหญ่คือ ปัญหาการตลาด ซึ่งรอบการส่งออกที่ผ่านมา มีการส่งออกทั้งลำไยสด ลำไยแช่แข็ง ลำไยกระป๋อง และลำไยอบแห้ง


 


จากสถิติของศูนย์ส่งเสริมการส่งออกภาคเหนือ เชียงใหม่ ระบุว่า พ.ศ.2548 - 2549 ตัวเลขการส่งออกมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และสัดส่วนของลำไยสดแช่แข็ง ตั้งแต่เดือน ม.ค. - พ.ย.2549 มีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ มีมูลค่ารวมคือ 1,918.1 ล้านบาท โดยประเทศจีน ยังเป็นตลาดส่งออกที่มากที่สุด คือ 812.5 ล้านบาท รองลงมา คือ อินโดนีเซีย 677.7 ล้านบาท, ฮ่องกง 209.9 ล้านบาท, แคนาดา 44.4 ล้านบาท และสิงคโปร์ 41.8 ล้านบาท ตามลำดับ


 


ส่วนลำไยอบแห้ง ตั้งแต่ ม.ค.- พ.ย.2549 สัดส่วนของการส่งออกมีมูลค่ารวม 1533.9 ล้านบาท โดยอันดับ 1 ของประเทศที่ส่งออกมากที่สุด คือ พม่า 631.9 ล้านบาท รองลงมา คือ จีน 428.9 ล้านบาท, ลาว 315.2 ล้านบาท, ฮ่องกง 80.4 ล้านบาท และสิงคโปร์ 29.7 ล้านบาท ตามลำดับ


 


 


ข้อมูลประกอบ


พลเมืองเหนือรายสัปดาห์ 8-14 ม.ค.2550


โพสต์ทูเดย์,10 ม.ค.2550


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net