Skip to main content
sharethis



โดย อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ)


Shukur2003@yahoo.co.uk


 


 


 


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน


 


 


000


 


 


บทนำ



ในสังคมของจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จัดเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Culture diversity) ความหลากหลายนี้ครอบคลุมถึงเรื่องชาติพันธุ์ ภาษา ความเป็นอยู่ วิถีชีวิต ศาสนา และความเชื่อ


 


ด้านการศึกษาของชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ มีสถาบันศึกษาอิสลามที่เก่าแก่ที่สุด และมีบทบาทมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรียกว่า "ปอเนาะ"


 


ปอเนาะเป็นศูนย์รวมทางอัตลักษณ์ของชาวมลายูมุสลิม เป็นสถานศึกษาเรียนรู้คู่กับสังคมมุสลิมไทยมากกว่า 500 ปี ปอเนาะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลง ที่เปรียบเสมือนกับเกียรติและศักดิ์ศรีที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของชาวมลายูมุสลิม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม การเมือง การปกครองหรือเศรษฐกิจ แต่ปอเนาะก็ยังคงอยู่ในสังคมของชาวมลายูมุสลิมมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีสถาบันศึกษาปอเนาะ จำนวน 255 แห่ง (ข้อมูลเดือนพ.ย. 2547)

เป็นที่ทราบดีว่า เหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลต้องการจัดระเบียบโรงเรียนปอเนาะ เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงในชายแดนใต้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 จนขยายกลายเป็นความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะวันที่ 28 เม.ย.ปีเดียวกัน  และสะสมจนกลายมาเป็นเหตุการณ์ประท้วงที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเยาวชนบางส่วนซึ่งเป็นนักศึกษาจากโรงเรียนปอเนาะร่วมประท้วง นอกจากนี้ ในประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ มักมีคำว่าปอเนาะเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา โรงเรียนปอเนาะจึงถูกมองจากรัฐบาลและคนทั่วไปหรือสังคมภายนอก (Emic View) ว่าเป็นสถานศึกษาที่บ่มเพาะความคิดบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ เป็นสถานศึกษาที่ขาดการควบคุมดูแล ขาดระเบียบกฎเกณฑ์ และขาดมาตรฐานทางการศึกษา ที่สำคัญ มองว่าคนเรียนปอเนาะจะทำอะไรกิน


 


สาระสำคัญของบทความนี้ ผู้เขียนต้องการนำเสนอแนวคิดการพัฒนาปอเนาะชายแดนใต้ท่ามกลางกระแสการก่อการร้ายภาคใต้ โดยจะนำเสนอรายละเอียดดังนี้


 


1.       ภูมิหลังประวัติศาสตร์


2.       พลวัตของปอเนาะ


3.       ปอเนาะชายแดนใต้ท่ามกลางกระแสการก่อการร้ายภาคใต้


4.       ปอเนาะในฝันท่ามกลางความรุนแรงชายแดนใต้


 


 


1


ภูมิหลังประวัติศาสตร์


 


อดีตของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยเป็นอาณาจักรโบราณที่รุ่งเรือง เพราะเป็นเมืองท่าทางทะเลที่สำคัญ เป็นเมืองท่าที่เชื่อมระหว่างฝั่งทะเลอันดามันกับทะเลจีนใต้ ซึ่งรู้จักในนาม "อาณาจักรลังกาสุกะ"[1] ที่เป็นนครรัฐอิสระ มีผู้ครองนครเป็นของตนเองสืบทอดการปกครองมายาวนานหลายศตวรรษ


 


ต่อมาเมื่อเจ้าผู้ครองนครเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ประชาชนส่วนใหญ่ก็หันมารับอิสลามตามพระองค์ ดินแดนแห่งนี้ก็เปลี่ยนมาเป็น "นครรัฐปัตตานี" ซึ่งต่อมาเรียกว่า "ปัตตานีดารุสสลาม"


 


ต่อมารัฐปัตตานีก็ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยาม ความรู้สึกที่จะแยกตัวเองเป็นอิสระก็เกิดขึ้น เกิดการต่อสู้เรียกร้องเอกราชตลอดมา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการก่อกำเนิดขบวนการแบ่งแยกดินแดน ต่อสู้กับรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นสาเหตุหนึ่งของความไม่สงบที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา



ปอเนาะ สถาบันศึกษาที่สอนวิชาศาสนา โดยโต๊ะครูถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งกำเนิดและสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน แต่ขบวนการเหล่านี้ยังไม่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เชื่อว่าการต่อสู้ของพวกเขาคือการต่อสู้ที่ บริสุทธิ์ และเป็นสงครามศาสนา[2]


 


สำหรับความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมของคนที่นี่ จะแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ความเชื่ออันเป็นที่มาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมและประเพณี ของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่กับภาครัฐ ได้ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การปกครองที่ขาดความเข้าใจในความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ ศาสนาของคนในท้องถิ่น ได้นำมาซึ่งปัญหามากมาย นโยบายรัฐนิยมของอดีตนายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงครามที่นำมาใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.. 2490 ได้กลายมาเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ประชาชนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่พอใจ และเป็นสาเหตุหนึ่งของความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจที่มีต่อภาครัฐจนถึง ทุกวันนี้


 


การประท้วงเรื่องฮิญาบ[3] ของนักศึกษาวิทยาลัยครูยะลา (มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจน เมื่อฝ่ายอาจารย์ของวิทยาลัยและคนของภาครัฐมองว่า ฮิญาบ (การแต่งกายของสตรีตามหลักการศาสนา) เป็นเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีของชาวอาหรับ ไม่ใช่เป็นหลักการของศาสนา เมื่อนักศึกษาเหล่านี้ถูกกีดกันมิให้ปฏิบัติตามหลักการศาสนา ชาวมุสลิมจึงมองว่า รัฐลิดรอนสิทธิในการปฏิบัติตามหลักการของศาสนา
 


เหตุการณ์นั้นได้นำไปสู่การประท้วงนานถึงหนึ่งสัปดาห์ และมีการประท้วงถึงสองครั้ง หากการเรียกร้องของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนองอย่างทันท่วงที เหตุการณ์นั้นอาจจะนำไปสู่การก่อความไม่สงบที่รุนแรงยากที่จะแก้ไขได้ อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือการนำพระพุทธรูปเข้าไปในโรงเรียนที่จังหวัดสตูลในอดีต เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกือบนำไปสู่ความวุ่นวาย


 


ปัจจุบัน ประชากรในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู นับถือศาสนาอิสลาม นิยมพูดภาษามลายูท้องถิ่นเป็นภาษาหลักที่ใช้พูดกันในบ้าน สัดส่วนประชากรในปี 2546 มีจำนวน ร้อยละ 79.3 หรือ 1.39 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 1.75 ล้านคน ในขณะที่มีชาวไทยพุทธมีอยู่เพียงร้อยละ 20.1 ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในเขตเมืองและชนบท


 


ในปี 2543 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่รัฐบาลสำรวจสำมะโนประชากรทั่วประเทศ พบว่ามีมุสลิมทั่วประเทศไทยอยู่ 2.78 ล้านคน หรือเพียงร้อยละ 4.56 ของประชากรไทยทั้งหมด ขณะเดียวกันสัดส่วนของพุทธศาสนิกชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ลดลงจากประมาณร้อยละ 26 ในปี 2503 เหลือร้อยละ 20 ในปี 2546 อัตราการขยายตัวของประชากรที่เป็นพุทธศาสนิกชนลดลงอย่างมากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ ที่ประชากรชาวไทยพุทธลดจำนวนลงดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์รุนแรงตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมา ผลโดยรวมคือ สัดส่วนประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้น เมื่อดูที่ตั้งภูมิศาสตร์พบว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย มีอาณาเขตติดต่อกับตอนเหนือของมาเลเซียเป็นระยะยาวถึง 573 กิโลเมตร ประชากรทั้งสองประเทศในเขตนี้ใกล้ชิดกันมาก ความใกล้ชิดในสภาพภูมิศาสตร์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาอย่างน้อยสองประการ


 


สำหรับการศึกษา สังคมมุสลิมมองการศึกษาว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมวลมนุษยชาติ เพราะการศึกษาเปรียบเสมือนดวงประทีปส่องนำชีวิต เป็นประตูของความสำเร็จ และเป็นกุญแจแห่งอารยธรรม ดังนั้นจึงไม่มีประชาชาติใดในโลกอันกว้างใหญ่นี้ที่ปฏิเสธความสำคัญของการศึกษา เพราะต่างตระหนักดีว่า พวกเขามิอาจจะดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขหากปราศจากการศึกษา


 


ความจริง การศึกษาไม่เพียงจำเป็นต่อมนุษย์เท่านั้น หากแต่ยังสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสรรพสิ่งทั้งมวลไม่ว่า สัตว์ สิ่งของ รวมทั้งจักรวาลด้วย เพราะการศึกษาของมนุษย์นี้เองทำให้โลกนี้สงบสุขหรือเกิดความหายนะ


 


