ข่าวมอนิเตอร์ วันที่ 1 เมษายน 2550





การเมือง

 

เสือ-สิงห์ขยับลุยเลือกตั้งธันวาคม 'มัชฌิมา' ขู่ช้าเลือดตกยางออก ทรท.โวยเตรียมตัวไม่ทัน

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง - วันที่ 30 มี.ค. ที่สำนักงานกลุ่มมัชฌมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา พร้อมด้วยสมาชิกกลุ่มประมาณ 100 คน ได้ทำพิธีเปิดบ้านมัชฌิมา โดยทำพิธีสงฆ์ และพิธีเปิดแพรคลุมป้าย บ้านมัชฌิมา โดยสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว) ทั้งนี้ มีตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ร่วมพิธีมากมาย อาทิ นายจำลอง ครุฑขุนทด ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินพรรคไทยรักไทย นายนพดล พลเสน ตัวแทนพรรคชาติไทย นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ นายอัศวิน วิบูลศิริ เลขาธิการพรรคมหาชน นายธีระ พนาสุภณ เลขาธิการพรรคพลังแผ่นดินไทย นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช นายพินิจ จารุสมบัติ แกนนำกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์การเมือง นายพิมล ศรีวิกรม์ แกนนำกลุ่มธรรมาธิปไตย ในฐานะตัวแทนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ

 

"มีชัย" ชี้ถอด "ป๋า" ละเมิดพระราชอำนาจ

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกลุ่มม็อบพาดพิง พล.อ.เปรม ว่า ไม่น่าไปดึงท่านมา เพราะองคมนตรีไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง อาจจะมีความเข้าใจว่าท่านเกี่ยวข้องกับด้านโน้นด้านนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริง เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ใครมีอะไรก็ไปเล่าให้ท่านฟัง เพราะฉะนั้นไปเอาท่านมาเกี่ยวกับการเมือง ไม่น่าจะดี นอกจากในฐานะองคมนตรี ท่านก็เคยทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษ เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไร คิดว่าก็น่าจะเหลือคนดีไว้ในบ้านเมืองบ้าง

 

ส่วนการล่ารายชื่อถวายฎีกาปลด พล.อ.เปรม นั้น นายมีชัย กล่าวว่า "ผมคิดว่าถ้าคนเหล่านั้นยังคิดถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การทำอย่างนั้นถือเป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เพราะการตั้งองคมนตรีเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ไม่ใช่เรื่องการเมืองที่ใครจะเข้าไปต่อรองหรือโต้แย้ง หรือเสนอแนะอะไรได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง" เมื่อถามว่า หลายฝ่ายเป็นห่วงจะเกิดความรุนแรงเหมือน 14 ตุลา นายมีชัย กล่าวว่า ก็หวังว่าคงไม่เป็นอย่างนั้น

 

แกนนำพันธมิตรฯ ประเมินรัฐบาลสอบตกแก้ปัญหาชาติ

เว็บไซต์คมชัดลึก -  เวลา 15.00 น. (31 มี.ค.2550) สมัชชาประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเมือง ( สปป.) ได้แถลงข่าวถึงความเห็นต่อรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข ผอ.สปป.กล่าวว่า สปป.เห็นว่า 6 เดือนของรัฐบาล มีความล่าช้า และไม่มีรูปธรรมในการแก้ปัญหาที่ชัดเจน ขณะที่กลุ่มอำนาจเก่าได้ พยายามทุกวิถีทางที่จะทวงคืนอำนาจให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มลิ่วล้อ ที่มีความพยายามชัดเจน ที่จะปกป้องความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว โดยฉากหน้า เป็นการอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยแต่ฉากหลัง คือการปูทาง ให้ระบอบทักษิณกลับมาครองอำนาจ

 

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการประกาศวันเลือกตั้ง ในเดือน ธ.ค. 50 ข้อดี คือการนำระบบการเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว แต่รัฐบาลและคมช.จะต้องไม่ใช้ประเด็นการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างที่จะไม่สะสางความผิดของระบอบทักษิณและเป็นเพียงวิธีการหาทางลงเพื่อประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเก่า ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล จะต้องมีการปรับ ครม.ครั้งใหญ่ทั้งคณะเพื่อให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของรมต.ร่วมรัฐบาลหลายคน ที่มีปัญหาเรื่องการต่อท่อกับกลุ่มอำนาจเก่า

 

ในส่วนของข้อเสนอต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( สสร.) ขอเรียกร้องให้กำหนดวัน ลงประชามติให้ชัดเจน และ สสร.จะต้องเร่งสร้างหลักประกันว่า ร่าง รธน.ฉบับใหม่ จะก้าวหน้ากว่า รธน.ปี 40 โดยมีแนวทางการเพิ่มอำนาจให้ประชาชน เพิ่มความเข้มแข็งให้การเมืองภาคประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามสปป.จะจัดเวทีเสวนาสาธารณะในวันที่ 6 พ.ค.นี้ ที่หอประชุมใหญ่ มธ.ท่าพระจันทร์ โดยจะเชิญเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนและเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศมาร่วมประชุม จากนั้นจะตั้งขบวนเดินรณรงค์ไปหน้ารัฐสภา เพื่อนำร่าง รธน.ฉบับประชาชน ยื่นต่อรัฐสภา

 

