Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ที่จริงผมไม่ค่อยชอบเท่าไรนักเวลาที่เราจะกล่าวถึงการพัฒนาประเทศของเรา แล้วต้องนำประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามมาเปรียบเทียบทุกครั้ง เพราะการเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ค่อยจะนำมาซึ่งความรู้สึกของการเป็นเพื่อนบ้านกันเท่าไรนัก กระนั้นความรู้สึกเปรียบเทียบแบบนี้มันก็เกิดเต็มไปหมดกับผู้คนบนโลกใบนี้


 


อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ปฏิเสธการแข่งขันว่ามันเป็นแรงผลักให้เราก้าวไปข้างหน้า และกลับชอบใจเวลามีใครอธิบายว่า ประเทศเวียดนามนั้นตั้งธงว่า จะแข่งกับไทยในสมัยแห่งการฟื้นฟูประเทศ ในแง่นี้ก็คือ นำไทยเป็นบทเรียน ศึกษา เปรียบเทียบ เอาส่วนดีไปใช้ เอาส่วนไม่ดีมาจำไม่ให้เดินตาม


 


ที่พูดถึงประเทศเพื่อนบ้านเวลานี้ก็เพราะ ขณะนี้รัฐบาลไทยและสื่อไทยบางสำนักกำลังฮึ่มๆ กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ชนิดที่ทำเอาคนที่ไม่มีความรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างผมงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงต้องไปโกรธเขาขนาดนั้น เพียงเพราะคนๆ หนึ่งไปพบเพื่อนเก่าที่เป็นรองนายกฯ สิงคโปร์อย่างไม่เป็นทางการ


 


เรื่องความพยายามสร้างข่าวของอดีตนายกฯ ที่ทำให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและรัฐบาลโกรธไม่พอใจ อันนี้ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ อะไรจะ "กลัว" อดีตนายกฯขนาดนั้น และอะไรกันที่ทำให้ต้องกลัวขนาดนั้น ก็รัฐบาล คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และสื่อบางสำนักเองมั่นใจเหลือเกินไม่ใช่หรือว่า ตัวเองมีความชอบธรรมเป็นอย่างมากที่ทำรัฐประหารหรือสนับสนุนการรัฐประหาร


 


แรงฮึ่มๆ กับสิงคโปร์ถึงกับเรียกเขาว่า "ทรยศ" และตอบโต้ด้วยการระงับความร่วมมือต่างๆ ทำเอาคนอย่างผมงงเข้าไปอีกว่า นี่เราเดินทางมาถึงยุคที่จะไม่แคร์ใครรอบบ้าน หรือมิตรประเทศร่วมโลกกันแล้วหรือ ทั้งๆ ที่ต้องขอสารภาพเลยว่า ในชีวิตการทำงานบนคลื่นข่าวที่ไหลไปมาทุกวัน ไม่เคยนิยมชมชอบกับเศรษฐกิจเสรี-ฟรีเทรด ที่แปลว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา จนถึงกับเคยปวารณาตัวว่า เป็นคนนิยมชมชอบแฟร์เทรด หรือเศรษฐกิจการค้าที่เป็นธรรมด้วยซ้ำ


 


กระนั้นก็ไม่เคยคิดเลยว่า เราจะไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมประเทศต่างๆ ทั่วโลก และโดยเฉพาะเพื่อนบ้านร่วมประเทศอาเซียน อย่าลืมนะครับว่า เราส่งสัญญาณอะไรให้กับโลกไปแล้วบ้างในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา หนึ่ง ออกมาตรการป้องกันเงินทุนไหลเข้า ด้วยการกันเงินลงทุนร้อยละ 30 จนบัดนี้คนเขายังงงไม่หายว่า ทำอะไรกับลูกสูบ 1 ใน 3 ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ระดับที่นิตยสารอีโคโนมิสต์ เรียกว่า "การทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ"


 


สอง ก็คือเตรียมออกกฎหมายการทำธุรกิจของคนต่างด้าว แม้โดยเนื้อหาสาระจะเป็นเรื่องที่ดีที่ควร แต่การออกมาย้ำกระแสตอนนี้มันทำให้แม้แต่คนในประเทศยังสงสัยว่า เรากำลังจะปิดประเทศกันหรือไง


 


จนมาถึงเรื่องฮึ่มกับสิงคโปร์ คือถ้าไม่นับมาตรการกันสำรองเงินทุนร้อยละ 30 ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนเพราะความกลัวทักษิณทั้งสิ้น กระทั่งสงสัยว่า รัฐบาลเองขับเคลื่อนนโยบายไม่เป็น แต่ที่ดำรงอยู่ได้ก็ด้วยการสร้างปีศาจให้คนกลัว เช่นเดียวกับสื่อ สูญเสียอิสรภาพและเสรีอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่สามารถก้าวพ้นกำแพงของความกลัว และแปรสภาพจากสื่อให้กลายเป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งเพื่อแลกผลประโยชน์


 


เอาละจะบอกว่า การที่สิงคโปร์ตีสองหน้า ด้านหนึ่งเจรจากับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในเวทีอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ อีกด้านยอมให้อดีตนายกฯเข้าพบกับรองนายกฯ เป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องสะเทือนความมั่นคงของรัฐบาลและ คมช. เอง ไม่เห็นต้องลากเอาประเทศชาติและเศรษฐกิจเข้าไปเดิมพันแลกเปลี่ยนด้วยไม่ใช่หรือ จริงอยู่การกล้าต่อกรกับประเทศอื่นๆ นั้นนับเป็นความกล้าหาญหนึ่ง แต่มันควรจะใช้กับเรื่องที่ควรใช้อย่างการเจรจาต่อรองเรื่องการค้าเสรีให้มันเป็นธรรมขึ้นไม่ใช่หรือ


 


พอลองไปพิจารณาคำพูดของคุณทักษิณที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ นั่นก็น่าจะเป็นเรื่องดีของ คมช.และรัฐบาลด้วยซ้ำ โปรโมทกันเข้าไปให้ชาวบ้าน 19 ล้านคนรู้ เอาคำพูดของทักษิณเข้าไปวัดพระแก้ว บีบให้ไม่คืนคำในอนาคต จะได้ตัดคู่แข่งทางการเมืองออกไป แต่ก็ไม่ทำ


 


ท่านประธาน คมช. กลับไปโต้ให้อายชาวโลกว่า ที่ต้องทำรัฐประหารศตวรรษที่ 21 "เป็นเพราะประชาชนต้องการ" เดี๋ยวก็โดนย้อนกลับหรอกว่า ไหนละ "หลักฐาน" ไอ้ที่ว่าประชาชนต้องการ เพราะหลักฐานนั้นเขาวัดกันด้วยการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ยืนยันด้วยคะแนนเสียงที่เลือกไทยรักไทยท่วมท้น


 


สื่อไทยเองก็ไม่เบา ไปทำความเข้าใจผิดให้โลกอีก เดี๋ยวโลกจะเข้าใจไปว่า ประเทศด้ามขวานนี้มีประชากรเรือนแสนเท่านั้น เพราะดันไปบอกว่า ประชาชนเรือนแสนเขาไล่ จึงเป็นเหตุให้รัฐประหาร  


 


ตอนนี้คนเขาพูดกันให้ฮึ่มแล้วว่า รัฐบาลและคณะรัฐประหารชุดนี้ บริหารเศรษฐกิจก็ไม่ได้เรื่อง ผลักดันเศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่เป็นแบบแผน ทำเรื่องความพอเพียงให้กลายเป็นแค่ "อะไรก็ได้" (ขนาดรัฐจะเก็บภาษี ยังบอกว่า เก็บแต่พอเพียง) เกมการเมืองก็ไม่เอาอ่าว การต่างประเทศก็สอบตก การประชาสัมพันธ์ก็เละ มีแต่ประจบสอพลอเต็มเมือง ที่เป็นและเก่งอย่างเดียวก็คือ วาดภาพปีศาจให้น่ากลัวเข้าไว้ คนจะได้ต้องการหมอเพื่อปราบผีต่อไป แล้วก็ขายยันต์กันผีต่อ และเหตุผลเดียวที่ทำให้คนยังไม่ไล่ก็คือ การจำกัดเวลาของตัวเองไว้ ก็เลยทำให้ทนๆ กันไปได้


 


ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมกำลังสงสัยว่า หากอยู่นานกว่านี้ ความรู้สึกประเภท "เหลียวขวา" จะมาทำให้คนไทยคอเคล็ด ก็เวียดนามเขาเหลียวขวาดูไทย แล้วพอเราเองเหลียวขวา เราจะเห็นใครละครับ ยิ่งหนัง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ" กำลังดังอยู่ด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net