พ้นไปจากการแถลง "แผนอิรักปรับใหม่" ของบุช สิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาต่อมาก็คือ "แผนอิหร่าน" และนับตั้งแต่อเมริกาผลักดันมติยูเอ็นเพื่อคว่ำบาตรอิหร่าน อากาศที่เตหะรานยันวอชิงตันก็เพิ่มองศาขึ้นเรื่อยๆ อุทัยวรรณ เจริญวัย ยังคงเกาะติดจับตาสมรภูมินี้ และเฝ้าดูการขยายตัวของมัน
Middle East Uncensored
อุทัยวรรณ เจริญวัย
"ความสำเร็จในอิรัก หมายถึง การปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนอิรัก และการสร้างเสถียรภาพขึ้นในภูมิภาค ท่ามกลางอุปสรรคความท้าทายในเรื่องลัทธิอิสลามสุดขั้ว และสิ่งนี้จะเริ่มต้นได้ จำเป็นจะต้องมีการแก้ไขปัญหาเรื่องอิหร่านและซีเรีย
"ผู้นำทั้งสองประเทศได้ปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายและผู้ก่อความไม่สงบใช้ดินแดนของมันในการเคลื่อนไหวเข้าออกอิรัก อิหร่านได้ให้การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์ในการโจมตีทหารอเมริกา เราจำเป็นจะต้องหยุดยั้งขัดขวางการโจมตีนี้ เราจำเป็นจะต้องขัดขวางความช่วยเหลือที่ไหลเข้ามาจากอิหร่านและซีเรีย เราจะค้นหาและทำลายเครือข่ายที่ฝึกอบรมและจัดส่งอาวุธร้ายแรงมาให้ศัตรูของเราในอิรัก
"ไม่เพียงเท่านั้น เรายังได้ดำเนินการด้านอื่นไปด้วย เพื่อที่จะส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยในอิรักและปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง เร็วๆ นี้ ผมได้มีคำสั่งให้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปสมทบที่ภูมิภาคนั้นอีกหนึ่งชุด เราจะขยายความร่วมมือด้านข่าวกรองและเคลื่อนย้ายติดตั้ง ระบบป้องกันทางอากาศแพทเทรียต (Patriot Air Defense System) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับมิตรสหายของเรา เราจะทำงานร่วมกับรัฐบาลตุรกีและอิรักเพื่อช่วยพวกเขาแก้ปัญหาตามแนวชายแดน เราจะทำงานร่วมกับหลายฝ่ายเพื่อไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองและมีอิทธิพลครอบงำในภูมิภาคนี้"
ประธานาธิบดี จอร์จ บุช,
10 มกราคม 2007
0 0 0
พ้นไปจากการแถลง "แผนอิรักปรับใหม่" เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา (ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย - เพิ่มทหาร) สิ่งที่เรียกเสียงฮือฮา...ไม่น่าจะน้อยไปกว่าเรื่องดังกล่าว...ก็คือ "แผนอิหร่าน"
ไม่เพียงสำนวนโวหารอันก้าวร้าว (และ "ข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน") ต่ออิหร่านที่มีมาจากทำเนียบขาวอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวตลอดช่วงที่ผ่านมาของอเมริกาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เฉพาะช่วงสั้นๆ นับตั้งแต่อเมริกาผลักดันมติยูเอ็น 1737 เพื่อคว่ำบาตรอิหร่านเป็นต้นมา หลังจากนั้น ก็มีเหตุการณ์ที่มี "นัยสำคัญ" ตามมาเป็นระลอก
- คำสั่งบุชให้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินอีกชุดไปเสริมกำลังนอกชายฝั่งอิหร่าน
- การเคลื่อนย้ายติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธแพทเทรียตให้กับประเทศ "ซี้อเมริกา" ในอ่าวเปอร์เชีย
- การเคลื่อนย้าย F-16 ไปประจำที่ฐานทัพอินซีร์ลิก (Incirlik) ในตุรกี (F-16 เป็นหนึ่งในเครื่องบินที่สามารถใช้ทิ้งระเบิดมินินุก B61-11 ได้)
- การเพิ่มจำนวนของเรือดำน้ำนิวเคลียร์ในอ่าวเปอร์เชีย
- การแต่งตั้ง พลเรือเอก ริชาร์ด แฟลลอน (Adm. Richard Fallon) เป็นหัวหน้ากองบัญชาการกลาง
- นักบินอิสราเอลกำลังฝึกซ้อมปฏิบัติการต่างๆ ตามแผนลับบอมบ์อิหร่าน
- การจับกุมชาวอิหร่านและนักการทูตอิหร่านที่อยู่ในอิรักไปแล้ว 2 ระลอก (ที่แบกแดดกับอีร์บิล)
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณ wider war - สงครามที่กำลังจะขยายวงออกไป - ส่งผลให้อากาศที่เตหะรานยันวอชิงตันเพิ่มองศาขึ้นเรื่อยๆ นักวิเคราะห์ทั่วโลกกำลังจับจ้องกันชนิดตาไม่กะพริบ และเหตุการณ์ต่างๆ น่าจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ครบกำหนดเส้นตาย 60 วันของมติยูเอ็น
จนถึงวินาทีนี้ ประธานาธิบดีบุชมีอำนาจอยู่ในมือครบถ้วน-พร้อมจะประกาศสงครามกับใครก็ได้ ตราบใดที่สภาคองเกรสยังไม่มีมติอะไรออกมายับยั้ง
อย่างไรก็ตาม ในโลกของเกมการเมืองที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมายและเอาแน่อะไรไม่ได้ สัญญาณที่กล่าวมาไม่จำเป็นจะต้องตามมาด้วยสงครามแต่อย่างใด สัญญาณก็คือสัญญาณ สัญญาณเป็นแค่สิ่งที่เราจะต้อง "จับตา" เอาไว้ และนี่คือบทวิเคราะห์จากนักวิคราะห์ชื่อดัง 2 คน ที่จะมาขยายความเรื่องสัญญาณดังกล่าว และทำให้เรามองเห็นเรื่องราวเบื้องหลังความเคลื่อนไหวได้ลึกซึ้งขึ้น
คนที่สองไมเคิล ที แคลร์ (Michael T. Klare)เป็นนักวิเคราะห์การเมืองขายดีอีกคนหนึ่งในหมู่ปัญญาชน นอกจากจะเป็นโพรเฟสเซอร์สอนหนังสืออยู่ 5 สถาบัน - สอนประจำอยู่ที่
บทความทั้ง 2 ชิ้นแปลมาจาก Are Bush's Wars Winding Down or Heating Up? Paul Craig Roberts, Antiwar.com, January 8, 2007 และ Ominous Sign of a Wider War, Michael T. Klare, The Nation, January 8, 2007 (ชิ้นแรกมีการขัดเกลาเล็กๆ และวงเล็บอธิบายตามปกติ) o
.
สงครามของบุช : เดินหน้า...สู่ความบ้าคลั่ง
พอล เครก รอเบิร์ตส์
8 มกราคม 2007
คนอเมริกันจำนวนมากเชื่อว่าหมดเวลาแล้วสำหรับการผจญภัยที่ผิดพลาดของบุช เสียงสนับสนุนให้อเมริกายึดครองอิรักต้องวูบหายไป ทั้งในกลุ่มประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง สภาคองเกรส นายทหารและทหารในกองทัพ แต่ถึงกระนั้น รายงานข่าวในช่วงไม่กี่วันมานี้ กลับชี้ว่า ความเชื่อดังกล่าวน่าจะเป็นการคำนวนที่ผิดพลาดซะยิ่งกว่า
7 มกราคม ไทมส์ ลอนดอน รายงานว่า มันรู้มาจาก "แหล่งข่าวในกองทัพอิสราเอลหลายคน" ว่า "อิสราเอลได้ซุ่มวางแผนลับเพื่อโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมของอิหร่านด้วย อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (Tactical Nuclear Weapon)"
รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอลออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว
ไทมส์รายงานว่า "เจ้าหน้าที่อิสราเอลและอเมริกันได้พบปะกันหลายครั้งเพื่อร่วมวางแผนปฏิบัติการทางทหารด้วยกัน นักวิเคราะห์ด้านการทหารกล่าวว่า การปล่อยข่าวเกี่ยวกับแผนนี้ออกมา อาจจะมีเจตนาเพิ่มความกดดันต่ออิหร่านให้หยุดโครงการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ หรือชักนำอเมริกาไปสู่ขั้นลงมือปฏิบัติการ หรือไม่ก็...เพื่อหว่านล้อมและลดแรงต้านของสาธารณะก่อนการโจมตีจริง"
ในบทความอีกชิ้น พลเอกโอเด็ด ทิรา (General Oded Tira) นายทหารของของอิสราเอล ได้เขียนไว้-คำต่อคำ(รวมวงเล็บ)-ดังนี้ "ประธานาธิบดีบุชขาดพลังสนับสนุนทางการเมืองสำหรับการโจมตีอิหร่าน แต่การโจมตีของอเมริกันในอิหร่านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการมีอยู่ของอิสราเอล เราจึงต้องช่วยเขาแผ้วถางหนทางสำหรับเรื่องดังกล่าว โดยการล็อบบี้พรรคเดโมแครต (ที่ทำตัวไม่เข้าท่าอยู่เวลานี้) และล็อบบี้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ในอเมริกา เราจำเป็นจะต้องทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะเปลี่ยนประเด็นอิหร่านให้กลายเป็นประเด็นที่ทั้งสองพรรคมีจุดยืนร่วมกัน และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับความล้มเหลวในอิรัก"
พลเอกทิรา ยังได้มอบหมายงานให้กับ กลุ่มล็อบบี้อิสราเอล (Israel Lobby) ไว้ด้วย : (1) "เข้าหา ฮิลลารี คลินตัน หรือผู้เข้าชิงประธานาธิบดีที่มีศักยภาพของเดโมแครต เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นให้การสนับสนุนปฏิบัติการเร่งด่วนของบุชต่ออิหร่าน" (2) ใช้อิทธิพลกดดันต่อประเทศกลุ่มยุโรป เพื่อที่ว่า "บุชจะได้ไม่ถูกโดดเดี่ยวจากเวทีการเมืองระหว่างประเทศอีก" และ (3) "ร่วมมือในทางลับกับซาอุดิอาระเบีย เพื่อที่ว่ามันจะได้ช่วยเกลี้ยกล่อมอเมริกาให้โจมตีอิหร่าน"
ในส่วนของอิสราเอล พลเอกทิรา กล่าวไว้ว่า สิ่งที่ต้องทำได้แก่ "เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีที่เป็นอิสระ โดยมีการประสานงานกับอเมริกาในส่วนของเที่ยวบินเหนือน่านฟ้าอิรัก และเราควรจะประสานกับ อาร์เซอร์ไบจัน เพื่อใช้ฐานทัพอากาศของประเทศนั้น รวมทั้ง...เราควรจะขอความสนับสนุนจาก อาเซอรี (Azeri) ชนกลุ่มน้อยในอิหร่านด้วยเช่นกัน"
นักวิจารณ์การเมืองฝั่งอังกฤษให้ความเห็นว่า "ดูเหมือนสื่ออังกฤษกำลังจะโน้มน้าวเราให้เห็นคล้อยตามการโจมตีอิหร่าน" รอเบิร์ต ฟ็อกซ์ (Robert Fox) เขียนไว้ใน The First Post (แม็กกาซีนออนไลน์) ว่า "ทันใดนั้น เรื่องที่ว่า...มีการเตรียมกระแสสาธารณะในอังกฤษให้พร้อมสำหรับการโจมตีอิหร่าน...ก็ส่งกลิ่นแพร่กระจายฟุ้งไปทั่ว"
.
