ยืนตามข้อเสนอเปิดช่อง "ตุลาการพระธรรมนูญจากศาลทหารสูงสุด" เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้
ในช่วงบ่ายเป็นการพิจารณาในส่วนหมวดที่ 10 เรื่องศาล โดยในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 218 ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญจะประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอีก 8 คน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ระบุว่าจะมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 15 คน และปรับองค์ประกอบของตุลาการให้มาจาก (1) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จาก 5 เหลือ 3 คน (2)ตุลาการจากศาลปกครองสูงสุดเท่าเดิม 2 คน (3)ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์จาก 5 เหลือ 2 คน(4) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริงจาก 3 เหลือ 2 คน
สำหรับในมาตรา 219 ที่กำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการเสนอให้ย้าย "ตุลาการพระธรรมนูญในศาลทหารสูงสุด" ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่มี จากมาตรา 218 (3) ไปใส่ในมาตรา 219 โดยไม่มีกรรมาธิการคนใดคัดค้าน
ทั้งนี้ มีความพยายามที่จะให้ตัดข้อความที่ระบุว่าเคยเป็นทนายความไม่น้อยกว่าสามสิบปี และการเสนอให้เปลี่ยนจากอย่างน้อยต้องเป็นศาสตราจารย์เป็นรองศาสตราจารย์ และมีการเสนอให้ตัดคนที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าสามารถเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้
อย่างไรก็ตาม นาย
นาย
นาย
นาย
ขณะที่นาย
ด้านนายสมคิด กล่าวสนับสนุนให้คงไว้เช่นกัน "เรากำลังพูดถึงตำแหน่ง ไม่ใช่ตัวคน เพราะรัฐมนตรีมีทั้งคนดีคนไม่ดี เราจะรังเกียจเขามากเกินไปรึเปล่า"
นาย
ทั้งนี้ ท้ายที่สุดคณะกรรมาธิการมีมติให้ตัดเพียงตำแหน่งผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ส่วนตำแหน่งอื่นนั้นให้คงไว้เช่นเดิม
ลดจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลือ 9 คน ให้กรรมการสรรหามี 5 คน วุฒิฯ ทำได้แค่รับรอง
ต่อมาเป็นการพิจารณาในมาตรา 220 โดยวรรคแรกเป็นระบุเกี่ยวกับเรื่องการสรรหาตุลาการรัฐธรรมนูญตามมาตรา 218 (3) และ (4) โดยให้คณะกรรมการสรรหามาจาก ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานองค์กรอิสระเลือกกันเองเหลือ 1 คน ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ โดยการคัดเลือกต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 3ใน 4 และต้องทำให้เสร็จในสามสิบวัน และในวรรคสองให้วุฒิสภาเป็นผู้รับรอง กรณีที่วุฒิสภาไม่รับรองทั้งหมดให้ส่งกลับไปยังกรรมการสรรหาพร้อมด้วยเหตุผล หากกรรมการสรรหาเห็นด้วยก็ให้เริ่มกระบวนการใหม่ แต่หากกรรมการสรรหายืนตามเดิมก็ให้ประธานวุฒิฯ นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ ในกรณีที่ไม่สามารถสรรหาได้ตามเวลา ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดแต่งตั้งผู้พิพากษาในศาลฎีกาหรือตุลาการในศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณีฝ่ายละสามคนเป็นกรรมการสรรหาเพื่อดำเนินการ
นาย
แต่ทั้งนี้ก็มีผู้ที่ติงว่าหากกำหนดเพียงสามสิบวันอาจจะไม่เพียงพอ เพราะที่ผ่านมานั้นก็ปรากฏชัดว่าทำงานไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด
แต่สุดท้ายที่ประชุมก็ได้กำหนดให้เติมว่า เวลาการพิจารณาของวุฒิสภาต้องใช้ไม่เกินสามสิบวัน
นอกจากนี้นายวุฒิสาร ตันไชยยังขอให้กำหนดการรับรองของวุฒิสภาว่าต้องใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ว. ทั้งหมด ซึ่งที่ประชุมก็เห็นด้วย
ด้านนายประพันธ์กล่าวว่า การใช้เสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 กรรมการสรรหามี 5 คน ดังนั้น 3ใน 4 ต้องได้คะแนน 4 คน และในนั้นมีฝ่ายการเมือง 2 คน หากฝ่ายการเมืองปฏิเสธ อย่างไรก็เลือกไม่ได้ จึงเสนอให้ใช้เสียงข้างมาก คือ 3 ใน 5 จะเหมาะสมกว่า
นายจรัญ ภักดีธนากุล กล่าวว่า ส่วนตัวต้องการให้เป็น 4 จาก 5 หรือ 3 จาก 4 แต่ปัญหาที่ผ่านมาคืออย่างไรก็ตามจะโหวตไม่ได้สักที เพราะฝ่ายการเมืองเขาไม่ต้องการ แต่ตอนนี้เรากระจายทั้งฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล แต่หากเขาร่วมมือกันเราก็ควรที่จะเชื่อเขา
ด้านนาย
นายประพันธ์เสนอว่า หลักการน่าจะเป็นทำนองเดียวกับการสรรหา กกต.คือ เมื่อยืนยันครั้งที่สองไปแล้วก็ให้ใช้เสียง 2 ใน 3 แทนเพื่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างวรรคหนึ่งและวรรคสอง เพราะจำเป็นต้องยืนยันและคานกับวุฒิสภา
ด้านนายจรัญ กล่าวว่าหากเป็นไปตามวรรคหนึ่งต้องใช้เสียง 3 คนใน 5 คน หากฝ่ายการเมืองรวมกับองค์กรอิสระได้ ศาลจะไม่มีกำลังคานเลย เพราะศาลจะเหลือ 2 คนเท่านั้น แต่เห็นด้วยว่าตามวรรคสองที่เป็นการยืนยันข้อเสนอต่อวุฒิสภา เห็นว่าจะยืนยันต้องเอกฉันท์ แต่หากไม่ยืนยันก็ให้เริ่มตามวรรคหนึ่งใหม่คือใช้เสียง 3 ใน 4 เช่นเดิม
ด้านสมคิดสนับสนุนว่าเมื่อเรากำหนดให้ฝ่ายการเมืองมีทั้งประธาน ส.ส. และผู้นำฝ่ายค้าน ก็เพื่อให้เขาคานกันอยู่แล้วไม่มีทางเข้ากัน
แต่ที่ประชุมก็ได้ตกลงว่าการสรรหาครั้งแรกจะใช้เสียง 3 ใน 4 และในวรรคสองหากจะยืนยันความเห็นต้องเป็นเอกฉันท์
สำหรับการพิจารณาในมาตรา 225 ระบุว่าศาลยุติธรรม ที่กำลังพิจารณาคดีคู่ความที่โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ สามารถร้องขอให้ยื่นเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรมนูญพิจารณาว่าข้อกฎหมายที่กำลังพิจารณาคดีนั้นขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากเรื่องอยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญให้ศาลยุติธรรมรอการพิจารณา และระบุอีกว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว
แต่นายวิชา มหาคุณ แย้งว่าน่าจะให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะยื่นเรื่องหรือไม่ เพราะเกรงว่าเรื่องจะเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป
ขณะที่นาย
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในอดีตให้ศาลที่พิจารณาคดีเป็นผู้เห็นชอบด้วยตัวเองไม่เปิดโอกาสให้คู่ความยื่นคำร้องเรื่องก็ไม่เข้ามาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นศาลต้องเห็นควร เรื่องก็ไม่เข้ามาเลย แต่ตาม 40 คือเมื่อส่งเข้ามาหลายครั้งก็เป็นประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาพิจารณา หากเพื่อความรอบคอบก็ควรจะให้กำหนดว่าการยื่นร้องจะต้องยื่นว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร ก็จะลดปัญหาได้
นายจรัญได้อภิปรายเพิ่มเติมว่า ขอให้เพิ่มว่าการโต้แย้งต้องทำด้วยความสุจริต และไม่ต้องหยุดการพิจารณาแต่ให้รอการวินิจฉัยเท่านั้นเพื่อคดีจะได้ไม่หยุด และไม่มีการประวิงคดี โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้
สำหรับมาตรา 228 ที่ระบุว่าให้องค์ประชุมของศาลรัฐธรรมนูญมี 7 คน แต่นาย
นายไพบูลย์กล่าวว่า ในอดีตมีตุลาการ 15 คน ก็มีองค์คณะเพียง 9 และจากประสบการณ์คือที่ผ่านมามักจะมีการแย้งตุลาการบางคน ทำให้พิจารณาคดีไม่ได้ จึงอยากกำหนดไว้เบื้องต้นว่าควรมีองค์คณะเพียง 5 คนก็น่าจะเพียงพอ เพราะโดยหลักต้องพิจารณาครบทุกคนอยู่แล้ว โดยท้ายที่สุดที่ประชุมก็เห็นด้วย
โดยมาตรา 229 ที่ระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ซึ่งนายประพันธ์บอกให้เปลี่ยนคำ เพราะองค์กรอื่นของรัฐจะรวมไปถึงองคมนตรีหรือไม่ ซึ่งนายสมคิดระบุว่า น่าจะรวมไปถึงด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการตัดแต่อย่างใด
"วิชา" เสนอให้ประธานศาลฎีกาตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ขณะที่ กกต. ตั้งแง่อำนาจศาลปกครองก้าวก่าย
ส่วนการพิจารณาในช่วงเย็นคือมาตรา 235 ระบุองค์ประกอบของคณะกรรมการตุลาการ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละชั้นศาล ได้แก่ศาลฎีกา 6 คน ศาลอุทธรณ์ 4 คน และศาลชั้นต้น 2 คน ซึ่งเป็นข้าราชการตุลาการในแต่ละชั้นศาลและได้รับเลือกจากข้าราชการตุลาการในแต่ละชั้นศาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 2 คนซึ่งไม่เเป็นหรือเคยเป็นข้าราชการตุลาการ และได้รับเลือกจากวุฒิสภา
สำหรับ มาตรา236 เป็นมาตราที่ระบุถึงการจัดตั้ง สำนักงานศาลยุติธรรม และการแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม นายวิชาเสนอให้เลขาธิการศาลยุติธรรมให้มาจากการเสนอของศาลฎีกามิใช่เสนอโดยคณะกรมการตุลาการ เพราะเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมต้องทำงานประสานกับประธานศาลฎีกาโดยตลอด และปัญหานี้ก็เคยเกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งมาแล้ว โดยเป็นปัญหาการทำงานที่ไม่ลงรอยระหว่างประธานศาลฎีกา และเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งที่ประชุมก็เห็นชอบตาม
ต่อมาเป็นการพิจารณาในส่วนของศาลปกรองศาล โดยมาตรา 237 ระบุถึงอำนาจในการพิจารณาคดีของศาลปกครอง อย่างไรก็ตาม ได้มีกรรมาธิการบางคนที่อภิปรายว่าที่ผ่านมาศาลปกครองได้พิจารณาก้าวก่ายคำสั่งขององค์กรอื่น เช่น นาย
นาย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)