สำหรับวิถีการศึกษาชายแดนใต้ จะมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่อื่น โดยเฉพาะระบบการศึกษา ระบบการศึกษาในพื้นที่ นอกจากจะมีระบบการศึกษาภาคสามัญทั่วไป (ซึ่งหมายถึง อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา) ในท้องถิ่นยังมีระบบการศึกษาภาคศาสนาที่เรียกว่า ระบบตาดีกา (ระดับอนุบาลเด็กเล็ก) ระบบซือกอเลาะฮ (เรียนศาสนาในระดับประถม เรียนหลังเลิกเรียนภาคสามัญในวันธรรมดาหรือเรียนเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์แล้วแต่ชุมชน) ระบบปอเนาะ (เรียนได้ตลอดชีวิต) ระบบโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งแบ่งการศึกษาศาสนาออกเป็น สามระดับ ระดับอิบตีดาอีห์ (ชั้น 1-4) ระดับมูตาวัตสิต (ชั้น 5-7) และระดับซานาวี (ชั้น 8-10) โดยศึกษาควบคู่ไปกับวิชาสามัญในระดับมัธยมศึกษา (ม.1-6) และสุดท้ายคือ ระดับกุลลิยะฮ คือ ระดับคณะของวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย เช่น วิทยาลัยอิสลามศึกษาหรือวิทยาอิสลามยะลา เป็นต้น


 


เมื่อเด็กเจริญเติบโตพอที่จะศึกษาเล่าเรียนได้ บิดามารดาจะต้องให้เด็กเริ่มฝึกหัดอ่านภาษาอาหรับ และคัมภีร์อัลกุรอาน การเรียนพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมุสลิม เพราะจากการเรียนนี้จะทำให้เด็กอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้ถูกต้อง และนำข้อความไปใช้ในการประกอบศาสนกิจประจำวัน เช่น การละหมาดและอื่นๆ ได้ ผู้ปกครองซึ่งสนใจส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนตั้งแต่ยังเล็ก คืออายุ 7-8 ขวบ ก็จะต้องให้เด็กได้เล่าเรียนคัมภีร์กุรอานควบคู่ไปกับการศึกษาสามัญตามหลักสูตรของรัฐด้วย


           


ตอนค่ำๆ ถ้าเราผ่านเข้าไปในหมู่บ้านมุสลิม จะได้ยินผู้ปกครองสอนให้ลูกหลานในครอบครัวบ้าง หรือสอนให้ลูกศิษย์บ้าง ตามมัสยิดหลังจากละหมาดตอนค่ำ คือประมาณ 19.00 น. ก็จะมีการสอน พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน บางที่ก็สอนอ่านอย่างเดียว บางทีก็สอนคัดเขียนหนังสืออาหรับประกอบไปด้วย เพื่อให้จำได้แม่นยำ


 


ครอบครัวที่อยู่กับลูกหลานเช่นนี้ ช่วยขจัดปัญหาสังคม โดยให้เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และมีการอบรมมารยาทควบคู่ไปด้วย มัสยิดที่มีการสอนเช่นนี้ ก็จะเป็นที่รวมให้เด็กฝึกฝนตนเป็นคนดีอยู่ในแนวทางของศาสนาตั้งแต่ยังเล็กๆ อีกด้วย


           


ผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กเอาใจใส่การเรียนหนังสืออาหรับ เมื่อเด็กจำตัวพยัญชนะ สาระ และสามารถสะกดผสมตัวได้ ก็จะมีการจัดเลี้ยงฉลอง เชิญผู้มีความรู้มาขอพรจากพระเจ้าสักครั้งหนึ่ง พอจบการเรียนในบทต้นๆ อ่านได้โดยไม่ต้องสะกด สามารถเริ่มอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้แล้ว ก็มักจะมีการจัดเลี้ยงเพื่อความเป็นสิริมงคล และเพื่อให้เป็นกำลังใจกับเด็ก เรียกว่า "พิธีตัมมัติกุรอาน"


           


เมื่อเด็กอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านจบ 30 ตอนแล้ว และสามารถอ่านได้ด้วยตนเองทั้งเล่ม ก็จะมีการฉลองในการเรียนสำเร็จ มีการแสดงความยินดีต่อกันภายในครอบครัว อาจจัดเป็นงานใหญ่เชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานหลายคน


 


 


2


พลวัตของปอเนาะ


 



รากศัพท์ของคำว่า "ปอเนาะ" เป็นคำภาษามลายูปัตตานี เพี้ยนมาจากภาษาอาหรับว่า FUNDOK อ่านว่าฟุนโด๊ก แปลว่า กระท่อม ที่พัก หรือโรงแรม ความหมายในที่นี้หมายถึง "สำนักศึกษาเล่าเรียนวิชาการศาสนาอิสลาม"


 


สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ฉบับทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) สงขลา ฉบับ พ.ศ.2529 เล่ม 7 ระบุความเป็นมาว่า[4] เชื่อกันว่าปอเนาะเกิดขึ้นในประเทศอียิปต์ แล้วแพร่มาสู่เอเชียที่ประเทศมาเลเซียก่อน ต่อมาจึงแพร่เข้าสู่เส้นทางใต้ของประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเริ่มที่ปัตตานีเป็นแห่งแรก แล้วขยายไปสู่ท้องถิ่นที่มีชาวไทยมุสลิมทั้งในภาคใต้และภาคกลาง


 


"ปอเนาะ" ถือเป็นการศึกษาเพื่อชุมชนแบบพึ่งตนเอง เกิดที่ปัตตานีเมื่อ 200 ปีมาแล้ว โดยปอเนาะแรกคือ บืดนังดายอ ใกล้ๆ ต.สะนอ, อ.ยะรัง, จังหวัดปัตตานี


 


ผศ.ดร.หะสัน หมัดหมาน[5] ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาในชุมชนมุสลิมชายแดนใต้กล่าวว่า "ระบบการเรียน ศาสนาซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าปอเนาะ ที่มีอยู่ในสถานที่ต่างๆ ในมาเลเซีย นับเป็นระบบที่ได้รับการถ่ายทอดไปจาก ปัตตานี ซึ่งเป็นแหล่งสอนศาสนาที่ชาวมุสลิมได้จัดตั้งขึ้น ระบบการสอนแบบนี้เลียนแบบจากระบบพระสงฆ์ใน พระพุทธศาสนา เพราะเป็นการศึกษาค้นคว้าหลักศาสนาที่พยายามปลีกตัวออกห่างจากสังคมอันสับสนข้อนี้ สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ระบบการสอนแบบปอเนาะไม่เคยปรากฏขึ้นเลยในประเทศกลุ่มมุสลิม แน่นอน ที่สุด มลายูได้รับอิทธิพลไปจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ สถาบันปอเนาะที่กล่าวนี้ บุคคลผู้ทรงคุณวุฒิทาง ศาสนาอิสลามเป็นผู้สร้างขึ้น และตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์ เรียกว่า โต๊ะครู ทำการอบรม สั่งสอน เผยแพร่ ศาสนา โดยมิได้รับค่าตอบแทน เพียงเพื่อผลบุญในปรภพ และเกียรตินิยมจากการยอมรับของสังคมมุสลิม"


 


ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) เขตการศึกษา 2 ระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศระเบียบกระทรวงฯ ว่าด้วยการปรับปรุงส่งเสริมปอเนาะ ออกมาเมื่อปี 2504 สาระสำคัญคือ ให้ปอเนาะยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนต่อทางราชการ


 


ต่อมาในปี 2508 รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีให้ปอเนาะที่ขึ้นทะเบียนแล้ว แปรสภาพเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ให้ปรับปรุงการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐาน ให้มีหลักสูตรการสอน มีชั้นเรียน โต๊ะ เก้าอี้ กระดานดำ มีระยะจบการศึกษาที่แน่นอน และให้เปิดสอนวิชาสามัญด้วย ทางราชการจะช่วยเหลือส่งเสริมโดยการให้เงินอุดหนุน ส่งครูไปช่วยสอนวิชาสามัญ และผ่อนปรนในเรื่องคุณสมบัติบางประการของเจ้าของ ผู้จัดการ ครูใหญ่ และครูผู้สอน โดยไม่ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ.2497 อย่างเคร่งครัด


 


ปี 2510 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เร่งรัดปอเนาะที่ขึ้นทะเบียนแล้วทั้งหมด ให้มาขอแปรสภาพจากปอเนาะเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 มิถุนายน 2514 ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าปอเนาะนั้นล้มเลิกไป และหลังจากนั้นห้ามก่อตั้งปอเนาะขึ้นมาอีก หากจะตั้งต้องเปิดสอนในรูปแบบของโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามเท่านั้น


 


ถึงปี 2514 มีปอเนาะจำนวนมากถึง 426 แห่ง มายื่นความจำนงขอแปรสภาพกับทางการ แต่บางแห่งที่เคยขึ้นทะเบียนด้วยความจำยอม เนื่องจากถูกบีบจากทางการ ถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ไม่ยอมแปรสภาพอีก บางส่วนยอมแปรสภาพจากปอเนาะไปสู่ระบบโรงเรียน แต่สอนเฉพาะวิชาศาสนาเท่านั้น ตามหลักสูตรและแผนการสอนที่โรงเรียนปอเนาะแห่งนั้นๆ กำหนดขึ้นเอง และนอกจากนี้ ยังมีปอเนาะแห่งใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา


 


การศึกษาของมุสลิมจึงแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ คือ "ปอเนาะ" อันเป็นรูปแบบการศึกษาดั้งเดิมของท้องถิ่น กับการศึกษาในระบบ "โรงเรียน" ที่เรียกกันติดปากว่า โรงเรียนปอเนาะ ซึ่งมีการแบ่งชั้นเรียน มีชุดเครื่องแบบ มีโต๊ะเก้าอี้นั่งเรียน มีการนับชั้น และกำหนดระยะจบการศึกษา


 


โรงเรียนปอเนาะยังแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สอนทั้งวิชาสามัญและศาสนา กับสอนเฉพาะวิชาศาสนาเพียงอย่างเดียว


 


ในปี 2526 ชื่อโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามถูกรัฐบาลเปลี่ยนเป็น โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อสอดคล้องตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 และออกระเบียบการให้เงินอุดหนุนแก่โรงเรียนเอกชนฯ ที่สอนวิชาสามัญควบคู่วิชาศาสนาอิสลาม ฉบับแก้ไขครั้งล่าสุดออกมาเมื่อปี 2545 ให้เงินอุดหนุนแก่โรงเรียนที่ได้มาตรฐานตามมาตรา 15 (1) 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนโรงเรียนที่อยู่ในระยะเตรียมความพร้อม และโรงเรียนที่เพิ่งจดทะเบียนหลังวันออกระเบียบ ให้เงินอุดหนุน 60 เปอร์เซ็นต์


 


แต่สำหรับโรงเรียนที่สอนเฉพาะวิชาศาสนาจะไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล


 


เงื่อนไขนี้สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้แก่ปอเนาะหลายแห่ง ตามสถิติจากการสำรวจล่าสุด (ปี พ.ศ. 2547 ) ของกระทรวงศึกษาธิการ มีโรงเรียนปอเนาะกว่า 550 โรง แบ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาอย่างเดียว 300 โรง และที่เปิดสอนทั้งวิชาสามัญและศาสนาประมาณกว่า 200 โรง โดยไม่นับรวมปอเนาะที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ปอเนาะที่ผ่านการแปรสภาพเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ได้รับการพัฒนามาเป็นลำดับ กระทั่งปัจจุบัน


 


ปี 2547 หลังจากเหตุการณ์ไม่สงบชายแดนใต้ ภาครัฐได้สนับสนุนแกมบังคับให้สถาบันศึกษาปอเนาะที่สอนเฉพาะศาสนา จดทะเบียนปอเนาะตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.ศ.2547 ซึ่งทำให้โต๊ะครูรีบนำปอเนาะมาจดทะเบียนอย่างเร่งรีบ ถึงแม้จะไม่มีความพร้อม เพราะกลัวจะถูกขึ้นบัญชีดำในกลุ่มขบวนการก่อการร้ายหากปฏิเสธ


 


จากมาตรการดังกล่าวของรัฐทำให้มีจำนวนปอเนาะขอขึ้นทะเบียนอีก 255 สถาบันปอเนาะ


 


 


3


ปอเนาะชายแดนใต้ ท่ามกลางกระแสการก่อการร้ายภาคใต้


 


 


ความเป็นจริง มุมมองที่เป็นลบต่อปอเนาะไม่ใช่พึ่งเกิดในภาวะกระแสก่อการร้ายปัจจุบัน แต่จากการศึกษาพบว่า รัฐพยายามเข้ามาใช้อำนาจทางการเมือง พยายามบริหารจัดการ โดยให้ปอเนาะมาจดทะเบียนกับภาครัฐ


 


วันที่ 12-17 พ.ย. 2503 มีการประชุม[6] โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ยอมรับแนวทางการปรับปรุงการศึกษาในปอเนาะ ปรับปรุงอาคาร สถานศึกษา และบริเวณ ปรับปรุงการเรียนการสอน ปรับปรุงหลักสูตรจัดสอนให้เป็นชั้น จัดสอนภาษาไทยและจัดการสอนวิชาชีพตามความต้องการและความพร้อม ให้มีการประเมินผลการสอน


 


ผลการประชุมสัมมนาในครั้งนั้น เป็นการจุดประกายที่สำคัญของการเริ่มต้นในการส่งเสริมและปรับปรุงปอเนาะเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ประกาศใช้ "ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปรับปรุงส่งเสริมปอเนาะในภาคศึกษา 2 พ.ศ. 2504" โดยมีสาระสำคัญของระเบียบนี้คือ


 



  1. ปอเนาะใดที่มีความสนใจที่จะปรับปรุงกิจการให้ยื่นเรื่องขอจดทะเบียนต่อทางราชการ
  2. ปอเนาะใดที่จัดกิจการด้านการสอนได้ดี จะได้รับการอุดหนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ
  3. ให้ปอเนาะที่จดทะเบียนแล้ว จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร ทั้งวิชาศาสนา วิชาสามัญและวิชาชีพ


ผลการใช้ระเบียบนี้ ปรากฏว่าเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2507 มีปอเนาะในภาคศึกษา 2 มาจดทะเบียนกับทางราชการจำนวน 171 ราย นอกจากนั้น ปอเนาะที่จดทะเบียนแล้ว ได้สนใจปรับปรุงกิจการ อาคาร สถานที่ที่สอน หลักสูตรการเรียนการสอน มีชั้นเรียน มีการสอนภาษาไทย และมีการวัดผล


 


และในปี 2508 รัฐบาลมีความเห็นว่า ควรส่งเสริมปอเนาะที่จดทะเบียนแล้วให้แปรสภาพเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปรับปรุงส่งเสริมปอเนาะในภาคศึกษา 2 พ.ศ. 2504 นั้น นับว่าเป็นการพัฒนาปอเนาะไปสู่ระบบในการจัดการเรียนการสอน หรือเป็นการจัดระบบการศึกษาเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ซึ่งการจัดการเรียนการสอนของ ปอเนาะนั้น ไม่มีการวัดผลและประเมินผล ไม่มีชั้นเรียน


 


จากการที่รัฐได้พัฒนาปอเนาะเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม โดยการสนับสนุนงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์ รัฐมีนโยบายให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามเป็นโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติของโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนวิชาศาสนา วิชาสามัญ และวิชาชีพอย่างมีคุณภาพ จัดทำเกณฑ์มาตรฐานรับรองวิทยฐานะของโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ เพื่อยกฐานะโรงเรียนเอกชนตามมาตรา 15(2) เป็นโรงเรียนเอกชน 15 (1) แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 พัฒนาระบบการวัดผลและประเมินผล พัฒนาระบบการบริหาร ส่งเสริมและอุดหนุนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 4 ประเภท คือ การอุดหนุนด้านสื่อการเรียนการสอน การอุดหนุนด้านวิทยาคารสงเคราะห์


 


กล่าวโดยสรุป ทางราชการมีนโยบายที่จะแปรสภาพสถานศึกษาปอเนาะให้เป็นโรงเรียนราษฎร์ โดยมีแผนดำเนินการแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน



1. โครงการปรับปรุงปอเนาะเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามขึ้นใน พ.ศ.2508-2511 เป็นแนวนโยบายที่ต้องการให้มีการแปรสภาพปอเนาะเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2497 เพื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ แต่การดำเนินการในขั้นนี้ยังไม่มีการบังคับ คงเป็นไปตามความสมัครใจ



2. โครงการปรับปรุงปอเนาะเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ขั้นที่ 2 เริ่มขึ้น ในพ.ศ.2509 ขณะที่โครงการแรกดำเนินการยังไม่เสร็จสิ้น หลังจากโครงการปรับปรุงครั้งที่ 2 ก็ได้มีแผนปรับปรุงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน


 


การจดทะเบียนปอเนาะตามระเบียบนี้ กำหนดให้ปอเนาะที่จะได้รับการส่งเสริมหรือช่วยเหลือจากทางราชการ ต้องจดทะเบียนเป็นสถานศึกษาวิชาศาสนาให้ถูกต้อง แต่ไม่บังคับให้ปอเนาะที่ตั้งอยู่ก่อนแล้วใช้ระเบียบนี้ต้องมาขอจดทะเบียน แต่ให้เป็นไปตามความสมัครใจของโต๊ะครูปอเนาะ


 


ในปี 2526 โรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลามเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 สาเหตุที่ปอเนาะยอมเปลี่ยนเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม มีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อต้องการพัฒนาโรงเรียนปอเนาะให้ได้เรียนศาสนาควบคู่สามัญ ซึ่งจากวัตถุประสงค์ก็ไม่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม กอปรกับปอเนาะเองไม่ต้องการให้ทางราชการมองปอเนาะในแง่ลบ และในขณะเดียวกัน ทางราชการก็มิได้ห้ามให้ปอเนาะเลิกสอนวิชาศาสนาดังที่เคยปฏิบัติมา


 


ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า[7] "กระทรวงศึกษาธิการในช่วงปลายปี พ.ศ.2547 จึงได้ประกาศให้เงินอุดหนุนเพื่อพัฒนาทางกายภาพแก่ปอเนาะ (หรือ "สถาบันศึกษาปอเนาะ" ในปัจจุบัน) แห่งละประมาณ 200,000-300,000 บาท

การอุดหนุนในครั้งนี้ ก็มีวัตถุประสงค์ต้องการจัดระเบียบปอเนาะดั้งเดิม ที่หน่วยงานความมั่นคงยังคง "แผ่นเสียงตกร่อง" มองว่าปอเนาะเหล่านี้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอีกเช่นเคย นับตั้งแต่ที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงกิจการของปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลได้จูงใจผ่านการอุดหนุนการดำเนินงานของโรงเรียนเหล่านี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในรูปของบุคลากร เงิน และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ


 


สิ่งสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก็คือ การอุดหนุนที่รัฐบาลให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมานั้น มิได้พิเศษหรือแตกต่างไปจากโรงเรียนเอกชนอื่นๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ นอกจากนั้น ในการแทรกแซงโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่ผ่านมา รัฐบาลมักมีประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติมาโดยตลอด ในขณะที่รัฐบาลซึ่งทำตัวเป็น "คุณพ่อรู้ดี" ที่ไม่เคยรู้ดีเลย และไม่พยายามเข้าใจวิถีชีวิตของคนมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรื่องการเรียนการสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งของการเป็นมุสลิมที่ดี


 


ในทางกลับกัน เมื่อรัฐบาลไม่เข้าใจในวิถีชีวิตดังกล่าว กลับไปมองเป็นว่าสิ่งที่ชุมชนซึ่งเป็นคนไทยกำลังทำอยู่นั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ (ครั้งหนึ่งทางการเคยห้ามนักเรียนในโรงเรียนของรัฐพูดคุยกันเป็นภาษามลายู)


 


เหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลคิดเช่นนั้น อาจมาจากการนิยามคำว่า "ความมั่นคงของชาติ" ที่แคบเพียง "อธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดน" (ตามที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เคยอธิบายไว้ในบทความเรื่อง "ทวงคืนความมั่นคงจากทหารเสียที" ในหน้า 6 ของหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 19 กันยายน 2548) เมื่อคำนิยามแคบ อะไรที่รัฐบาลไม่เข้าใจก็กลับกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไปเสียหมด แต่หากปล่อยให้ความไม่เข้าใจยังคงอยู่ ความคิดประเภทแผ่นเสียงตกร่องคงไม่สามารถหายหรือลบเลือนไปได้


 


ปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และอุซตาซ ก็ยังคงต้องเป็นจำเลยในฐานที่เป็นแหล่งหรือผู้บ่มเพาะผู้ก่อความไม่สงบต่อไป นี่นับว่ายังโชคดีที่แม้รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม แต่ชุมชนมุสลิมท้องถิ่นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงสามารถรักษาการศึกษาทางด้านศาสนาเองไว้ได้ ไม่เหมือนกับพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงจนเละตุ้มเปะ


 


สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวอย่างและบทเรียนที่ดีสำหรับรัฐบาลที่ควรเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ปราบปรามไปเป็นผู้สนับสนุนแทน


 


อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่า อุซตาซหรือครูสอนศาสนาที่เลวๆ ก็คงมีอยู่ในปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามบางแห่ง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ครูเลวๆ ในโรงเรียนของรัฐ หรือพระเลวๆ ในวัดที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศก็มีอยู่เช่นกัน และหากขยายความคำว่าความมั่นคงของชาติให้กว้างขึ้นกว่าอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดน ก็คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ครูและพระเลวๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศก็เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติเช่นกัน


 


เมื่อพิจารณาบทบาทโต๊ะครูที่มีต่อชาวบ้านและชุมชน จะพบว่ามันสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องกระบวนการผู้มีบุญที่มีอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อของชาวเขาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งใช้ทฤษฎี (Revitalization Theory)[8] เมื่อถูกกดดันจากภาครัฐ ทำให้โต๊ะครูและชาวบ้านมีทางเลือกสองทางคือ การไม่ยอมรับการจดทะเบียนปอเนาะ เพราะกลัวว่ารัฐจะเข้ามาควบคุม ซึ่งเป็นส่วนน้อย เมื่อพิจารณาจากส่วนใหญ่ของปอเนาะที่ยอมจดทะเบียนเพื่อฟื้นฟูพลังการดำรงอยู่ และพลังที่พวกเขานำมาใช้เพื่อการคงอยู่ ก็มีบริบทภายในวัฒนธรรมตนเองและปัจจัยทางการเมืองภายนอก และขณะเดียวกันมีการใช้กระบวนการต่อรอง (Negotiation) ตามแนวคิดของกรัมชี ระหว่างโต๊ะครู ชุมชน กับรัฐ โดยการยอมรับของชุมชนและโต๊ะครูนั้น รัฐต้องมาสนับสนุนพัฒนา ไม่ใช่มาควบคุม โดยเฉพาะงบประมาณ และที่สำคัญยังคงให้สอนศาสนาได้


 


สำหรับรัฐเองได้เสนอให้ปอเนาะต่างๆ ต้องมีหลักสูตรสามัญ วิชาชีพ โดยเฉพาะวิชาภาษาไทย ซึ่งจะทำให้คนในพื้นที่สามารถใช้ภาษาไทยได้ และสามารถลดบทบาทภาษามลายูได้ เป็นการสร้างความมั่นคงของประเทศในอนาคต และความเป็นไทยตามทัศนะรัฐบาลกลาง ซึ่งคนในพื้นที่ชายแดนใต้มองการกระทำดังกล่าวว่าเป็นวัฒนธรรมข้ามชาติ โดยใช้ทุนนำเสมือนกับการพยายามเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมให้เป็นสินค้า (Commoditization of Culture)[9] ซึ่งปอเนาะหลายโรงได้รับงบประมาณนับสิบล้านต่อปีผ่านการสนับสนุนรายหัวนักเรียน (10,000/คน/ปี) ทำให้ชุมชนมองปอเนาะหลายโรงเป็นสถาบันทางธุรกิจของโต๊ะครู


 


สาเหตุที่ปอเนาะยอมจดทะเบียนกับภาครัฐพอจะสรุปได้ดังนี้


 



  1. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับทางราชการ และการจดทะเบียนก็ไม่ได้มีผลต่อการสอนวิชาศาสนา
  2. เนื่องจากทางราชการให้โอกาสในการจดทะเบียนให้เป็นไปตามความสมัครใจ มิได้เป็นการบังคับในการจดทะเบียน
  3. ไม่มีการบังคับในการสอนวิชาศาสนาในปอเนาะ
  4. ทางราชการให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน วัสดุ อุปกรณ์การศึกษาให้แก่ปอเนาะที่จดทะเบียน
    แม้ ปอเนาะยอมที่จดทะเบียนกับรัฐแต่ปอเนาะก็ไม่ประสงค์ที่จะให้ทางรัฐมาแทรกแซง กิจการของปอเนาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอนวิชาศาสนา

 


ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงปอเนาะ



  1. เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านสถานศึกษาคือ มีการปรับปรุงอาคารเรียนให้เป็นกิจลักษณะ และที่พักอาศัยของนักเรียนโดยได้รับเงินสนับสนุนจากทางราชการ
  2. เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการบริหารโรงเรียน คือ มีการปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย มีการตรวจและนิเทศการศึกษา
  3. ได้รับการสนับสนุนด้านอุปกรณ์การศึกษา
  4. เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวิชาการศึกษา มีการศึกษาวิชาศาสนาและวิชาสามัญควบคู่กัน
  5. เกิดการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเจ้าของปอเนาะจากเดิมเรียก "โต๊ะครู" เปลี่ยนเป็นครูใหญ่หรือผู้จัดการโรงเรียน
  6. มีหลักสูตรที่เป็นลายลักษณ์อักษร

 


ปัญหาอุปสรรคและความต้องการของสถาบันปอเนาะที่พึ่งจดทะเบียนในภาวะปัญหาการก่อการร้าย พบว่าถึงแม้สถาบันปอเนาะจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่งบประมาณบางส่วนและการสนับสนุนของรัฐยังไม่เพียงพอที่จะมาดำเนินการให้ครบตามมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ซึ่งสามารถสรุปปัญหาพอสังเขปดังนี้[10]



  1. ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน สถาบันศึกษาปอเนาะที่จดทะเบียนปอเนาะตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.ศ.2547 จำนวน 255 โรง ยังมีปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งที่ทางปอเนาะเสนอให้ทางรัฐจัดให้ ได้แก่ ป้ายสถาบันศึกษา เสาธง อาคารสถานที่ บาลาเซาะ และปอเนาะที่พักของนักเรียน สถานที่อาบน้ำละหมาด ถนน สิ่งแวดล้อมภายใน ไฟฟ้า และประปา เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทางสถาบันปอเนาะได้เสนอให้รัฐสนับสนุนงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนประจำปีเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว
  2. ปัญหาด้านโครงสร้างการบริหารสถาบัน สถาบันศึกษาปอเนาะจะมีผู้บริหารเป็นโต๊ะครู และผู้ช่วยโต๊ะครู (หัวหน้าตะลอเอาะฮ) แต่ละปอเนาะมีจำนวนผู้ช่วยโต๊ะครูไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของโต๊ะครู ในอดีต ปอเนาะยังไม่มีโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน ต่อมา หาแนวทางเพื่อกำหนดโครงสร้างการบริหารปอเนาะ นอกจากนั้น ทางปอเนาะยังได้เสนอให้ทางราชการช่วยติดตามผล ให้คำชี้แนะแนวทางการบริหารจัดการของสถาบันศึกษาปอเนาะอย่างต่อเนื่อง
  3. ปัญหาด้านหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนในสถาบันศึกษาปอเนาะ ไม่มีหลักสูตรที่เป็นลายลักษณ์อักษร ขึ้นอยู่กับความถนัดของโต๊ะครู แต่ละแห่งแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของโต๊ะครู โต๊ะครูของสถาบันศึกษาบางแห่งไม่ประสงค์จะกำหนดให้มีหลักสูตรที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ต้องการสอนศาสนา คงสภาพปอเนาะเดิมๆ เอาไว้ นอกจากนั้นนักศึกษาไม่สามารถนำความรู้ความเข้าใจทางด้านศาสนาไปเทียบโอนผลการเรียนได้ เมื่อไปศึกษาต่อที่อื่น แต่โต๊ะครูมีความประสงค์ให้สามารถเทียบโอนผลการเรียนในวิชาที่สอนได้ ทางปอเนาะได้เสนอแนวแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวดังนี้คือ ในขณะนี้ไม่ควรกำหนดหลักสูตรให้สถาบันศึกษาปอเนาะ แต่การเรียนการสอนที่จัดในปอเนาะให้สามารถเทียบโอนผลการเรียนได้

 


ในอดีต การอยู่รอดของปอเนาะจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ 1. การสนับสนุนทางการเงินจากสังคม ซึ่งรวมถึงสังคมรอบๆ ปอเนาะ และสังคมของผู้เรียนในปอเนาะ 2. ชื่อเสียงของโต๊ะครู จำนวนผู้เรียนในปอเนาะจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความมีชื่อเสียงของโต๊ะครู 3. ผู้สืบทอด


 


สำหรับผู้สืบทอดของปอเนาะ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลูกของโต๊ะครูเองหรือเขยของโต๊ะครู อาจจะมีบางปอเนาะที่หัวหน้าผู้เรียนเป็นผู้สืบทอด ส่วนการอยู่รอดของปอเนาะในอนาคตนั้น อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ อีก นอกจากปัจจัยข้างต้น เช่น การสนับสนุนหรือการแทรกแซงจากภาครัฐ


 


อ่านต่อตอนต่อไปเกี่ยวกับปอเนาะในฝันท่ามกลางความรุนแรงชายแดนใต้


 


4


ปอเนาะในฝันท่ามกลางความรุนแรงชายแดนใต้


 


 


จากการศึกษาพลวัตของสถาบันการศึกษาปอเนาะ ปัจจุบันนี้สามารถแบ่งได้เป็น ปอเนาะที่สอนทั้งวิชาศาสนาและสามัญ เรียกว่า "โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม" และปอเนาะที่มีการสอนเฉพาะวิชาศาสนาเรียกว่า "สถาบันปอเนาะ"


 


ปอเนาะที่มีการสอนทั้งวิชาศาสนาและสามัญเรียกว่าโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามนั้น จะเป็นนักเรียนในระบบเข้าเรียนเปิดสอน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่หก การบริหารและการดำเนินกิจการของโรงเรียนเป็นไปอย่างมีระบบ บุคลากรได้รับการพัฒนาอบรม อาคารสถานที่มั่นคงถาวร และได้รับการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาดั่งโรงเรียนสามัญทั่วประเทศไทยในด้านหลักสูตร ได้นำเอาหลักสูตรสามัญศึกษาของโรงเรียนมัธยมต้น และมัธยมปลายมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ มีโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ, พัฒนาวิทยา, จ.ยะลา. โรงเรียนดารุสสลาม, อัตตัรกียะห์, จ.นราธิวาส. ดรุณวิทยา, บำรุงอิสลาม, จ.ปัตตานี เป็นต้น


 


นักเรียนสามารถเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในประเทศทุกสาขาวิชา และต่างประเทศในหลายมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐ ในหลักสูตรสามัญและโลกอาหรับในหลักสูตรศาสนา บางโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่อนุบาล-มัธยมปลาย ส่วนหลักสูตรศาสนาอิสลามได้แบ่งชั้นเรียนเป็น 10 ชั้นปี (ปัจจุบันกำลังพัฒนาสู่ 12 ชั้นเรียนเพื่อให้สอดคล้องกับการศึกษาของสามัญ)ได้แก่ หลักสูตรอิสลามศึกษาตอนต้น (อิบติดาอียะฮฺ ปีที่ 1-4) หลักสูตรอิสลามศึกษาตอนกลาง (มุตาวัซซีเตาะฮฺ ปีที่ 5-7) และหลักสูตรอิสลามศึกษาตอนปลาย (ซานาวียะฮฺ ปีที่ 8-10)


 


มาตรฐานของโรงเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน ทำให้โรงเรียนปอเนาะได้รับความสนใจมาก เพราะนักเรียนมีความรู้ทั้งศาสนาและสามัญ ดั่งสโลแกนของบางโรงที่กล่าวว่า "ความรู้ทางโลกปราศจากศาสนา โลกจะสงบสุขได้อย่างไร" ในขณะเดียวกัน หลายโรงเรียนเปิดหลักสูตร ฮาฟิซกุรอานเพิ่ม (ท่องจำอัลกุรอาน) บางโรงเปิดหลักสูตรอนุปริญญาด้านศาสนาโดยไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่อัลอัซฮาร์ ประเทศอียิปต์เพียง 2 ปี


 


สำหรับปอเนาะที่สอนเฉพาะศาสนาอิสลามอย่างเดียว เป็นสถาบันที่สอนศาสนาและวัฒนธรรมอิสลามแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้โดยมีผู้ที่มีความรู้ทางด้านศาสนาอิสลาม และต้องมีภาวะเป็นผู้นำของชุมชนที่เรียกว่า "ตุวันคูรู" ในภาษามลายูหรือ "โต๊ะครู" โต๊ะครูในที่นี้ คือ เจ้าของปอเนาะด้วย


 


การจัดตั้งปอเนาะเป็นไปตามความศรัทธาของชุมชน ที่ต้องการให้มีสถาบันการสอนศาสนาอิสลาม ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงามตามหลักศาสนาอิสลามแก่เยาวชนมุสลิม โดยมีโต๊ะครูซึ่งจะเป็นทั้งผู้สอนและผู้จัดการปอเนาะ


 


การเรียนการสอนในปอเนาะ จะเน้นการเรียนรู้หลักศรัทธา คัมภีร์อัลกุรอาน อรรถาธิบายอัลกุรอาน วจนะศาสดา กฏหมายอิสลาม มารยาทอิสลาม และมารยาทกับต่างศาสนิก ภาษาอาหรับ สำนวนโวหารอาหรับ ตรรกศาสตร์ ปรัชญาอิสลาม ดาราศาสตร์ โดยศึกษาจากตำราที่เป็นภาษาอาหรับ หรือ "ภาษามลายูอักษรยาวี" ซึ่งเรียกว่า "กีตาบยาวี"


 


ตำราทั้งสองภาษา ใช้สำนวนภาษาของคนสมัยก่อน (คนสมัยนี้อ่านแล้วยากแก่การเข้าใจ ต้องเรียนกับโต๊ะครูหรือผ่านการศึกษาระบบปอเนาะอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะเข้าใจ) ในส่วนของโต๊ะครูปอเนาะแต่ละคนนั้น จะมีความรู้ ความถนัด รวมทั้งวิธีการถ่ายทอดความรู้สู่ผู้เรียนที่แตกต่างกัน รูปแบบ ช่วงชั้น ช่วงเวลา หลักสูตรและการวัดผลที่แน่นอน อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโต๊ะครู มีทั้งโต๊ะครูสอนเอง หรือลูกศิษย์ที่โต๊ะครูเห็นว่า สามารถช่วยสอนแทนได้ในบางวิชา ทั้งนี้โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ


 


ในส่วนของผู้เรียน สามารถเรียนได้ตลอดชีวิต หรือจนกว่าผู้เรียนจะขอลาออกไปประกอบอาชีพ หรือในกรณีโต๊ะครูพิจารณาแล้วว่ามีความรู้เพียงพอแล้ว ผู้มาเรียนปอเนาะจะต้องเป็นผู้ที่ผู้ปกครองนำมาฝากไว้กับโต๊ะครู และต้องอยู่ ในบ้านที่เป็นกระท่อมหรือปอเนาะ ซึ่งจะตั้งเรียงรายอยู่ในบริเวณบ้านของโต๊ะครู หรือบ้าน ที่โต๊ะครูกำหนดให้อยู่ ผู้เรียนจะต้องหาอาหารและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เฉลี่ยคนละ 30-50 บาทต่อวัน


 


ในปอเนาะบางแห่งมีคนชราและผู้ยากไร้อยู่ด้วย มีผู้เรียนหลากหลายกลุ่มอายุปะปนกัน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา การเรียนการสอนจะแยกกันเด็ดขาดระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ผู้เรียนปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด การแต่งกายถูกต้องมิดชิดตามหลักศาสนา นักเรียนที่มาเรียนในปอเนาะจะมีทั้งที่จบชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย มหาวิทยาลัย บางคนเรียนหลักสูตรปอเนาะในเวลากลางคืนและหลังรุ่งสางส่วนกลางวันหากเป็นนักเรียนก็จะไปโรงเรียนที่เขาสังกัด หากเป็นผู้ใหญ่กลางวันจะทำงาน (เพราะฉะนั้นการบรรจุการสอนวิชาสามัญเป็นภาษาไทยจึงไม่จำเป็น)


 


การจัดตั้งปอเนาะใช่ว่าใครคิดจะตั้งก็ตั้งได้ ผู้ก่อตั้งจะต้องมีความรู้ทางศาสนาชั้นสูง มีความตั้งใจจริง มีจิตใจบริสุทธิ์ และตั้งมั่นในความเสียสละอย่างแรงกล้า การสร้างปอเนาะ ที่ละหมาด สาธารณูปโภคต่างๆ ได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีจิตศรัทธาในชุมชนและนอกชุมชน การเติบโตของปอเนาะขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของโต๊ะครูเป็นสำคัญ โต๊ะครูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ประชาชนให้การยอมรับ มักจะมีผู้มาสมัครเป็นลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก เช่นปอเนาะดาลอที่ปัตตานี


 


ปอเนาะจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับสถานภาพและความรู้ความสามารถของผู้เป็นเจ้าของ การดำรงอยู่ของปอเนาะขึ้นอยู่กับความเลื่อมใสศรัทธาของผู้ปกครองนักเรียน ฉะนั้นเมื่อโต๊ะครูถึงแก่กรรม และไม่มีทายาทสืบต่อ หรือประชาชนเสื่อมความนิยม ก็จะล้มเลิกกิจการไปเอง จึงมักพบเห็นปอเนาะร้างปรากฏอยู่ทั่วไป


 


การเรียนในปอเนาะ ไม่ใช่เรียนเพื่อรับปริญญาหรือศึกษาต่อในระบบโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยทั้งในหรือต่างประเทศ การเรียนการสอนในปอเนาะไม่ใช่เพื่อประกอบอาชีพ แต่คือการทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม


 


หลักคำสอนของศาสนาอิสลามในปอเนาะ มีทั้งพื้นฐานความรู้ทั่วไปที่ทุกคนจะต้องรู้และนำไปปฏิบัติ ในขณะเดียวกัน มีหลักคำสอนสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนเป็นถึงระดับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ (อิสลามศึกษา) การถือกำเนิดปอเนาะในภาคใต้นั้น มิใช่เพื่อสนองอารมณ์หรือธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วเพื่อสนองหลักการศึกษาศาสนาอิสลาม เพราะอิสลามสอนให้มนุษย์มีการศึกษาตลอดชีวิต เก่ง ดี มีสุข ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ ปี พ.ศ.2542[11]


 


มุสลิมที่ดีต้องศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัด ดังปรัชญาของอิสลามที่ว่า "จงศึกษาตั้งแต่อยู่ในเปลจนถึงหลุมฝังศพ" หรือ "ผู้มีความรู้ มีหน้าที่สอนผู้ที่ไม่รู้" หรือ "ผู้ที่ดีเลิศ คือผู้ที่เรียนและสอนกุรฺอาน" ดังนั้น ปอเนาะจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต และเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาในคราวเดียวกัน


 


ในอดีต ปราชญ์อิสลามระดับอาเซียนถือกำเนิดจากระบบปอเนาะในจังหวัดชายแดนใต้ เช่น เชคดาวุด เชคอะห์มัด จนถึงโต๊ะครูอาเยาะเดร์ สะกัม[12] ด้วยจุดเด่นของปอเนาะดังกล่าว ทำให้การศึกษาอิสลามระบบปอเนาะใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ดีที่สุดในประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนด้วยกัน จึงทำให้มีมุสลิมจากภาคอื่นๆ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชาและเวียดนามมาศึกษาเล่าเรียนที่นี่


 


หากรัฐคำนึงถึงจุดเด่นข้อนี้ และช่วยเหลือพัฒนาอย่างถูกต้อง ไม่แน่ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางอิสลามศึกษาในระบบปอเนาะระดับอาเซียน อันจะดึงเม็ดเงินจากเพื่อนบ้านได้ในที่สุด (ศอบต. ซึ่งมีงบนับร้อยล้าน น่าจะทำปอเนาะนานาชาติในฝันแข่งกับการท่องเที่ยวดูว่า ใครจะนำเงินตราต่างประเทศมากกว่ากัน)



อ. อาหมัด เบ็ญอาหลี[13]ผู้คร่ำหวอดวงการศึกษาและทำงานพื้นที่มานาน (อดีตผู้ตรวจราชการ สพท.นราธิวาส เขต 2 ปัจจุบันรองผู้นวยการ สพท.สงขลา เขต 2) เคยเสนอว่า ในเมื่อปอเนาะเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของชุมชน การใช้ปอเนาะเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกลไกภาครัฐสู่ภาคประชาชน จึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม


 


เพื่อให้การบริหารจัดการปอเนาะได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลควรมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้


 



  1. จดทะเบียนปอเนาะที่เหลืออยู่ทุกแห่ง ให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง เพื่อความสะดวกในการพัฒนาและดูแลอย่างใกล้ชิด
  2. ควรให้เงินอุดหนุนเป็นค่าตอบแทนแก่โต๊ะครูและครูสอนศาสนาตามความเหมาะสม เนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีความรับผิดชอบสูง ทั้งด้านการจัดการเรียนการสอนและการอบรมจริยธรรม
  3. ควรสนับสนุนด้านอาคารสถานที่ โต๊ะ เก้าอี้นักเรียน และครุภัณฑ์ที่จำเป็นพร้อม ทั้งห้องสมุด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของผู้เรียน
  4. สนับสนุนสื่อการสอนประเภทต่างๆ
  5. ควรให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการการพัฒนาปอเนาะในด้านต่างๆ กระทรวงศึกษาธิการ ดูแลด้านการศึกษาและงานอาชีพ, กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้การสงเคราะห์คนชราและผู้ยากไร้, กระทรวงสาธารณสุข ดูแลด้านสุขภาพอนามัย, และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่งเสริมด้านการกีฬาและนันทนาการ

 


แต่เมื่อ "ปอเนาะ" ถูกมองในแง่ร้าย และเสนอให้ยกเลิกสถาบันปอเนาะที่สอนเฉพาะศาสนา และบังคับให้เปิดเป็นโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน บรรจุการสอนวิชาสามัญเป็นภาษาไทยควบคู่ไปกับวิชาศาสนา เพราะเยาวชนที่ไม่รู้วิชาสามัญ ทำให้ไม่สามารถศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ เป็นการเข้าใจบริบท บทบาท ภารกิจของปอเนาะที่มีต่อชุมชนที่ไม่น่าถูกต้องนัก หากรัฐศึกษาและวิจัยแล้วพบว่า ปอเนาะคือโรงงานก่อการร้าย และการยุบสถาบันปอเนาะทำให้การก่อร้ายหายไปจากชายแดนใต้ ก็ขอเชิญรัฐจัดการ และประชาชนก็คงไม่ต่อต้านท่านอย่างแน่นอน


 


อุปสรรคของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักจะติดขัดอยู่ตรงแนวคิดและทัศนคติที่มีความแตกต่างกัน และความขัดแย้งในบางครั้งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ระหว่างรัฐกับประชาชนในพื้นที่ที่มีมาช้านาน เป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันที่จะลดหรือยุติความรู้สึกความหวาดระแวงและสร้างความมั่นใจทั้งในด้านสังคมและในด้านการศึกษา ซึ่งต้องทำพร้อมกันไป

ความสับสนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งเกิดขึ้นจากความเข้าใจแต่ฝ่ายเดียวและการคิดแทนจากฝ่ายรัฐ และความสับสนจากระแสข่าวที่มาจากสื่อที่ขาดจรรยาบรรณบางกลุ่ม ที่มักเสนอข่าวโดยขาดความรับผิดชอบและขาดความรอบคอบ โดยไม่เล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และสังคมโดยรวม

ทางออกและแนวทางที่จะพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องเริ่มด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะส่วนสำคัญที่มีอำนาจและหน้าที่โดยตรงกับการศึกษา คือ ฝ่ายรัฐที่ต้องมีความเอาจริงเอาจังและมีความจริงใจในการสนับสนุนช่วยเหลือ ฝ่ายผู้บริหารโรงเรียนที่ต้องมีความเข้าใจการบริหารจัดการการศึกษา และฝ่ายหน่วยงานที่ดูแลการศึกษาทั้งในระดับพื้นที่หรือระดับส่วนกลาง

สามส่วนนี้ต้องทำงานประสานกัน ด้วยการติดตามดูแลปัญหาและความขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับสถาบันศึกษาดังกล่าว ให้มีความพร้อมทั้งด้านกายภาพและหลักสูตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ และให้เกิดความสอดคล้องและเกิดการยอมรับด้วยความสมัครใจในการจัดการการศึกษา โดยรัฐต้องมีเป้าหมายในการพัฒนาที่ชัดเจนที่จะเข้าไปช่วยเหลือและส่งเสริม มากกว่าการเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในส่วนของสถาบันศึกษาปอเนาะ รัฐควรปล่อยให้มีความอิสระในการจัดการและกำหนดหลักสูตร แต่ควรให้การส่งเสริมในด้านกายภาพหรือด้านสาธารณูปโภคให้แก่สถาบันศึกษาปอเนาะ โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลักสูตร ในส่วนของการส่งเสริมวิชาชีพจะต้องไม่กระทบกับตารางการศึกษาที่มีอยู่ และไม่กระทบกับวิถีชีวิตทางการศึกษาภายในสถาบันศึกษาปอเนาะ

ส่วนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม รัฐควรเข้าไปส่งเสริมและช่วยเหลือให้เกิดการพัฒนาวิชาสามัญหรือวิชาชีพให้มีความพร้อมและมีมาตรฐาน และมีคุณภาพทางการศึกษาเหมือนกับโรงเรียนของรัฐหรือโรงเรียนเอกชนทั่วไป

สถาบันการศึกษาทั้งสองนี้มีความสำคัญ และความเหมาะสมกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพัฒนาไปบนความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างทางศาสนา วัฒนธรรม วิถีคิดที่มีความแตกต่าง ให้เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนและประเทศชาติบนพื้นฐานของการยอมรับความแตกต่างทางด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมต่อไป

มีผลวิจัยในพื้นที่ในโครงการพหุวัฒนธรรมกับการพัฒนาการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีศึกษาปอเนาะได้สรุปข้อเสนอแนะดังนี้[14]


สำหรับสถาบันศึกษาปอเนาะ



  1. รัฐให้การสนับสนุนสถาบันศึกษาปอเนาะให้คงอยู่ต่อไป ให้เป็นการศึกษาทางเลือกแก่ชุมชนและสังคม
  2. ให้ความเป็นอิสระในการบริหารจัดการและหลักสูตรของสถาบันศึกษาปอเนาะ
  3. กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับปอเนาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ รัฐต้องเข้ามาจัดการแก้ไขด้วยตัวเอง เพราะปัญหาของปอเนาะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงมักจะมาจากความเข้าใจผิดของรัฐ
  4. รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐควรเข้ามาสัมผัสกับปอเนาะโดยตรง ไม่ใช่ผ่านการรับรู้ผ่านกระแสสื่อ หรือรับรู้โดยการรายงานจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ขาดความรู้และความเข้าใจต่อปอเนาะที่แท้จริง
  5. หากปอเนาะมีปัญหาด้านการศึกษา รัฐต้องแก้ไขด้วยรูปแบบทางการศึกษา ไม่ใช่แก้ปัญหาของปอเนาะซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาด้วยวิธีการทางความมั่นคง
  6. รัฐควรสนับสนุนปอเนาะให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีค่า ซึ่งระบบปอเนาะเป็นระบบที่สอดรับกับความเหมาะสมของชุมชนได้เป็นอย่างดี และควรนำสิ่งดีๆ ในปอเนาะเสนอต่อสาธารณะและสังคมภายนอกให้หมดความหวาดระแวงและมองปอเนาะในแง่ร้าย โดยการสร้างสมมติฐานหรือทัศนคติใหม่กับปอเนาะ เพราะในอนาคต ปอเนาะอาจเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สังคมภายนอกให้ความสนใจ และเป็นรูปแบบการศึกษาแบบหนึ่งที่รัฐต้องให้ความคุ้มครอง โดยไม่จำเป็นต้องกำหนดว่าปอเนาะต้องอยู่ในระบบการศึกษาแบบใด แต่ให้คงความเป็นระบบแบบปอเนาะไว้ โดยให้ความสำคัญที่ความเหมาะสมมากกว่าระบบ หรืออาจจะจัดให้เข้าอยู่ในระบบการศึกษาตามอัธยาศัยรูปแบบหนึ่งได้
  7. ควรพิจารณาระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.ศ. 2547 ใหม่ เพราะมีบางข้อที่ยังไม่ชัดเจน และทำให้สภาพภาพของผู้บริหารปอเนาะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยการเชิญโต๊ะครูและผู้มีส่วนในปัญหาเข้าพิจารณาร่วมกัน
  8. รัฐควรช่วยเหลือปอเนาะในด้านสาธารณูปโภคโดยเร่งด่วน เนื่องจากสภาพของปอเนาะในปัจจุบันสมควรได้รับการปรับปรุง เช่น เรื่องที่อยู่อาศัยของเด็กนักเรียน อาคารเรียน น้ำ ไฟฟ้า
  9. ควรพิจารณาให้โต๊ะครูได้รับค่าตอบแทน และให้มีสวัสดิการเหมือนกับที่รัฐให้กับข้าราชการ
  10. การเสริมหลักสูตรด้านสามัญหรือวิชาชีพในสถาบันศึกษาปอเนาะ ควรตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดกับระบบดั้งเดิมที่เคยใช้อยู่ในปอเนาะ ไม่ควรดึงเวลาการเรียนการสอนที่เคยเป็นอยู่ แต่ควรหาความลงตัวและความเหมาะสมในการเสริมหลักสูตรสามัญหรือวิชาชีพในปอเนาะ เช่นให้ไปเรียนผ่านทางการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) หรือ การจัดตั้งศูนย์พัฒนาอาชีพในปอเนาะ
  11. ศูนย์กลางอิสลามศึกษาในระบบปอเนาะระดับอาเซียน


สำหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม




  1. รัฐควรให้ความเป็นธรรมกับการอุดหนุนแก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม โดยอุดหนุนทั้งวิชาศาสนาและสามัญ ซึ่งในปัจจุบันรัฐให้การอุดหนุนเพียงวิชาสามัญเท่านั้น ไม่ได้อุดหนุนวิชาศาสนา ซึ่งจะเป็นภาระแก่ผู้บริหารต้องรับผิดชอบ
  2. การพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ควรจัดสรรงบประมาณให้พอเพียงและเสริมสร้างวิทยาการสมัยใหม่แก่ทางโรงเรียน เช่น ห้องทดลองและเครื่องมือวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ การเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งยังขาดแคลนอยู่มาก
  3. มีการจัดอบรมผู้บริหารให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการโรงเรียน และนโยบายทางด้านการศึกษาให้ชัดเจน
  4. ปรับปรุงให้เข้ากับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบอิสลาม
  5. ช่วยเหลือ แนะแนวเรื่องอาชีพและธุรกิจให้แก่โรงเรียน ให้มีช่องทางหารายได้ที่ถาวรมาบริหารโรงเรียน โดยให้มีความสอดคล้องและไม่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลามและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  6. จัดให้มีการกู้ยืมเพื่อการศึกษาโดยไม่ขัดกับหลักการอิสลาม
  7. มีการประสานงานและติดตามดูแลโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จากหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง




สรุป


 



พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวมลายูมุสลิม ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศไทย แต่เป็นคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


 


เนื่องจากเป็นมุสลิมจึงมีความจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เพราะมุสลิมมีหลักคิดว่า อิสลามคือธรรมนูญและรูปแบบการดำเนินชีวิตของมุสลิมทุกคน และไม่สามารถแยกเรื่องของอาณาจักรออกจากเรื่องของศาสนจักรได้ กล่าวคือ มุสลิมต้องรับรู้และรับผิดชอบในเรื่องศาสนาและเรื่องทางสังคมโดยแยกออกจากกันไม่ได้ และการอ้างอิงเหตุผลใด ๆ จะใช้อัล-กุรอาน และอัล-หะดิษเป็นบทสรุปของปัญหาและเหตุผล และเป็นกรอบในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย


 


นิธิ เอียวศรีวงศ์กล่าวว่า[15] กระบวนการ "ไถ่ถอนศาสนา" ออกจากสังคมหรือที่เรียกในภาษาฝรั่งว่า secularization เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนสู่ความทันสมัยที่เกิดขึ้นในทุกสังคมทั่วโลก แต่สังคมที่รอดพ้นจากความรุนแรงของกระบวนการ "ไถ่ถอนศาสนา" ที่สุดคือสังคมมุสลิม


 


การที่สังคมมุสลิมผ่านกระบวนการ "ไถ่ถอนศาสนา" ออกจากสังคมน้อย เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของสังคมมุสลิมในโลกปัจจุบัน ทั้งนี้แล้วแต่ใครจะมอง และมองจากแง่ไหน ก่อนอื่นควรเข้าใจด้วยว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาและการแสวงหาความรู้อย่างยิ่ง ถือกันตามคำสอนว่า การศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่มุสลิมควรทำตราบจนสิ้นลมหายใจ แต่ความรู้ไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง การมีความรู้มากเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ในสายตาของอิสลาม แต่ความรู้นั้นต้องเพิ่มสมรรถนะในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า


 


มูฮัมหมัด อิคบัล (นักปราชญ์และกวีปากีสถาน) อธิบายว่า ความรู้หรือ ilm ในภาษาอาหรับ คือความรู้ที่มีฐานอยู่บนประสาทสัมผัส ความรู้ชนิดนี้ให้อำนาจทางกายภาพ ฉะนั้น ความรู้หรืออำนาจทางกายภาพนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ din หรือศาสนาอิสลาม ถ้าความรู้หรืออำนาจไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ din ก็ย่อมเป็นสิ่งชั่วร้าย ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ต้องทำให้ความรู้เป็นอิสลาม (Islamize knowledge)


 


ถ้าความรู้อยู่ภายใต้กำกับของ din ความรู้ก็จะเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ในทางปฏิบัติ รับใช้พระผู้เป็นเจ้าหมายถึงการมีศีลธรรม มีความยุติธรรม และมีความกรุณา นักปราชญ์บางท่านอธิบายว่า คุณลักษณะสามประการนี้ สรุปรวมก็คือการมีความสัมพันธ์เชิงเกื้อกูลกับคนอื่น นับตั้งแต่ญาติพี่น้องไปจนถึงสังคมโดยรวมนั่นเอง


 


การศึกษาของอิสลามจึงไม่ใช่การฝึกวิชาชีพเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการฝึกวิชาชีพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตนเองในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า หรือรับผิดชอบต่อสังคมได้มากขึ้น


 


หนึ่งในลักษณะเด่นของระบบการศึกษาอิสลามก็คือ ควรแสวงหาความรู้และเผยแพร่ความรู้แก่คนอื่น ไม่ใช่เพื่อได้รับเงินตอบแทน แต่เพื่อประโยชน์ของสังคม และเพื่อความพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า (Afzalur Rahman, Islam : Ideology and the Way of Life)


 


ฉะนั้น ประเด็นจึงไม่ใช่ว่า นโยบายของกระทรวงศึกษาจะล้มเหลว ไม่อาจเชื่อมโยงระบบการศึกษาของมุสลิมให้เข้ากับระบบการศึกษาของประเทศได้


 


สถาบันการศึกษาที่เป็นตัวขับเคลื่อนสังคมมุสลิมที่สำคัญ คือ สถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งถือเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความแตกต่างจากสังคมส่วนใหญ่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม รัฐได้ให้ความสำคัญและช่วยเหลือสถาบันทั้งสองตลอดมา โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แต่ในภาพแห่งความเป็นจริง เกิดปัญหามากมายในการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากขาดการติดตามและความต่อเนื่องจากฝ่ายรัฐ และเรื่องงบประมาณที่ไม่พอเพียงในการขับเคลื่อนกลไกทางการศึกษาให้เดินไปข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดความเข้าใจและประสบการณ์ทางการศึกษารูปแบบใหม่ของฝ่ายผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งถือเป็นสามเหตุหลักที่ต้องผลักดันให้เกิดเป็นผลในทางรูปแบบต่อไป

อุปสรรคของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักจะติดขัดอยู่ตรงแนวคิดและทัศนคติที่มีความแตกต่างกัน และความขัดแย้งในบางครั้งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ระหว่างรัฐกับประชาชนในพื้นที่ที่มีมาช้านาน เป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันที่จะลดหรือยุติความรู้สึกความหวาดระแวงและสร้างความมั่นใจทั้งในด้านสังคมและในด้านการศึกษา ซึ่งต้องทำพร้อมกันไป

ความสับสนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสถาบันศึกษาปอเนาะ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งเกิดขึ้นจากความเข้าใจแต่ฝ่ายเดียวและการคิดแทนจากฝ่ายรัฐ และความสับสนจากกระแสข่าวที่มาจากสื่อที่ขาดจรรยาบรรณบางกลุ่ม ที่มักเสนอข่าวโดยขาดความรับผิดชอบและขาดความรอบคอบ โดยไม่เล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และสังคมโดยรวม

ทางออกและแนวทางที่จะพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องเริ่มด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะส่วนสำคัญที่มีอำนาจและหน้าที่โดยตรงกับการศึกษา คือ ฝ่ายรัฐที่ต้องมีความเอาจริงเอาจังและมีความจริงใจในการสนับสนุนช่วยเหลือ ฝ่ายผู้บริหารโรงเรียนที่ต้องมีความเข้าใจการบริหารจัดการการศึกษา และฝ่ายหน่วยงานที่ดูแลการศึกษาทั้งในระดับพื้นที่หรือระดับส่วนกลาง

สามส่วนนี้ต้องทำงานประสานกัน ด้วยการติดตามดูแลปัญหาและความขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับสถาบันศึกษาดังกล่าว ให้มีความพร้อมทั้งด้านกายภาพและหลักสูตรที่เหมาะสมกับพื้นที่ และให้เกิดความสอดคล้องและเกิดการยอมรับด้วยความสมัครใจในการจัดการการศึกษา โดยรัฐต้องมีเป้าหมายในการพัฒนาที่ชัดเจนที่จะเข้าไปช่วยเหลือและส่งเสริม มากกว่าการเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในส่วนของสถาบันศึกษาปอเนาะ รัฐควรให้อิสระในการจัดการและกำหนดหลักสูตร แต่ควรให้การส่งเสริมในด้านกายภาพหรือด้านสาธารณูปโภคให้แก่สถาบันศึกษาปอเนาะ โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลักสูตร ในส่วนของการส่งเสริมวิชาชีพจะต้องไม่กระทบกับตารางการศึกษาที่มีอยู่ และไม่กระทบกับวิถีชีวิตทางการศึกษาภายในสถาบันศึกษาปอเนาะ

ส่วนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม รัฐควรเข้าไปส่งเสริมและช่วยเหลือให้เกิดการพัฒนาวิชาสามัญหรือวิชาชีพให้มีความพร้อมและมีมาตรฐาน และมีคุณภาพทางการศึกษาเหมือนกับโรงเรียนของรัฐหรือโรงเรียนเอกชนทั่วไป

สถาบันการศึกษาทั้งสองนี้มีความสำคัญ และความเหมาะสมกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพัฒนาไปบนความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างทางศาสนา วัฒนธรรม วิถีคิดที่มีความแตกต่าง ให้เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนและประเทศชาติบนพื้นฐานของการยอมรับความแตกต่างทางด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมต่อไป


 






[1] โปรดดู พรปวีณ์ ศรีงาม.2549. ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับปัตตานี:บทเรียนประวัติศาสตร์ความขัดแย้งสู่เส้นทางสมานฉันท์ หน้า 2-21 นำเสนอในการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "ทักษิณศึกษา : กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ " วันที่ 17-29 สิงหาคม 2549 ณ สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ



[2] อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต.2548.ปอเนาะอัตตลักษณ์ชุมชนชายแดนใต้. สืบค้นเมื่อ 23 มีนาคม 2548 จาก http://www.tjanews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=109&Itemid=57&lang=



[3] ผู้เขียนอยู่ในเหตุการณ์และเข้าร่วมประท้วงด้วย



[4] มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2529. สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ฉบับทักษิณคดีศึกษา เล่ม 7



[5] หะสัน หมัดหมาน. 2517. อิทธิพลวัฒนธรรมไทยต่อชาติมลายู ในวารสารรูสมิแล ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - สิงหาคม



[6] อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต.2548.ปอเนาะอัตตลักษณ์ชุมชนชายแดนใต้. สืบค้นเมื่อ 23 มีนาคม 2548



[7] ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร. 2548. ปอเนาะกับความมั่นคงของชาติ.สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2550 จากhttp://www.kurusampan.com/postNews.php?nId=21


 



[8] โปรดดู Corlin, Claes. The Politics of Cosmology : An Introduction to Millenarianism and Ethinicity among Highland Minorities of Northern Thailand .



[9] โปรดดู Waranee Pokapaniahwong, Cultural Politics and The Commodification of Tai Femail Sexuality.



[10] อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต.2548.ปอเนาะอัตตลักษณ์ชุมชนชายแดนใต้. สืบค้นเมื่อ 23 มีนาคม 2548 จาก



[11] โปรดดู กระทรวงศึกษาธิการ พรบ.การศึกษา 2542 หมวดที่1-4 หน้า 5-8



[12] โปรดดู Fathi . 1990. Ulama Besar Patani. หน้า 10 - 100



[13] อาหมัด เบ็ญอาหลี. เมื่อ "ปอเนาะ" ถูกมองในแง่ร้ายผลกระทบและแนวทางพัฒนาเชิงบูรณาการ.
นสพ.มติชนรายวัน วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9477 หน้า 6


[14] บันฑิตย์ สะมะอุนและคณะ.2548.พหุวัฒนธรรมกับการพัฒนาการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีศึกษาปอเนาะ. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2550


[15] นิธิ เอียวศรีวงศ์.2546.จากปอเนาะถึงมหาวิทยาลัยอิสลาม. มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 26 ฉบับที่ 9292 หน้า 6
 



 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net