ลางร้าย wider war
5 มกราคม รัฐมนตรีกลาโหม รอเบิร์ต เกตส์ ประกาศว่า เขากำลังจะย้าย พลเรือเอก ริชาร์ด แฟลลอน (Adm. Richard Fallon) ผู้บัญชาการกองบัญชาการแปซิฟิก (Pacom - Pacific Command) มาแทนที่ พลเอกจอห์น อาบิซาอิด (Gen. John Abizaid) ผู้บัญชาการกองบัญชาการกลาง (Centcom - Central Command) - หน่วยงานที่ดูแลกองทัพอเมริกาในอิรัก อัฟกานิสถาน และตะวันออกกลางทั้งหมด แฟลลอนคือหนึ่งในนายทหารระดับสูงหลายนายที่ได้รับการโยกย้ายแต่งตั้งเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อมาดูแลยุทธศาสตร์ใหม่ในอิรัก ซึ่งมีประธานาธิบดีบุชเป็นผู้กำหนดแนวทาง
การเลือกแฟลลอนมาแทนที่อาบิซาอิดเป็นสิ่งที่ไม่ปกติอย่างมากในหลายๆ แง่มุม อันดับแรก นี่เป็นการย้ายไปกินตำแหน่งในระดับเดียวกัน ไม่ใช่การโปรโมท ในฐานะหัวหน้ากองบัญชาการแปซิฟิก แฟลลอนมีอำนาจบัญชาการกองกำลังที่ใหญ่กว่าที่เขาจะเข้ามาดูแลที่กองบัญชาการกลางเสียอีก ยิ่งกว่านั้น ยังมีบางส่วนที่เขาจะมีอำนาจควบคุมโดยตรงได้น้อยกว่าปกติ เพราะปฏิบัติการสู้รบของทุกหน่วยในอิรักจะอยู่ภายใต้การดูแลของ พลเอก เดฟ เพเทรอัส (Gen. Dave Petraeus) ซึ่งเพิ่งได้รับการประกาศเร็วๆ นี้ ว่าจะมาแทนที่ พลเอกจอร์จ เคซีย์ (Gen. George Casey) ผู้บัญชาการกองกำลังของอเมริกาและพันธมิตรทั้งหมดในอิรัก
อันดับสอง แฟลลอน เป็นคนของกองทัพเรือที่มีประสบการณ์การสู้รบโดยเรือบรรทุกเครื่องบินมาโดยตลอด ขณะที่งานส่วนใหญ่ในแต่ละวันของกองบัญชาการกลางจะเป็นเรื่องภาคพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับฝ่ายต่อต้านหรือกับพวกมาเฟียสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน
แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งของคำอธิบายในการโยกย้ายครั้งนี้ก็คือ ทำเนียบขาวต้องการกำจัดผู้บัญชาการที่ไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับมันอย่างอาบิซาอิดและเคซีย์ออกไปให้พ้นทาง ทั้งสองต่างก็คัดค้านการเพิ่มทหารอเมริกาในอิรัก และยังสนับสนุนให้มีการถ่ายโอนความรับผิดชอบไปให้กองกำลังของอิรัก เพื่อที่จะค่อยๆ ถอนทหารอเมริกันออกมาอีกด้วย อาบิซาอิดให้สัมภาษณ์นิวยอร์ค ไทมส์ ไม่นานมานี้ว่า "สถานการณ์ในแบกแดดต้องการทหารอิรักมากขึ้น" -ไม่ใช่ต้องการทหารอเมริกา - และเฉพาะข้อนี้ข้อเดียว อาบิซาอิดก็อยู่ไม่ได้...จำเป็นต้องเก็บประเป๋ากลับบ้านไป
แต่มันยังมีบางอย่างที่มากกว่านั้น อาบิซาอิด อเมริกันผู้ซึ่งสืบเชื้อสายเลบานิสและยังเคยไปประจำการในเลบานอนร่วมกับกองกำลังของยูเอ็นมาแล้วในอดีต เริ่มมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้วิกฤติในอิรักด้วยทางออกระดับภูมิภาค ซึ่งนั่นหมายถึง การที่จะต้องเจรจาร่วมมือกับอิหร่านและซีเรียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่ก็ตรงกับคำแนะนำของกลุ่มศึกษาปัญหาอิรักหรือไอเอสจี (Iraq Study Group)
"คุณจำเป็นจะต้องดึงปัญหานั้นออกมาสู่เวทีระหว่างประเทศ คุณต้องรับมือกับมันด้วยวิถีทางการทูต ด้วยยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค" เขากล่าวกับไทมส์ "คุณไม่สามารถจะเอากล้องจุลทัศน์ไปส่องเฉพาะจุดที่เป็นปัญหาใจกลางเมืองแบกแดด......แล้วบอกว่า จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราจับทหารยัดใส่เข้าไปในจุดนั้นมากพอ เราจะสามารถแก้ไขประเด็นที่ใหญ่กว่า ในภูมิภาคที่อยู่ภายใต้ลัทธิความรุนแรงสุดขั้วได้"
ถ้าการเกี่ยวข้องร่วมมือกับอิหร่านและซีเรียอยู่ในอะเจนดาแม้แต่เพียงนิดเดียว อาบิซาอิดคือคนที่ใช่เลย...สำหรับงานที่กองบัญชาการกลาง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทหารและยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาคพอดี แต่ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในอะเจนดา ถ้าสิ่งที่คุณคิดคือการใช้กำลังกับอิหร่าน และ/หรือ ซีเรีย แล้วล่ะก็ งานนี้ พลเรือเอกแฟลลอนเท่านั้นคือคนที่คุณต้องการ คนที่ใช่เลยแน่นอน...สำหรับตำแหน่งดังกล่าว
ทำไม?
เพราะการปฏิบัติการทางน้ำร่วมกับทางอากาศคือสิ่งที่เขาถนัดเป็นพิเศษ แฟลลอนเริ่มอาชีพการสู้รบของเขาด้วยการเป็นนักบินเครื่องบินรบของกองทัพเรือในสงครามเวียดนาม และหลังจากนั้นต่อมา เขาก็ประจำการอยู่กับเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นเวลาถึง 24 ปี เขาบัญชาการการสู้รบในส่วนของเรือบรรทุกเครื่องบิน ระหว่างสงครามอ่าวปี 1991 และเป็นผู้นำของกองกำลังทางเรือเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของเนโต ระหว่างความขัดแย้งในบอสเนียตลอด 4 ปีต่อมา จนกระทั่งไม่นานมานี้ แฟลลอนได้เป็นรองหัวหน้าฝ่ายยุทธการของกองทัพเรือ ก่อนที่จะมาเป็นหัวหน้ากองบัญชาการแปซิฟิกในปี 2005 และทั้งหมดนี้หมายความว่า เขาคือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการควบคุมดูแลการโจมตีอิหร่านทั้งทางเรือ ทางอากาศ และด้วยจรวดขีปนาวุธ ในกรณีที่มีสัญญาณไฟเขียวจากบุชเกิดขึ้น - ด้วยเหตุนี้เอง การย้ายแฟลลอนจาก pacom มา centcom จึงสะท้อนว่า อะเจนดาดังกล่าวน่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจบุชอย่างมาก
1 - Revealed:
2 - What to do with
3 - How to Win World War IV, Norman Podhoretz, Commentary Magazine, February 2002
4 - World War IV: How It Started, What It Means, and Why We Have to Win, Norman Podhoretz, Commentary Magazine, September 2004
หมายเหตุนีโอคอน
ในบทความของรอเบิร์ตส์ มีการพาดพิงมันสมองนีโอคอนระดับ "อภิมหาบ้าคลั่ง" อยู่ 2 ราย ได้แก่ วิลเลียม คริสตอล และ นอร์แมน พอโดเร็ตซ์ ทั้งคู่เป็นอเมริกัน-ยิว (ไซออนิสต์โรคจิตของแท้) พอโดเร็ตส์ เป็นบรรณาธิการนิตยาสาร Commentary ขณะที่คริสตอล นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการ Weekly Standard แล้ว ยังเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญผู้ก่อตั้งกลุ่ม PNAC (Project for the New American Century) - think tank นีโอคอน เจ้าของพิมพ์เขียวที่มุ่งสถาปนาความยิ่งใหญ่-ก้าวร้าว-ครองโลกทั้งใบของอเมริกันเอ็มไพร์ไปพร้อมๆ กับการทำลายล้างตะวันออกกลางนั่นเอง - - หลังสงครามกับโลกมุสลิมผ่านมาหลายปี และยังคงร้อนระอุอยู่ทุกวันนี้ (ร้อนขึ้นเรื่อยๆ)
นีโอคอนยังสบายดีมั้ย? มีตำแหน่งอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง? อันนี้เป็นการบ้านที่ติดค้างไว้นานแล้ว ก่อนคอลัมน์นี้จะปิดตัวลง เราจะมีการร่ายยาวสรุปภาพรวมของนีโอคอนในยุคหลังๆ (ยุคพี่บุช) ตามมาแน่นอน
(ปล. แถมท้าย เนื่องจากเป็นประเด็นร็อนและมีรายละเอียดเยอะ สัญญาณ wider war ที่พุ่งตรงไปยังอิหร่าน จึงยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้ เราจะมีตอนที่อัพเดทกว่าตามมาอีกหนึ่งตอน - สั้นๆ แต่ได้ใจความจากอดีตคนในกองทัพ)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)