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า บรรยากาศบ้านเมือง ช่วงนี้ คล้ายกับช่วง ก.พ.49 ที่ประชาชนอึดอัดกับการทำงานของรัฐบาล สาเหตุที่พลังสนับสนุนจากประชาชนเริ่มถดถอย เพราะรัฐบาลไม่เดินหน้าปราบปรามการทุจริตฉ้อฉล ระบอบทักษิณเริ่มก่อรูปและฟื้นตัวเพื่อสถาปนาอำนาจขึ้นใหม่ ขณะที่คมช.และรัฐบาลเริ่มไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง จนตนอยากให้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลผู้ดับความหวังแห่งชาติ ดังนั้นประธานคมช.จะต้องตัดสินใจบางอย่างเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบตั้งนายกฯถ้าไม่จัดการปัญหาดังกล่าว จะกลายเป็นปัญหาของสังคม

 

สำหรับการชุมนุมของกลุ่มพีทีวี พวกที่มา ก็เป็นลิ่วล้อของอำนาจเก่า ซึ่ง พยายามสร้างกระแสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาจากการประเมินสถานการณ์ พบว่ายังไม่มีอะไรน่าวิตก เป็นเพียงการดำเนินการของผู้สูญเสียอำนาจ เชื่อว่า ประชาชนจะสามารถแยกแยะได้ ว่า การชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ ทำขึ้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือมีผลประโยชน์แอบแฝง

 

ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มอำนาจเก่า ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่คมช.หรือรัฐบาลแต่ต้องการโค่นล้มเสาหลักที่อ่อนไหวที่สุด นั่นคือประธานองคมนตรี ถือเป็นยุทธศาสตร์สุดท้าย โดยการเคลื่อนไหวช่วงเดือนเม.ย.เป็นเพียงแค่การปั่นป่วนให้ คมช.กระวนกระวาย แต่เมื่อถึงเดือนพ.ค. จะมีการเคลื่อนไหว เชิงสัญลักษณ์ เพื่อต่อต้านทหารและหากมีการทอนกำลังประธานองคมนตรีได้ อำนาจเก่าก็จะฟื้นฟูขึ้น มาโดยง่าย

 

นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า อำนาจเก่า เริ่มมั่นใจว่า รัฐบาล , คมช., สนช. ไม่ร่วมมือกันจัดการกับข้อกล่าวหาที่มีต่ออดีตนายกฯ และ ครม.ทั้งในเรื่อง คอรัปชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อน ก่ออาชญากรรมในภาคใต้ ก็อยากเรียกร้องต่อทั้ง 3 ฝ่าย ให้มีการออก กฎหมายเพื่อการปราบปรามทุจริต หากการจัดการคดีทุจริตไม่เสร็จสิ้นในรัฐบาลนี้ หลังการเลือกตั้ง กลุ่มอำนาจเก่าก็จะกลับมาเคลียร์ทุกเรื่อง

 

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ( ครป.) กล่าวว่า สถานการณ์ ขณะนี้ มีการยั่วยุให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่นิ่งไม่ได้ ดังนั้น 5 แกนนำจะมีการนัด พบปะพูดคุยเพื่อประเมินสถานการณ์ โดยหากจะมีการฟื้นพันธมิตรฯ ขึ้นมาอีกครั้ง ต้องอยู่บนเงื่อนไขว่า เพื่อเป็นการเรียกร้องให้จัดการกับระบอบทักษิณ ไม่ใช่เพื่อออกมาชนกับกลุ่มพีทีวี

 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบรัฐบาลชุดปัจจุบัน พบว่ามีพฤติการณ์ประนีประนอม ซูเอี๋ยต่ออำนาจเก่า มีรัฐมนตรีบางคน เป็นกลุ่มทุนเข้ามาฉวยโอกาสและมีผลประโยชน์พึ่งพากับระบอบทักษิณ รัฐบาลจึงต้องเร่งจัดการกับรัฐมนตรีเหล่านี้โดยเร็ว เนื่องจากยุทธศาสตร์ของพีทีวี ต้องการเพิ่มคนให้การชุมนุมทุกครั้งโดยระบบจัดตั้งของกลุ่มอำนาจเก่ามีความเข้มแข็งมาก

 

"เป้าหมายของกลุ่มนี้ ไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้ง แต่เป็นการล้มคมช. การปราศรัยของพีทีวี มีการพูด พาดพิงถึงบุคคลระดับสูง และมีการหยิบยกคำพูดของผม ที่ให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับหนึ่ง เรื่องพล.อ. เปรม ผมยอมรับว่า ผมพูดจริง แต่มีเจตนาสุจริต ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 ก. ย. แต่พีทีวี กลับนำบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ไปทำเป็นใบปลิว ออกแจกจ่ายบิดเบือนเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อโค่นล้ม พล.อ.เปรม ซึ่งไม่ใช่เจตนาของผม" นายสุริยะใสกล่าว

 

'นรนิติ' ยก ม.67 ป้องปฏิวัติ

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง - ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า วันที่ 30 มี.ค. นายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ได้เรียกนายเสรี สุวรรณภานนท์ รองประธาน สสร.คนที่ 1 และนายเดโช สวนานนท์ รองประธาน สสร.คนที่ 2 มาหารือ เพื่อกำหนดกรอบการทำงานของ สสร. โดยนายนรนิติ ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมว่า จะหารือกรอบการทำงานของ สสร. เนื่องจากสัปดาห์หน้า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเดินทางไปสัมมนา เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่บางแสน จังหวัดชลบุรี โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญตนและรองประธาน สสร.ไปร่วมสัมมนาด้วย ซึ่งคงสลับกันเดินทางไปร่วม จึงต้องกำหนดวันประชุม สสร.เพื่อให้มีความเหมาะสม

 

แอ้ดเคาะอีก-ก.ย.นี้ เลิกกฎเหล็กคุมพรรคการเมือง คปค.ฉบับ 15 และ 27 "ม็อบพีทีวี" บี้สำเร็จตั้งเวที-หน้ากทม.

ข่าวสด - "บิ๊กแอ้ด"ลั่น เดือนก.ย.ยกเลิกประกาศคปค.ฉบับที่ 15 และฉบับที่ 27 เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ ยอมรับเห็นต่างกับคมช.เรื่องประกาศใช้กม.ติดหนวด แต่ยืนยันไม่ได้ขัดแย้งกัน ส่วน"สนธิ"ก็โต้ ยันไม่ได้หมางใจนายกฯเรื่องไม่ออกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะพูดคุยกันแล้วก่อนหน้านี้ ชี้เลิกประกาศคปค.คุมพรรคการเมืองต้องคุยกันหลายฝ่าย ด้านตัวแทนพรรคการเมืองประสานเสียง ระบุให้เวลาหาเสียงเตรียมการก่อนเลือกตั้งแค่ 2 เดือนน้อยเกินไป แนะรัฐบาล-คมช.ไปคำนวณดูใหม่ "สุรพล นิติไกรพจน์"ปูด อ้างคุยประธานส.ส.ร.แล้ว ถ้ารธน.ผ่านประชามติอาจร่นมาเลือกตั้งวันที่ 16 พ.ย.ก็ได้ ม็อบพีทีวีกดดันสำเร็จ กทม.ยอมให้ลานคนเมืองตั้งเวทีไฮด์ปาร์ก ท่ามกลางผู้มาร่วมชุมนุมกว่า 1 พันคน

 

ขมขื่นรธน.ปะผุเน้น "จริยธรรม" จับโจรการเมือง!

ไทยโพสต์ - กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปะผุขมขื่น  นักการเมืองเอาแต่กินจนต้องมีบทบัญญัติด้านจริยธรรม  จี้รัฐบาลลงสัตยาบันในสนธิสัญญาต่อต้านการทุจริต  "มีชัย"  มึนมาตรา  67

ชี้เขียนไม่ดีมีสิทธิ์ออกทะเล เตือนอย่าดึงประธานองคมนตรีมามีส่วนแก้วิกฤติการเมือง  เพราะเท่ากับโยนไปหาสถาบันพระมหากษัตริย์

 

เมื่อวันที่ 31  มีนาคม  2550  มีการจัดเสวนาเรื่อง  จริยธรรมนักการเมือง  ที่คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พล.ต.อ.วสิษฐ  เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ  กล่าวว่า  จริยธรรมที่นักการเมืองต้องมีนอกจากการถือศีลห้าและความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว  ยังต้องมีสิ่งสำคัญอีก  2  ประการคือ  1.ปิยวาจา  คือต้องไม่มีเฉพาะเวลาที่ใช้หาเสียง  และต้องรู้จักพูดอย่างไรไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่นด้วย  2.ทำตนให้เสมอ  คือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม  ต้องรู้จักใจเขาใจเรา  ทำตัวให้เสมอผู้อื่น  อย่าลืมว่าตัวเองมาจากคะแนนเสียงชาวบ้าน  ซึ่งสมัยนี้มีนักการเมืองเป็นคางคกขึ้นวอหลายคน

 

ด้านนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความและกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ  กล่าวว่า  รู้สึกอายมากที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีหมวดจริยธรรมนักการเมือง   ต้องใส่เรื่องนี้ไปด้วยความขมขื่น  เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง  เอาแต่กินกันตลอด  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

 

"ที่สำคัญรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นการปะผุ มีเวลาน้อยนิดแต่ต้องทำให้เสร็จ จึงหาวิธีแก้ไขจริยธรรมนักการเมืองไม่ได้  นอกจากจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องใช้ยาแรงเข้าไปจัดการ ทั้งนี้  บ้านเมืองเรามีระบบกฎหมายที่ตั้ง แต่ระบบคุณธรรมไม่ทำให้คนติดคุก รัฐธรรมนูญเดิมก็มีหมวดคุณธรรมจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  แต่ทั้งฝ่ายรัฐบาลหรือระดับภูมิภาคก็ไม่มีใครทำ เราจึงต้องใช้ยาแรง"

 

เขาบอกว่าประเทศไทยทุกวันนี้กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยพลังการคอรัปชั่น อยู่ในระดับเดียวกับเอธิโอเปีย จากการสอบถามเจ้าหน้าที่พบว่ามีการกินกันทุกสัญญา  สัญญาละ  10  เปอร์เซ็นต์  พ่อกับลูกซื้อขายหุ้นไม่เสียภาษี ตนอ่านข่าวพบว่าผู้นำบางประเทศมอบหุ้นให้ลูกยังต้องเสียภาษีเป็นหมื่นล้าน  แต่เมืองไทยเลี่ยงกันหมด แถมยังแต่งตั้งโยกย้ายญาติพี่น้องตัวเองให้ได้ดิบได้ดี จริงๆ  แล้วการแก้ปัญหาจริยธรรมนักการเมืองต้องแก้ตั้งแต่พื้นฐาน ต้องพาไปวัดตั้งแต่เด็ก

 

"เมื่อผมได้มาทำรัฐธรรมนูญในเวลาจำกัด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำเป็นต้องบังคับกัน  ต้องให้ยาแรงไว้ในรัฐธรรมนูญ ต่อไปจะมีคณะกรรมการจริยธรรมฟ้องเอาผิดกับนักการเมืองที่ไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง  ถือเป็นความชั่วร้าย  ถ้าเป็นสมัยโบราณการโกงบ้านโกงเมืองต้องถูกประหาร 7 ชั่วโคตร เพราะถือว่าเชื้อไม่ดี"

 

ายเดชอุดมยังบอกว่า ที่ทำให้การขจัดคอรัปชั่นในเมืองไทยไม่สำเร็จ  เพราะเราไม่ยอมลงสัตยาบันในสนธิสัญญาต่อต้านการทุจริต เป็นแต่เพียงภาคีเท่านั้น  ในขณะที่ประเทศต่างๆ  อย่างจีน  สหรัฐ  อังกฤษ ลงสัตยาบันแล้ว และเวียดนามกำลังจะลง แต่ไทยไม่ทำ การทำสัตยาบันจะทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นได้ทั่วโลก ใครเอาเงินไปซุกบนเกาะไหน เราสามารถหาข้อมูลได้หมด  แต่เราก็ไม่ทำ รัฐบาลนี้ก็เคยพูด แต่ไม่เห็นความคืบหน้า

 

ขณะที่นายประสงค์  เลิศรัตนวิสุทธิ์  รองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน  กล่าวว่า  ปัญหาในบ้านเมืองเราขณะนี้จะดูแค่ด้านคุณธรรม จริยธรรมของนักการเมืองลอยๆ ไม่ได้  เพราะมีความซับซ้อนมาก ถ้าดูแค่ปัญหานักการเมืองโดยไม่ดูสังคม ประมวลจริยธรรมจะออกมาในรัฐธรรมนูญก็ไม่น่าจะเกิดผลดี  เช่นกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซุกหุ้นครั้งแรก ขณะนั้นกระแสสังคมต้องการให้  พ.ต.ท.ทักษิณชนะคดี ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบตามมา สังคมไทยอยู่ในภาวะที่สร้างกฎซ้อนๆ  กัน  ระบบตรวจสอบที่จะใส่ไปในรัฐธรรมนูญใหม่จะซ้อนกฎไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเราอาจจะตั้งคำถามว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะกลายเป็นต้นทุนที่ต้องเสียไปกับการตรวจสอบมากกว่าการคอรัปชั่นเสียอีก

 

นายประสงค์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 40  สร้างกลไกการตรวจสอบครบถ้วนแล้ว  แต่หลายฝ่ายยังพยายามเลี่ยง ขณะนี้มีความคิดจะตั้งอัยการอิสระเพื่อดูแลปัญหาพิเศษที่กลไกในระบบไม่สามารถจัดการได้  แต่องค์กรอัยการเดิมเรายังไม่ปฏิรูปให้เป็นอิสระ  โปร่งใส  ชัดเจน  เช่นยังมีอัยการบางคนเป็นบอร์ดในรัฐวิสาหกิจ

 

 





เศรษฐกิจ

 

ศาลไม่รับอุทธรณ์ชะลอเอฟทีเอญี่ปุ่นเอ็นจีโอไม่ถอดใจถกหาทางต่อสู้ใหม่

แนวหน้า - ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องกลุ่มเอฟทีเอวอชท์และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้ระงับการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) โดยเมื่อเวลา 11.30 น.เมื่อวันที่ 30 มีนาคม น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความเดินทางมายื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด กรณี ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีที่กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA WATCH)และ 4 องค์กรประชาชนยื่นฟ้องกระทรวงการต่างประเทศ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว.ต่างประเทศ นายพิศาล มาณวพัฒน์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คณะรัฐมนตรี และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ความผิดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานทางปกครอง กระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายกรณีครม.มีมติเมื่อวันที่ 27 มีนาคมเห็นชอบให้นายกฯ และผู้แทนการเจรจาเข้าร่วมลงนามJTEPAระหว่างวันที่ 2 -4 เมษายนนี้ ด้วยเหตุผลว่ากระบวนการลงนาม JTEPA เป็นการดำเนินการตามนโยบายของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่การทำตามคำสั่งการปกครอง

 

น.ส.สารี เปิดเผยภายหลังรับฟังคำวินิจฉัยว่า ศาลปกครองสูงสุดไม่รับคำฟ้องคดีที่กลุ่มเอฟทีเอวอชท์และคณะขอให้มีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการลงนาม JTEPA ด้วยเหตุผลว่า มิใช่การใช้อำนาจทางการปกครอง ซึ่งกลุ่มฯจะหารือเพื่อเคลื่อนไหวด้านอื่นต่อไป

 

วันเดียวกัน มีความเห็นจากหลายฝ่ายกรณีการทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น โดยประธาน3 สถาบันภาคเอกชน ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)และสมาคมธนาคารไทย สนับสนุนรัฐบาลลงนาม FTA ไทย-ญี่ปุ่น เพราะทำให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าชะลอการลงนามทำให้เสียส่วนแบ่งการตลาดให้ประเทศคู่แข่งในอาเซียนอย่างเวียดนามกับอินโดนีเซีย และทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอย ส่วนความกังวลเรื่องขยะพิษนั้น ไม่น่าเป็นปัญหาเพราะไทยมีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว ต้องบังคับใช้ให้เข้มแข็ง

 

ด้านบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดเห็นว่า รัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบและควรตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยรองรับผลกระทบจากการเปิดเอฟทีเอ รวมถึงทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อลดแรงต้าน และหลังลงนามควรแก้ไขปรับปรุงประสิทธิภาพกฎหมายรองรับการเปิดเสรี โดยเฉพาะการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

 

ขณะที่นายธีระ สูตะบุตร รมว.เกษตรฯยืนยันรัฐบาลจะเดินหน้าลงนามเอฟทีเอ เชื่อไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าผลเสีย เป็นการขยายตลาดสินค้าผลไม้สดและอาหารทะเลไปญี่ปุ่นมากขึ้น

 

เช่นเดียวกับนายกฤช กาจญกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี 16 องค์กรญี่ปุ่นคัดค้านการลงนามเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นว่า เป็นเรื่องปกติจะให้ทุกภาคส่วนเห็นด้วย 100% คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งสำคัญต้องสร้างความตระหนักในการใช้กฎหมาย เวลานี้ได้เตรียมการลงนามไปตามกำหนดเดิมคือวันที่ 3 มีนาคม และยืนยันว่า เรื่องนี้ทำอย่างเปิดเผยมาตลอด 5 ปีที่เจรจา และระวังดูแลผลประโยชน์ของชาติมากที่สุด ส่วนที่ผู้คัดค้านระบุเป็นรัฐบาลชั่วคราวไม่ควรดำเนินการเรื่องนี้นั้น จะให้ทับมือตัวเองหรืออย่างไร คนอื่นเขาลงนามไปแล้ว เราจะเสียประโยชน์

 

รายงานข่าวแจ้งว่า เท่าที่หลายฝ่ายประเมินการลงนามครั้งนี้น่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นนำขยะพิษเข้าประเทศไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันที่ยังไม่มีการเซ็นสัญญา ยังมีการลักลอบนำเข้าขยะพิษเข้าประเทศไทยกว่าปีละ 3 แสนตัน และถ้ารัฐบาลไทยลงนามโดยไม่ได้ทำประชาพิจารณ์ อาจทำให้มีปัญหาคัดค้านตามาในภายหลัง

 

เอ็นจีโอบอยคอตไม่ร่วมฟังแผนพีดีพี รัฐไม่จริงใจให้เวลาน้อย-ส่งทหารคุม

มติชน - น.ส.สายรุ้ง ทองปลอน เลขาธิการสหพันธ์องค์กรเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค และตัวแทนองค์กรเอกชน (เอ็นจีโอ) จะไม่เข้าร่วมการสัมมนารับฟังความเห็นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2550-2564 (พีดีพี 2007) ที่กระทรวงพลังงานจะจัดขึ้นในวันที่ 3 เมษายนนี้ เพราะเห็นว่ารูปแบบการจัดไม่ได้เป็นการเปิดกว้างรับฟังความเห็นเหมือนเวทีอื่นๆ เนื่องจากแม้จะส่งหนังสือเชิญให้เอ็นจีโอ และประชาชนเข้าร่วม แต่ให้เวลาในการแสดงความเห็นจริงๆ น้อยมากขัดกับหลักการเปิดประชาพิจารณ์ที่มีอยู่ทั่วไป

 

เอกชนไม่สนค้านJTEPA จับตาไทยขาดดุลยุ่นเพิ่ม

ไทยโพสต์ - เอกชนไทยเมินเสียงค้านคว่ำ JTEPA หอการค้าไทยเชียร์สุดลิ่ม ย้ำไทยได้ประโยชน์อื้อ ส่งออกเพิ่มปีละ 3.8 หมื่นล้าน ชี้รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจลงนามเต็มที่ แนะจับตาสินค้านำเข้า คาดไทยขาดดุลยุ่นเพิ่มขึ้นหลังการเปิดเสรี

 

พันธมิตรประชาชนฯชี้"สุรยุทธ์"ลงนามFTAไทย-ญี่ปุ่น ตั้งใจวางยาตัวเอง

เว็บไซต์แนวหน้า - นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ผอ.สมัชชาประชาชนเพื่อปฏิรูปการเมือง( สปป.) แถลงถึงกรณีรัฐบาลจะลงนามข้อตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ)กับรัฐบาลญี่ปุ่นในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ วันที่ 2 -5 เม.ย. ว่าอยากเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะในประเด็นที่ทำให้ประชาชนคนไทยเสียประโยชน์ และควรมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้

ด้านนายสุริยัน ทองหนูเอียด แกนนำพันธมิตรประชาชนภาคเหนือ กล่าวว่า การลงนามดังกล่าว จะทำให้ผู้ซึ่งเคยเป็นมิตรกับรัฐบาลเปลี่ยนมาเป็นศัตรู เพราะจะมีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก แต่ผู้ได้รับผลประโยชน์เป็นกลุ่มทุน ขณะที่ รัฐบาลควรจะเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนและที่ดินทำกิน เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนยังไม่รู้สึกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้อะไรกับคนชนบท แตกต่างจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะแม้ว่าจะถูกมองว่าให้แบบฉาบฉวย ก็ยังให้บ้าง ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลชุดนี้ ถูกวางยาหรือตั้งใจวางยาตัวเองกันแน่

 

 





ความมั่นคง

 

ผู้นำมุสลิมจี้ผบ.ทบ.เคลียร์ชี้โยนบาปวาดะห์ไฟใต้ลุก

ไทยโพสต์  - "มุข สุไลมาน" แกนนำกลุ่มวาดะห์สวนหมัด "สนธิ" ไม่รู้ปัญหาใต้ที่แท้จริง ชี้ข้อกล่าวหาเป็นของเดิมที่เอามาปัดฝุ่นใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนผู้นำ  เตือนห้ามสตรีไม่ให้ใช้ผ้าคลุมผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ จะบานปลายถึงบ้านเมืองลุกเป็นไฟ   ผู้นำองค์กรมุสลิมจี้สนธิเคลียร์โยนบาปวาดะห์ให้ชัด   ย้ำยิ่งสร้างอุณหภูมิความรู้สึกชาวบ้านเดือด ตอกอารมณ์รู้สึกไม่เป็นธรรมสูงขึ้น  ระวังจะหันไปพึ่งการต่อสู้นอกระบบแทน

 

นายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไป จ.สงขลา วันที่ 31 มีนาคม  2550 ถึงกรณีแกนนำกลุ่มวาดะห์ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมระบุว่า รัฐบาลแก้ปัญหาไม่สำเร็จก็หาแพะมารับผิดชอบแทน  ว่าก็แล้วแต่ใครจะคิด เพราะทุกอย่างอยู่ที่หลักฐานและการข่าว ทุกคนมีสิทธ์ที่จะพูดชี้แจงตัวเอง

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการระบุว่ารัฐบาลเชื่อคำให้การของกลุ่มอาร์เคเคมากเกินไป  นายอารีย์กล่าวว่า  ไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องของฝ่ายทหารและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 31 มีนาคม  นายมุข  สุไลมาน  อดีต ส.ส.ปัตตานี พรรคไทยรักไทย  แกนนำคนหนึ่งของกลุ่มวาดะห์  เป็นประธานมอบวุฒิบัตรให้กับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นอนุบาล 3 และชั้นประถมศึกษาที่  6  ของโรงเรียนอามานะห์ศักดิ์  อ.เมืองฯ จ.ปัตตานี ที่หอประชุม อบจ.ปัตตานี  จากนั้นได้เปิดเผยถึงกรณีที่กลุ่มวาดะห์ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่ารู้สึกไม่สบายใจ

 

"เป็นการพูดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย แม้แต่ผู้ที่จะมาแก้ปัญหา ถ้าผู้มีอำนาจสรุปอย่างนี้  เป็นการทำงานที่หลงทางในการที่จะแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้   แสดงว่าไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไร และเป็นการมองว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเป็นคนที่มีปัญหา เป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงที่สุด ทำให้กลุ่มวาดะห์ผิดหวัง  ทำให้สังคมเข้าใจผิดและเป็นจำเลยต่อสังคม เพราะฉะนั้นจึงต้องการบอกผู้ที่มีอำนาจให้เข้าใจปัญหาชายแดนใต้เสียใหม่  ถ้าคิดสงสัยใครมาพบปะมาถาม เพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อนำไปแก้ไข และจะได้ทำงานไม่ผิดพลาด"

 

กรณีที่มองว่ากลุ่มวาดะห์มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้น ไม่ไช่เป็นการกล่าวหาครั้งแรก   แต่มีมานานแล้วทุกรัฐบาล   ถึงแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยนคนที่เป็นผู้นำ  แต่ทุกรัฐบาลก็จะต้องหยิบข้อมูลเดิมๆ มาปัดฝุ่นและมาพูดกล่าวหาทุกครั้ง  เป็นการคิดแบบเดิมๆ ก็หลงทางแบบเดิมๆ ปัญหาชายแดนใต้ก็แก้ไม่ถูกต้องสักที

 

นายมุขกล่าวอีกว่า เป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือ กรณีที่จะห้ามไม่ให้สตรีที่คลุมผมนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ ถ้ามีการห้ามเมื่อไหร่เชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองในภูมิภาคแห่งนี้มีความรุนแรงมากขึ้น และบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ เพราะหมิ่นเหม่ต่อการปฏิบัติตามหลักการศาสนาอิสลาม เชื่อว่าพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จะลุกขึ้นมาแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ประชาชนในพื้นที่ที่อยู่เฉยๆ และวางตัวเป็นกลางกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ อาจจะต้องลุกขึ้นมาและอาจจะเป็นแนวร่วมในการแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีอำนาจจะต้องนำไปคิดไตร่ตรองเพราะเป็นเรื่องที่อันตราย แทนที่จะแก้ปัญหากลายเป็นสร้างปัญหาเพิ่มมากขึ้น ตนพูดเพราะมีความห่วงใย  หวังให้แก้ปัญหาให้บ้านเมืองดีขึ้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่เป็นความคิดของท่าน แต่ขอฟันธงว่า ปัจจุบันแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้ยังหลงทาง และอาจนำมาสู่ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่อยู่ที่ท่านจะตัดสินใจอย่างไร

 

นายมันโซ สาและ ผู้ประสานงานองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า วิธีคิดของรัฐต่อกลุ่มการเมืองชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเป็นไปในแง่ลบมาโดยตลอด ที่สำคัญการรวมตัวเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนบางกลุ่ม โดยพยายามเรียกร้องในเชิงอัตลักษณ์  มักผลักให้ภาพคนเหล่านี้ตกอยู่ในภาวะที่น่าเห็นใจ เช่นเดียวกับกลุ่มวาดะห์ซึ่งถูกกระแสสังคมมองว่า การเมืองของคนเหล่านี้ยังซ่อนเร้นหรือแฝงด้วยแนวคิดแบ่งแยกดินแดนอยู่

 

บรรยากาศผ่านข้อมูลของประธาน คมช.ครั้งนี้  ทำให้คนในพื้นที่คนใดต้องการเดินเข้าสู่สนามการเมือง คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาพัวพันกับการกล่าวอ้างในเรื่องทำนองนี้ เช่นเดียวกับที่สมาชิกวาดะห์กำลังเผชิญในขณะนี้ ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ที่แน่ชัด" นายมันโซกล่าว

 

ผู้ประสานงานองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้  กล่าวต่อไปว่า การเลือกเวลาและจังหวะของประธาน  คมช.ครั้งนี้ ทำให้น้ำหนักของข่าวมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะทางการเมือง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้กลุ่มวาดะห์จะออกจากพรรคไทยรักไทยไปจับมือกับกลุ่มมัชฌิมา ก็ยังเลี่ยงคำครหาของสังคมไม่ได้ว่ายังไม่พ้นร่มเงาของอดีตกลุ่มการเมืองเก่า แต่การกล่าวพาดพิงว่ามีบางคนอยู่เบื้องหลังปัญหาความไม่สงบก็เป็นเรื่องที่ต้องมีข้อมูลให้ชัด เพราะจะยิ่งสร้างบรรยากาศความสับสนในพื้นที่มากขึ้นได้

 

"ส่วนวาดะห์ก็ต้องแสดงจุดยืนให้ชัด เพราะวันนี้ภาพการปฏิเสธเครือข่ายเก่าก็ยังไม่ชัดอยู่ดี เพราะหลายคนยังเกาะอยู่กับกลุ่มมัชฌิมา  ฉะนั้นในสายตาสังคมส่วนหนึ่งก็เชื่อว่า วาดะห์ยังมีเยื่อใยต่อกลุ่มอำนาจเก่าทางการเมืองอยู่ดี" ผู้ประสานงานองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าว

 

นายมันโซกล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อจากนี้คือ  เมื่อสังคมมุสลิมส่งตัวแทนเข้าไปขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมืองในรัฐสภา ซึ่งเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องแล้ว ก็ยังไม่วายที่จะโดนพาดพิงและลากไปเชื่อมโยงกับปัญหาความไม่สงบ  ฉะนั้น การพิสูจน์ด้วยข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนจำเป็นต้องมีจากผู้ให้ข่าว เพราะหากไม่เร่งดำเนินการให้ชัด แรงกดดันที่ผลักให้เขาตกเป็นจำเลยสังคม จะทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เกิดความคิดและรู้สึกที่ไม่ยุติธรรมได้ว่า แม้แต่นักการเมืองยังต้องเจอกับคำครหาเช่นนี้ แล้วประชาชนจะมีชะตากรรมอย่างไร จึงควรระมัดระวังอย่างยิ่ง หากชาวบ้านจะเกิดอาการรู้สึกว่า รัฐผลักให้เขาไปต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในรูปแบบอื่นหรือเล่นนอกระบบ

 

 





ต่างประเทศ

 

โฆษณาจังก์ฟูดยังเกลื่อนทีวีมะกัน เอ็นจีโอกระตุ้นเชนร้านฟาสต์ฟูด ดึงรัฐบาลกลางร่วมคุมสื่อ

เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ - ผลวิจัยชี้ร้านฟาสท์ฟู้ดชื่อดังอย่างแมคโดนัลด์ ยังไม่ทำตามคำมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกค้า เด็กอเมริกันยังต้องชมโฆษณาที่มีแต่การนำเสนออาหารขยะต่อไป เอ็นจีโอกระตุกรัฐบาลกลางยื่นมือเข้าควบคุม

 

กระแสการรณรงค์ยกระดับสุขภาพเด็กในประเทศสหรัฐอเมริกา มีมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมูลนิธิตระกูล ไกเซอร์ เปิดเผยผลวิจัยการรับชมสื่อโฆษณาที่เผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ 13 เครือข่ายในสหรัฐ ช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ปี 2548 พบว่ามีโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มซึ่งมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าวัยเด็กถึง 2,613 ชุด

 

เด็กอายุระหว่าง 8-12 ปีรับสื่อโฆษณาอาหารมากถึง 21 ครั้งต่อวัน หรือ 7,600 ครั้งต่อปี ส่วนเด็กวัยระหว่าง 2-7 ปี รับสื่อประเภทดังกล่าวประมาณ 12 ครั้งต่อวัน หรือ 4,400 ครั้งต่อปี ขณะที่วัยรุ่นมีการรับสื่อโฆษณาอาหารประมาณ 17 ครั้งต่อวัน หรือ 6,000 ครั้งต่อปี

 

โฆษณาส่วนใหญ่ถึง 34 % เป็นสินค้าประเภทขนมหวานและของขบเคี้ยว 29 % เป็นอาหารประเภทซีเรียล 10% เป็นอาหารฟาสท์ฟู้ด ขณะที่อาหารประเภทผลิตภัณฑ์นม และอาหารปรุงสำเร็จมีสัดส่วนเท่ากันคือ 4 % ที่เหลือเป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์ ขนมปัง และ ร้านอาหารทั่วไป

 

นางวิคกี้ ไรด์เอ้าท์ ผู้บริหารมูลนิธิตระกูลไกเซอร์ กล่าวว่า " โฆษณาอาหารที่เด็กพบเห็นในปัจจุบัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่นักโภชนาการต่างย้ำว่าควรลดปริมาณการบริโภคลง เพื่อป้องกันปัญหาโรคอ้วนที่รุมเร้าสังคมในเวลานี้"

 

ในช่วงปลายปี 2548 เชนร้านอาหาร และ ผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ในสหรัฐ เช่น แมคโดนัลด์ โคคา โคลา (โค้ก) และ เป็บซี่ โค ประกาศว่าจะให้ความร่วมมือในการรณรงค์เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีของลูกค้า ด้วยการเพิ่มปริมาณโฆษณาสนับสนุนการปรับปรุงสุขภาพ และวิถีการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น เป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณโฆษณาทั้งหมดของบริษัท

 

การประกาศของเชนร้านอาหาร และ ผู้ผลิตเครื่องดื่มเป็นการอาสาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า ก่อนที่สถาบันเพื่อการแพทย์ ออกมาโจมตีว่าโฆษณาเครื่องดื่ม และ อาหาร ทางโทรทัศน์มีความไม่สมดุลต่อการควบคุมอาหารของเด็ก ขณะเดียวกันยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับเด็กต่อการเกิดภาวะทุโภชนาการอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มยังไม่ดำเนินการตามคำสัญญาที่ให้ไว้ คณะนักวิจัยหวังว่าการเปิดเผยข้อมูลการรับสื่อของเด็กดังกล่าวจะช่วยสร้างมาตรฐานการดำเนินการของผู้ผลิตเหล่านั้น

ด้านนายมาร์โก้ วูทาน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายโภชนาการแห่งศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ ให้ความเห็นว่ารัฐบาลกลาง ควรเพิ่มบทบาทการควบคุมเนื้อหาของโฆษณาที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าวัยเด็กให้มากขึ้น "กลุ่มธุรกิจไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการควบคุมด้วยกลไกภายในกลุ่มเองอย่างที่ประกาศจุดยืนออกมา" นายมาร์โก้ กล่าว

 

อย่างไรก็ตามก็มีเสียงคัดค้านแนวความคิดของผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ จากทั้งกลุ่มธุรกิจเอง และ นักการเมือง นายซี. ลี พีลเลอร์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) สภาควบคุมการโฆษณาแห่งชาติ กล่าวว่า "ให้โอกาสพวกเราเพื่อพิจารณาว่าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง"

 

ขณะที่นายแซม บราวน์แบ็ค วุฒิสมาชิกจากมลรัฐแคนซัส สังกัดพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ตนเองต้องการให้ผู้ผลิตโฆษณาควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง การที่รัฐบาลกลางยื่นมือเข้าไปควบคุมนั้น รังแต่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างล่าช้า เพราะการผ่านร่างกฎหมายจะทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มผลประโยชน์จำนวนมาก และ อาจทำให้เกิดคดีฟ้องร้องในศาลอีกด้วย

 

แคลงใจความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี

ไทยรัฐ - สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โปรเฟสเซอร์จอห์น เบอรินเจอร์ ประธานคณะทำงาน กลุ่มนาโนเทคโนโลยี ในคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่ง รัฐบาล ประเทศอังกฤษ ได้เรียกร้องให้มีการทำงานวิจัยผลกระทบของนาโนเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย

 

นาโนเทคโนโลยี เป็นเทคโนโลยีขนาดเล็กจิ๋ว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิตสินค้าหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องสำอาง ไปจนถึงสารเพิ่มสมรรถนะในน้ำมัน

 

แต่เทคโนโลยีขนาดเล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์หลายพันเท่านี้ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์เมื่อมีการใช้งาน รวมไปถึงทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

 

โปรเฟสเซอร์จอห์นกล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษได้พยายามที่จะผลักดันให้คณะกรรมาธิการ แห่งสหภาพยุโรปทำรายงานผลกระทบของนาโนเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปี 2547 แต่จนถึงบัดนี้ รายงานยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เพราะขาดงบประมาณในการทำการวิจัย "โดยรวมแล้วถือว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ ความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก"

 

คณะกรรมาธิการระบุว่า รัฐบาลให้งบสนับสนุนการวิจัยด้านความเสี่ยง ของ นาโนเทคโนโลยีเฉลี่ยปีละ 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 45 ล้านบาท) ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่จริงแล้วงบประมาณที่ต้องการขั้นต่ำที่สุดจะอยู่ที่ 12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 420 ล้านบาท)

 

ด้านนายมัลคอล์ม วิกส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรลงทุนลงแรงกับการศึกษาวิจัยผลกระทบของนาโนเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการให้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนาจำนวนน้อยเกินไป

 

ขณะที่นายแอนดรูว์ เมย์นาร์ด แห่งศูนย์วิจัยวู้ดโรว์ วิลสัน อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยระบุว่า ไม่มีรัฐบาลประเทศใดที่จะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ อย่างกรณีของสหรัฐฯใช้เงินสนับ สนุนการวิจัยถึงผลกระทบของ นาโนเทคโนโลยีเพียง 11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (385 ล้านบาท) แต่กลับใช้ เงินวิจัยเพื่อการพัฒนาผลิต ภัณฑ์นาโนเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเงินมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (35,000 ล้านบาท)

 

ปัจจุบันแม้ว่า ยังไม่มีบทพิสูจน์ ด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน แต่ ความนิยมสินค้านาโนเทคโนโลยีกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 360 ชนิดที่ใช้นาโนเทคโนโลยี ตั้งแต่แล็ปท็อป ไปจนถึงชาสำหรับชงดื่ม จากปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนสินค้าแค่ 200 ชนิด

 

จึงประเมินกันว่า มูลค่าตลาดสินค้านาโนเทคโนโลยีจะขยับขึ้นแตะ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (35 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2558 โดยเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา ตลาดสินค้านาโนเทคโนโลยีทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.1 ล้านล้านบาท) เพราะดูเหมือนว่าเกือบทุกบริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ต่างกำลังสนใจศึกษาเทคโนโลยีดังกล่าว ดูได้จากสมาชิกสมาคมอุตสาหกรรม นาโนเทคโนโลยีในอังกฤษ ซึ่งมีตั้งแต่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ BASF บริษัทสี ICI จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ลอรีอัล พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล โรลส์รอยซ์ สมิธแอนด์เนฟฟีล และยูนิลีเวอร์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท