"300" กับ สงครามแห่งอุดมการณ์

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

โดย ณภัค เสรีรักษ์

 

 

ชาวสปาร์ตันเชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากเฮอร์คิวลีส (Hercules; Herakles) พวกเขาจึงเชื่อว่าตัวเองเป็นพวกที่แข็งแกร่ง และเกิดมาเพื่อเป็นนักรบอย่างแท้จริง เด็กชายชาวสปาร์ตันต้องถูกตรวจสอบตั้งแต่แรกเกิดว่าเหมาะสมที่จะเป็นนักรบหรือไม่ และเมื่อเริ่มเดินได้ก็ต้องเรียนรู้การต่อสู้

 

ชาวสปาร์ตันถูกพร่ำสอนไม่ให้ถอย และไม่ให้ยอมแพ้

 

เมื่อถึงขวบปีที่ 7 เด็กชายจะต้องถูกพรากจากแม่ และเข้าไปสู่ "โลกแห่งความรุนแรง" เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นชาวสปาร์ตา นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก อย่างเต็มตัว

 

หลังจากค่ำคืนอันเหน็บหนาว หิวโหย และกำลังจะตกเป็นเหยื่อของหมาป่า เด็กหนุ่มนามว่า "ลีโอไนดัส" อาจได้กลับบ้านเกิดในฐานะนักรบแห่งสปาร์ตัน หรือไม่ได้กลับบ้านเกิดอีกเลย

 

แล้วเขาก็กลับมาในฐานะกษัตริย์แห่งปวงชนชาวสปาร์ตัน.. ลีโอไนดัส..

 

เรื่องราวเริ่มขึ้นจากการบอกเล่าของ ดิลิออส ผู้ก่อกำเนิดตำนานการวิ่งมาราธอน หนึ่งในกองทหาร 300 นาย ที่รบเคียงข้าง ลีโอไนดัส ในสงครามกับกองทัพพันธมิตรแห่งเอเชีย ภายใต้การนำของ เซอร์กเซส กษัตริย์เปอร์เซีย

 

สงครามก่อตัวขึ้นหลังจาก เซอร์กเซส ซึ่งกำลังแผ่ขยายอิทธิพลออกไปทั่วโลก ส่งทูตมาเจรจากับสปาร์ตา เพื่อขอ "ดิน" และ "น้ำ" แต่ ลีโอไนดัสผู้ยิ่งใหญ่ กลับ "ถีบ" ผู้แทนการเจรจาแห่งเปอร์เซียลงบ่อน้ำ พร้อมเสียงตะโกนที่ว่า "This is SPARTA!!!!"

 

สิ้นเสียงนั้นไม่นาน สงครามก็เริ่มขึ้น..

 

ด้วยภูมิประเทศที่ได้เปรียบของ Hot Gates กองทัพจำนวนหยิบมือของลีโอไนดัส คร่าชีวิตศัตรูของพวกเขาคนแล้วคนเล่า ไม่มีพื้นที่สำหรับลมหายใจของฝ่ายตรงข้าม จะมีให้ก็เพียงแต่ "ความกลัว" และ "เสียงกรีดร้อง" เพราะสำหรับนักรบสปาร์ตันผู้แข็งแกร่งแล้ว พวกเขาไม่รู้จักความปราณี

 

แล้ว เซอร์กเซส กับ ลีโอไนดัส ก็ได้พบกัน.. เป็นครั้งแรก

 

เช่นเดียวกับที่เราก็ได้พบกับสงครามคู่ขนานในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก เมื่อเซอร์กเซส ปรากฏตัวมาบนแท่นอันอลังการซึ่ง "วาง" อยู่บนหลังของทาสจำนวนมหาศาล ตามด้วยภาพที่เหล่าทาสต้องนำ "ร่างกาย" มาเป็นบันไดให้เซอร์กเซสก้าวลงสู่พื้นแผ่นดิน

 

ต่างจากลีโอไนดัส ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นผู้เดินนำกองทหารทั้งหลาย และรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าทหารของเขา

           

เซอร์กเซส ต้องการเพียงความสยบยอม "แค่" การคุกเข่า เพื่อแลกกับการจบลงของสงคราม ความยิ่งใหญ่ ความมั่งคั่ง ฯลฯ และนี่คือความเป็นเหตุเป็นผลที่เซอร์กเซส บอกว่าชาวกรีกอย่าง ลีโอไนดัส ถ้าไม่บ้า ก็ต้องยอมรับ

 

ลีโอไนดัสไม่ได้บ้า เพียงแต่เขาเป็น "สปาร์ตัน!!!!"

 

เราได้ยินอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากภาพยนตร์เกี่ยวกับ "การฆ่า" และ "การสงคราม" ว่าเป็นสิ่งที่ชาวสปาร์ตันถูกหล่อหลอม ฝึกฝน หรืออาจกล่าวได้ว่าเกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ เราจึงได้เห็นภาพของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากนักรบสปาร์ตันซ้ำแล้วซ้ำอีก จนราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา

 

ภาพการฆ่าศัตรูอย่างโหดร้าย และแทงซ้ำศพคนตาย แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่ชาวสปาร์ตันเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา หรือ ฉากที่ลีโอไนดัสถีบทูตของเซอร์กเซสตกลงไปในบ่อน้ำ ซึ่งการทำร้ายคนส่งสารนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สังคมอารยะทำกัน ก็เป็นอีกฉากหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคยชินต่อความรุนแรงของชาวสปาร์ตัน

 

ขณะที่ "ร่างกาย" ของชาวสปาร์ตันนั้น เราได้เห็นอยู่ตลอดเวลาถึง "กล้ามเนื้อ" อันบึกบึน แข็งแรง ขณะที่ทางฝ่ายเอเชียนั้นกลับใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดจนไม่สามารถจินตนาการได้ว่าข้างในนั้น "กล้าม" จะใหญ่เหมือนชาวสปาร์ตันรึเปล่า

 

ยิ่งไปกว่านั้นจาก "ภาพ" เหล่านี้ เมื่อหันกลับไปมองที่ตัวเซอร์กเซส ซึ่งเป็นคนเดียวในฝ่ายเอเชียที่เราเห็น "กล้าม" และเต็มไปด้วยเครื่องประดับอันหรูหรา ยังมีส่วนทำให้ภาพของความเป็นสมมติเทพของเซอร์กเซส ดู "สูงส่ง" และ "ยิ่งใหญ่" ขึ้นไปอีก

 

ในฉากสงครามซึ่งเราเห็นกองทัพพันธมิตรแห่งเอเชียเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาบุกกองทัพสปาร์ตันอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับชนชาตินักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้ ก็เป็นอีกฉากหนึ่งซึ่งพยายามตอกย้ำความเป็นสุดยอดนักรบของเหล่าสปาร์ตัน รวมถึงทำให้ภาพของเอเชียด้อยลงไป เพราะไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่จะต่อสู้กับนักรบสปาร์ตันอย่างสมน้ำสมเนื้อ มีแต่ตาย ตาย และตายเท่านั้น

 

ความแข็งแกร่งของชาวสปาร์ตันถูกตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ดิลิออส ซึ่งสูญเสียตาข้างหนึ่งไปในระหว่างการรบ ได้บอกกับ ลีโอไนดัสว่า "แค่" ตาข้างเดียว ไม่เป็นปัญหาในการรบของเขา

 

นอกเหนือไปจากภาพของความแข็งแกร่ง และความเป็นสุดยอดนักรบของชาวสปาร์ตันที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังให้ภาพของสปาร์ตันในความเป็นเสรีชน ความเสมอภาค และเรื่องสิทธิสตรี อีกด้วย ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจปรากฏออกมาเพียงแค่คำพูดก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เราเห็นได้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภาพ "ความเป็นเอเชีย" ที่ภาพยนตร์ให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้แส้ฟาดกองทหารที่ "ต่ำต้อย" กว่า และที่สำคัญคือภาพของความเป็นสมมติเทพ และเจ้าเหนือชีวิตของเซอร์กเซส

 

แต่แล้วชนชาติอันแข็งแกร่งกลับแพ้ภัยตัวเอง เมื่อ เอฟีอัลเทส "ตัวประหลาด" ชาวสปาร์ตัน ผู้ซึ่งถูก "ทำให้เป็นอื่น" ได้เข้าสวามิภักดิ์แก่ เซอร์กเซส และได้นำพากองทัพของเซอร์กเซส บุก "เข้าข้างหลัง" กองทัพสปาร์ตัน

 

ชีวิตของเหล่าทหารกล้าแห่งสปาร์ตัน และกษัตริย์ลีโอไนดัส จบลงที่ตรงนั้น แต่ "เรื่องราว" ของพวกเขาไม่ได้จบลง เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพูดถึงความกล้าหาญ และความเสียสละ ของทหารสปาร์ตัน 300 นาย และกษัตริย์ของพวกเขา ลีโอไนดัส ในการต่อสู้ที่ไม่มีการถอย ไม่มีการยอมแพ้ ต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย เพื่อปกป้องโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึง โลกแห่งเหตุผล โลกแห่งความยุติธรรม โลกแห่งเสรีภาพ โลกแห่งประชาธิปไตย

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามบอกเราอย่างนั้น และ "ตำนาน" ของชาวกรีกก็บอกเราอย่างนั้น แต่อย่าลืมว่า "ความจริง" ของผู้สร้างภาพยนตร์ หรือ แม้กระทั่ง "ความจริง" ของผู้เขียนประวัติศาสตร์ มันก็เป็น "เรื่องราว" ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง อยู่ที่ว่าเราจะ "ยอมรับ" ว่ามันเป็น "ความจริง" หรือไม่ เพราะ การกดขี่ที่เกิดจากชาวตะวันตกก็มีให้เห็นอยู่มากมาย และใช่ว่าชาวตะวันตกจะยุติธรรม มีเหตุมีผล และมีความเป็นประชาธิปไตยเสมอไป

 

หรือบางที ถ้าลองสลัดภาพที่ภาพยนตร์ให้เกี่ยวกับความแตกต่างทางเชื้อชาติออกไป แล้วแทนที่ชาวสปาร์ตันด้วย "ประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย" พร้อมๆ กับแทนที่เซอร์กเซส ด้วย "คมช." อาจทำให้ได้อรรถรสจากภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้นอีกเล็กน้อย ก็เป็นไปได้…

 

     

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท