Skip to main content
sharethis

โดย John Carreyrou , The Wall Street Journal (3 มกราคม 2550)


 


 


 


ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2546 บริษัทแอ็บบอตต์ ลาบอราตอรี่ส์เริ่มกังวลต่อคู่แข่งใหม่สำหรับยาเอดส์แถวหน้าของตนซึ่งก็คือแคเลทรา(Kaletra®). ทำให้ต้องจับอาวุธที่ไม่ธรรมดาขึ้นมาใช้ เพื่อให้ยาแคเลทรายังคงเป็นยายอดจำหน่ายสูงถึงหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก, แม้ว่าจะทำให้แอ็บบอตต์ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ว่า กำลังก่อภยันตรายต่อคนไข้


 


อาวุธนั้นก็คือยาเก่าของแอ็บบอตต์ที่ชื่อนอร์เวียร์(Norvir®) ยานี้เป็นส่วนสำคัญในสูตรการรักษาที่ต้องใช้ร่วมกับยาของคู่แข่ง ก่อนหน้านี้ วอลล์สตรีตเจอร์นัลได้ทบทวนเอกสารที่ไม่เปิดเผยและอีเมล พบว่า กลุ่มผู้บริหารแอ็บบอตต์ได้มีการประชุมหาทางลดความสนใจต่อนอร์เวียร์, โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะหันเหคนไข้จากยาคู่แข่งไปยังแคเลทรา


 


ข้อเสนอหนึ่งในการประชุมผู้บริหารของแอ็บบอตต์ดังกล่าวนั้นก็คือ ให้เรียกเก็บคืนยาเม็ดนอร์เวียร์ออกจากตลาดยาสหรัฐฯ และขายยานี้เฉพาะในสูตรยาน้ำซึ่งหนึ่งในผู้บริหารฯ นั้นก็ยอมรับว่ารสชาติเหมือนสิ่งที่อาเจียนออกมา ที่ประชุมผู้บริหารให้เหตุผลว่ารสชาตินั้นจะบั่นทอนการใช้นอร์เวียร์ร่วมกับยาคู่แข่งไปเองในที่สุด และแอ็บบอตต์จะอ้างว่าบริษัทฯ จำเป็นต้องใช้ยาเม็ดนอร์เวียร์สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในอัฟริกา ข้อเสนอที่สองคือหยุดจำหน่ายนอร์เวียร์ทั้งสองรูปแบบ


 


ข้อเสนอที่สามในวันนั้นก็คือ ขึ้นราคายานอร์เวียร์สักห้าเท่า เอกสารภายในฉบับหนึ่งเตือนว่า การตัดสินใจแบบนี้จะทำให้ภาพพจน์ของแอ็บบอตต์เป็น "บริษัทยาใหญ่ที่นิสัยไม่ดีและตะกละตะกลาม" แต่ผู้บริหารคาดหวังว่าการขึ้นราคานอร์เวียร์จะช่วยเพิ่มยอดขายแคเลทรา และมั่นใจว่า ในที่สุดแล้ว คำครหาจะหมดไป


 


และแล้วความคาดหวังของผู้บริหารก็เป็นจริง ยอดขายแคเลทราในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละสิบในสองปีถัดมา บางคนคัดค้านว่าการขึ้นราคานี้ทำให้คนไข้ที่ต้องใช้สูตรผสมระหว่างยาเม็ดนอร์เวียร์กับยาเม็ดของบริษัทอื่นต้องยากลำบากมากขึ้น หลังการเริ่มต้นโวยวายอยู่พักหนึ่ง การวิพากษ์วิจารณ์ก็ซาลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแอ็บบอตต์ยกเว้นการขึ้นราคาให้กับแผนงานสุขภาพของรัฐและโครงการความช่วยเหลือด้านยาเอดส์


 


กรณีแอ็บบอตต์กับยานอร์เวียร์นั้น ไม่ค่อยมีใครสนใจเบื้องลึกของพฤติกรรมบริษัทยาในความพยายามที่จะเพิ่มพูนรายได้ของตนและขณะเดียวกันก็ทำลายคู่แข่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อุตสาหกรรมนี้ร้อนแรงด้วยการใช้เล่ห์กลต่างๆ เช่น ทำการตลาดยาอย่างหนักหน่วงในยาใหม่ที่ดีกว่ายาเก่าเล็กน้อย และการติดสินบนผู้ผลิตยาชื่อสามัญให้ยืดเวลาการวางตลาดยาเลียนแบบที่มีราคาถูกกว่าออกไป กรณีของนอร์เวียร์ เป็นการคดโกงที่บริษัทใช้ประโยชน์จากการผูกขาดตลาดยาตัวหนึ่งของตนในการปกป้องยอดขายยาอีกตัวหนึ่งที่ให้กำไรมากกว่า


 


เมลิซซ่า บรอตซ์,โฆษกของแอ็บบอตต์กล่าวว่า บริษัทแอ็บบอตต์ไม่เคยคิดเรียกคืนนอร์เวียร์ออกจากตลาดโลก หรือแม้แต่จะถอนทะเบียนยาเม็ดออกจากสหรัฐฯ แอ็บบอตต์ปฏิเสธว่าไม่ได้ขึ้นราคายานอร์เวียร์เพื่อปกป้องแคเลทรา พร้อมกับกล่าวว่าการขึ้นราคานี้มิได้ทำความเดือดร้อนให้กับคู่แข่งเพราะยาของคู่แข่งก็ยังคงมีส่วนแบ่งในตลาดอยู่และต่อมาคู่แข่งเหล่านั้นก็ขึ้นราคาด้วย แอ็บบอตต์ยังกล่าวอีกว่าการขึ้นราคานี้เพื่อสะท้อนให้เห็นว่านอร์เวียร์มีคุณค่าหลังจากหลายปีที่ผ่านมานั้นถูกประเมินต่ำเกินไป


 


ลิซ่า เมดิแกน,อัยการประจำรัฐอิลลินอยส์ซึ่งได้สอบสวนการขึ้นราคายาของแอ็บบอตต์ในช่วงเวลาสามปีกล่าวว่า กรณีนี้อาจเป็นตัวอย่างของการตั้งราคาอย่างไม่เป็นธรรมที่ละเมิดกฎหมายรัฐเกี่ยวกับการหลอกลวงผู้บริโภค มีการยื่นฟ้องศาลที่โอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนียโดยผู้ป่วยเอดส์สองคนร่วมกับกองทุนสวัสดิการสุขภาพลูกจ้างผู้ให้บริการนานาชาติกล่าวหาว่า แอ็บบอตต์ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดด้วยการใช้อำนาจทางการตลาดของตนเสริมยอดขายแคเลทรา คดีนี้จะมีการว่าความกันต้นปี 2551


 


ในทศวรรษ1990(ระหว่างปีพ.ศ.2533 - 2542) กลุ่มยาใหม่ที่เรียกว่า protease inhibitors ก็ได้รับการวิวัฒน์ขึ้นใช้รักษาโรคเอดส์ โดยการขัดขวางการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวี ยากลุ่มนี้เปลี่ยนแปลงโรคนี้จากโรคแห่งความตายกลายเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นเพียงความเจ็บป่วยของคนไข้จำนวนมากที่สามารถจัดการดูแลได้


 


นอร์เวียร์ซึ่งได้รับอนุมัติทะเบียนจากสำนักงานอาหารและยาในปี พ.ศ.2539 ก็เป็น protease inhibitor ตัวหนึ่ง ผลข้างเคียงที่รุนแรงของมัน ทำให้วงการแพทย์ไม่นิยมใช้เป็นยาเดี่ยว แต่แอ็บบอตต์พบว่า นอร์เวียร์ในขนาดน้อยๆ สามารถเสริมฤทธิ์ของ protease inhibitor ตัวอื่นๆ ให้มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นได้ ต่อมาไม่นาน นอร์เวียร์ก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในรูปของยาสูตรผสมที่ใช้กับผู้ป่วยเอดส์.


 


ในปี พ.ศ.2543 แอ็บบอตต์นำยาแคเลทราเข้าสู่ตลาด โดยผสม protease inhibitor ตัวใหม่ของตนเข้ากับนอร์เวียร์ในเม็ดเดียวกัน ด้วยประสิทธิผลและความสะดวกในการใช้ของแคเลทรา ทำให้ยานี้เป็นยาเอดส์ยอดนิยมอย่างรวดเร็ว กินส่วนแบ่งตลาดยา protease inhibitors ถึงร้อยละ 35 ในปี2546 ด้วยยอดขายในสหรัฐในปีนั้นถึงเกือบ 400 ล้านเหรียญ ตรงกันข้ามกับนอร์เวียร์ ซึ่งขายในรูปยาเดี่ยว ทำรายได้น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญต่อปีในสหรัฐ


 


ต่อมาในเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ.2546 บริษัทบริสทอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ นำยาprotease inhibitor ตัวใหม่ที่ชื่อรียาทาซ(Reyataz®) เข้าสู่ตลาด บริสทอลฯเสนอการศึกษาวิจัยที่ตนเป็นผู้สนับสนุน ชี้ว่าการใช้ยารียาทาซร่วมกับนอร์เวียร์นั้นมีประสิทธิผลเทียบเท่ากับแคเลทราในการยับยั้งเชื้อเอชไอวี และมีผลที่ดีกว่าเกี่ยวกับระดับคอเลสเทอรอล นอกจากนี้ รียาทาซยังสะดวกกว่า เพราะใช้จำนวนเม็ดต่อวันน้อยกว่า


 


ขณะที่รียาทาซเริ่มมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น กลุ่มผู้บริหารก็เริ่มหาทางปกป้องยอดขายแคเลทรา วันที่ 6 กันยายน 2546 เจฟเฟรย์ เดฟลิน,ผู้อำนวยการด้านการตลาดยาเอดส์ของแอ็บบอตต์ ได้ส่ง slide presentation ผ่านทางอีเมลถึงผู้ร่วมงานคนหนึ่ง ระบุสองทางเลือก คือ ขึ้นราคายานอร์เวียร์ 5 เท่า, หรือถอนยาเม็ดนอร์เวียร์ออกจากตลาดสหรัฐฯและเหลือไว้เพียงสูตรยาน้ำเท่านั้น


 


slide presentation ทำนายว่า ทางเลือกของการถอนยาเม็ดออกจากตลาดจะเพิ่มยอดขายแคเลทราได้อย่างมหาศาลและเป็นการตัดหนทางของรียาทาซ เพราะสูตรการใช้ยาที่มีรียาทาซจะต้องแพงขึ้นในทันที ประมาณการว่ายอดขายแคเลทราในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ถึง 30 ระหว่างปี พ.ศ.2547 ถึง 2549 ขณะที่ยอดขายรียาทาซในสหรัฐฯจะตกลงร้อยละ 28 ถึง 54 ระหว่างเวลาเดียวกัน ส่วนการที่ประชาชนจะประหลาดใจว่าทำไมจึงไม่มียาเม็ดนอร์เวียร์จำหน่ายนั้น ในเอกสารแนะนำให้ตอบกับสาธารณชนอเมริกันว่า บริษัทจำเป็นต้องส่งยาดังกล่าวไปยังประเทศกำลังพัฒนา (เช่น แอฟริกา) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม


 


และแม้แต่นายเดฟลินเองก็มีความกังวลว่า การบีบให้คนอเมริกันกลืนยาน้ำนอร์เวียร์นั้นจะเป็นงานขายที่ยากลำบากมาก แอ็บบอตต์รู้ดีว่ายาน้ำชนิดนี้มีรสไม่น่ารับประทานเลย จอห์น ลีโอนาร์ด รองประธานด้านการวิจัยและพัฒนาของแอ็บบอตต์,ผู้ซึ่งจะต้องเข้าร่วมสอบสวนกับผู้ตรวจการจากสำนักงานอัยการอิลลินอยส์ในปีต่อไปนั้น ยังพูดถึงยาน้ำนอร์เวียร์ว่า มีรสชาติคล้ายกับสิ่งที่อาเจียนออกมา


 


เมื่อแอ็บบอตต์หยุดผลิตยาเม็ดนอร์เวียร์ในช่วงสั้นๆของปีพ.ศ.2541 เพราะปัญหาด้านกระบวนการผลิตนั้น, คนไข้ต้องช่วยเหลือตนเองในการค้นหาวิธีกลบเกลื่อนรสชาติยาน้ำที่ร้ายกาจนั้น วิธีการต่างๆนั้นรวมถึงการใช้หลอดดูดให้ยาน้ำพุ่งเข้าไปในคอหอย การเคลือบผนังช่องปากด้วยเนยถั่วหรือช็อคโคแล็ต และการสะกดยับยั้งการรับรู้ของต่อมรับรสด้วยน้ำแข็งหรือแท่งไอศกรีม


 


ด้วยรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้ในเรื่องรสชาติ นายเดฟลินจึงแนะนำให้ใช้วิธีขึ้นราคา แต่ทางเลือกเรื่องยาน้ำก็ยังไม่ทิ้งไป วันที่ 12 กันยายน 2546 เจซัส ลีล รองประธานด้านไวรัสวิทยาของแอ็บบอตต์ได้แนะนำเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งผ่านทางอีเมลว่า "โปรดอย่างุนงงเกี่ยวกับผลสรุปของกระบวนการทางความคิด."


 


แนวคิดของนายลีลก็คือ การขึ้นราคานอร์เวียร์อาจจะยากในการให้เหตุผล แอ็บบอตต์อาจจะอ้างว่า ไม่สามารถผลิตยานี้ได้ หากขายในราคาต่ำ แต่ก็จะต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูล แต่ถ้าเลือกทางเลือกที่ให้ขายเฉพาะยาน้ำ ก็จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบการขอขึ้นราคาได้ วันนี้ นายลีลผู้ซึ่งลาออกจากบริษัทแล้วกล่าวในอีเมลว่า เขามีส่วนในการโต้เถียงที่รุนแรงละยาวนานในแอ็บบอตต์และไม่ควรจะตัดเขาออกจากเรื่องนี้


 


slide presentation ชุดหนึ่งชื่อ "แผนการสื่อสารด้านเอชไอวี" จัดทำเมื่อ 24 กันยายน 2546 ประกอบด้วยการทบทวนสองทางเลือกและการเพิ่มทางเลือกที่สามเข้าไป คือ ดึงนอร์เวียร์ทุกสูตรตำรับออกจากตลาดโลก ใน slide presentation นี้ระบุว่าการถอนรากถอนโคนแบบนี้ ทำให้แอ็บบอตต์หลุดพ้นจากการเป็นเป้าโจมตีโดยสาธารณะเรื่องการตั้งราคาและยังสามารถให้เหตุผลได้ในเรื่องรสชาติของยาน้ำ อย่างไรก็ตาม สไลด์ชุดนี้ก็ระบุว่า ชื่อเสียงของบริษัทแอ็บบอตต์อาจเสียหายได้


 


สำหรับแผนการขึ้นราคานั้น ในเอกสารนั้นระบุผลทางบวกว่า บริษัทประกันสุขภาพอาจจะตัดนอร์เวียร์ออกจากสิทธิประโยชน์ ส่งผลให้ยอดจำหน่าย protease inhibitor ตัวอื่นลดลง และทำให้คนไข้หันมาใช้แคเลทรามากขึ้น ส่วนผลทางลบนั้น ก็มีคำเตือนว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจทำให้ ไมล์ส ไวท์ หัวหน้าผู้บริหารของแอ็บบอตต์ซึ่งเพิ่งจะรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ผลิตและวิจัยยาแห่งอเมริกาต้องมัวหมอง และทำให้แอ็บบอตต์กลายเป็นบริษัทยาใหญ่ที่นิสัยไม่ดีและตะกละตะกลาม. แอ็บบอตต์กล่าวว่า slide presentation นี้จัดทำโดยบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ทำงานให้แก่แอ็บบอตต์ในขณะนั้น


 


ต้นเดือนตุลาคม 2546 ขณะที่protease inhibitor ตัวใหม่ตัวที่สองจากบริษัท GSK  ใกล้จะได้รับอนุมัติ เอกสารภายในของแอ็บบอตต์ก็แนะนำว่าจะต้องขึ้นราคานอร์เวียร์ โดยเตือนว่า ถ้าไม่ขึ้นราคานอร์เวียร์ จะทำให้สัมปทานของแอ็บบอตต์ถูกคุกคามอย่างแรงโดยศักยภาพของคู่แข่งที่จะอาศัยความโดดเด่นของนอร์เวียร์ ถ้าแอ็บบอตต์ไม่ทำอะไร ทำนายได้ว่า ใบสั่งยาแคเลทราจะลดลงร้อยละ 10 ในปี 2547


 


แอ็บบอตต์บ่ายเบี่ยงที่จะให้ นายเดฟลิน, นายลีโอนาร์ดและนายไวท์ให้ความเห็นใดๆ นางบรอตส์ โฆษกของแอ็บบอตต์กล่าวว่า นายไวท์ซึ่งยังคงเป็นหัวหน้าผู้บริหารไม่ทราบเรื่องการหารือในกลุ่มผู้บริหารระดับล่างที่มีข้อเสนอให้ชาวอเมริกันใช้นอร์เวียร์ชนิดน้ำหรือเสนอให้หยุดจำหน่ายนอร์เวียร์ทั้งหมด เธอกล่าวว่ากลุ่มผู้บริหารระดับสูงเพียงแต่ประชุมกันและตัดทางเลือกบางอย่างออกอย่างรวดเร็ว กลุ่มผู้บริหารนี้ไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจในท้ายที่สุด


 


อย่างไรก็ตาม แม้ศาลในแคลิฟอร์เนียจะสรุปเมื่อปีที่แล้ว มิให้เปิดเผยเอกสาร แต่แอ็บบอตต์กล่าวเองว่า เอกสารต่างๆ นั้นเตรียมโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของบริษัทฯ และเป็นเอกสารการหารือในเชิงกลยุทธเกี่ยวกับนอร์เวียร์


 


ในเดือนธันวาคม 2546 แอ็บบอตต์เริ่มปฏิบัติการตามข้อสรุปสุดท้าย คือ ขึ้นราคาอีกร้อยละ 400 ราคาขายส่งของนอร์เวียร์ในสหรัฐฯขึ้นจาก 51.30 เหรียญ เป็น 257.10 เหรียญ สำหรับชนิดแค็ปซูล 100 มิลลิกรัมจำนวน 30 เม็ด. การเปลี่ยนแปลงราคาครั้งนี้ทำให้แคเลทราเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าสำหรับผู้ป่วยเอดส์ชาวอเมริกัน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของสูตรยารียาทาซ/นอร์เวียร์เพิ่มขึ้นจาก 2,504 เหรียญ เป็น 11,187 เหรียญต่อปี ในสูตรยาที่ต้องใช้นอร์เวียร์เสริมฤทธิ์มากกว่า 1 ครั้งต่อวันนั้น จะเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกอย่างน้อย 5,000 เหรียญต่อปี ขณะนั้นค่าใช้จ่ายของแคเลทราอยู่ที่ประมาณ 7,000 เหรียญต่อปี.


 


และก็เป็นไปตามที่แอ็บบอตต์คาดว่าการขึ้นราคาครั้งนี้จะต้องมีเรื่องวุ่นวาย นักเคลื่อนไหวด้านเอดส์ทำการประท้วงที่หน้าสำนักงานใหญ่ของแอ็บบอตต์ชานเมืองชิคาโกและในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี แพทย์จำนวนสามร้อยคนร่วมกันบอยคอตต์ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ของแอ็บบอตต์และห้ามผู้แทนขายยาของบริษัทแอ็บบอตต์เข้ามาในที่ทำงานของตน


 


แอ็บบอตต์ยกเว้นการขึ้นราคานอร์เวียร์ให้กับโครงการเมดิเคด เมดิแคร์และโครงการความช่วยเหลือด้านยาเอดส์ของรัฐ นอกจากนี้ ยังประกาศว่า จะขยายโครงการความช่วยเหลือผู้ป่วยของตนเองออกไปอีก การแสดงออกดังกล่าว ทำให้บริษัทฯอ้างได้ว่า ภาระอันเกิดจากการขึ้นราคานี้ แบกรับโดยบริษัทประกันสุขภาพเอกชน มิใช่ผู้ป่วย


 


ฮอลลิส ซัลสแมน ผู้ร่วมงานกับลาบาตัน ซูชาโรวและรูดอล์ฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทกฎหมายที่นำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า การขึ้นราคานอร์เวียร์ ทำให้ผู้ป่วยบางคนยากลำบากในการเข้าถึง  แอ็บบอตต์ทำให้การรักษาเอดส์ถอยหลังกลับไป


 


อัลเลน ธอร์เนลล์ ผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นโจทก์ในคดีแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า การร่วมจ่ายร้อยละ๒๐ที่ต้องจ่ายให้แก่โครงการประกันของเขาในขณะนั้น กระโดดจาก 400 เหรียญเป็น 1,000 เหรียญต่อเดือนเมื่อแอ็บบอตต์ขึ้นราคานอร์เวียร์ ยอดเงินการร่วมจ่ายครั้งใหม่มีค่าเท่ากับหนึ่งในสามของเงินเดือนของเขา เป็นผลให้ นายธอร์เนลล์อายุ 36 ปีต้องลาออกจากงานในฐานะหัวหน้าองค์กรเกย์และเลสเบี้ยนที่ชื่อ จอร์เจีย อีควอลิตี้ ในปัจจุบัน เขาจึงร่วมจ่ายน้อยลง


 


นางบรอตส์แห่งแอ็บบอตต์กล่าวว่า ธอร์เนลล์เป็นตัวแทนผู้ป่วยทั่วไปไม่ได้ เพราะโครงการประกันสุขภาพเอกชนส่วนใหญ่กำหนดเพดานการร่วมจ่ายไว้ต่ำกว่านี้มาก เธอยังเสริมอีกว่าประชาชนเยี่ยงนายธอร์เนลล์สามารถเข้าโครงการความช่วยเหลือของแอ็บบอตต์ได้ "ความตั้งใจของเราคือ จะต้องไม่มีผู้ป่วยคนใดถูกปฏิเสธการเข้าถึงนอร์เวียร์"เธอกล่าว


 


การขึ้นราคานอร์เวียร์ส่งผลกระทบต่อสถาบันที่ไม่ได้รับการยกเว้น เช่น เรือนจำของรัฐ กรมราชฑัณฑ์แห่งนอร์ธแคโรไลนาซึ่งดูแลคนคุกที่ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 800 คน ต้องจ่ายค่ายานอร์เวียร์เพิ่มจาก 28,000 เหรียญในสามเดือนก่อน เป็น 95,000 เหรียญในสามเดือนแรกหลังการขึ้นราคา.


 


เดวิด โวห์ล,รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ผู้ซึ่งให้การรักษาคนคุกที่ติดเชื้อเป็นงานพาร์ทไทม์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของแอ็บบอตต์ทำให้ราคาแตกต่างกันมากระหว่างแคเลทรากับยาคู่แข่ง นายแพทย์โวห์ลไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนการให้ยาแก่คนไข้ไปสู่แคเลทรา เว้นเสียแต่เขาจะเห็นว่าแคเลทราดีที่สุดสำหรับคนไข้นั้นๆ เขาบอกว่า ผลกระทบต่องบประมาณจำนวนจำกัด ทำให้คุกต่างๆต้องลดทอนจำนวนการตรวจหาเชื้อดื้อยาลง


 


ในเดือนพฤษภาคม 2547 สถาบันสุขภาพแห่งชาติ(NIH)เปิดประชาพิจารณ์เพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของกลุ่มสนับสนุนผู้บริโภคที่ขอให้สถาบันสุขภาพแห่งชาติให้อำนาจแก่ผู้ผลิตยาชื่อสามัญเพื่อผลิตยานอร์เวียร์ราคาถูกกว่าออกมาก่อนที่สิทธิบัตรจะหมดอายุ สถาบันสุขภาพแห่งชาติมีอำนาจตามกฎหมายที่จะให้อำนาจดังกล่าวเพราะมีส่วนลงทุนในงานวิจัยยานั้น แต่สถาบันสุขภาพแห่งชาติก็ไม่เคยใช้อำนาจนี้


 


จอห์น อีริคสัน ผู้เคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ของแอ็บบอตต์ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับยานอร์เวียร์ค่อนข้างมาก กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องนี้ เขาให้การเป็นพยานว่า แอ็บบอตต์มิได้มีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนานอร์เวียร์ช่วงต้นที่ใช้เงินถึง 3.5 ล้านเหรียญจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติในปี พ.ศ.2531 แอ็บบอตต์มิได้ปฏิเสธว่าการให้ทุนช่วงต้นนั้นมีความสำคัญ แต่ก็กล่าวว่า ตนก็ลงทุนวิจัยด้านเอชไอวี รวมถึงการทดลองทางคลินิกของยานอร์เวียร์จำนวน 300 ล้านเหรียญ สถาบันสุขภาพแห่งชาติตัดสินใจยอมตามความประสงค์ของแอ็บบอตต์โดยกล่าวว่า ตนไม่ได้มีภารกิจในการตรวจสอบว่าราคายาใดๆแพงเกินไปหรือไม่


 


เพื่อเป็นการให้เหตุผลของการขึ้นราคา แอ็บบอตต์โพสต์ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายบนเว็บไซต์นอร์เวียร์ของตน แสดงให้เห็นว่า นอร์เวียร์ยังคงมีราคาถูกกว่าprotease inhibitor ตัวอื่นๆ อย่างไรก็ตาม,ตารางนั้นบอกเป็นนัยๆ ว่าสามารถใช้นอร์เวียร์โดยลำพังที่ขนาด 100 มิลลิกรัม ทั้งๆที่ในความเป็นจริงนั้น นอร์เวียร์ได้รับอนุมัติในขนาดนั้นเฉพาะเมื่อใช้รวมกับprotease inhibitor ตัวอื่นเป็นสูตรผสม สำนักงานอาหารและยาสั่งให้แอ็บบอตต์ลบตารางนี้ออกในเดือนมิถุนายน 2547 จัดเป็น "false & misleading" และแอ็บบอตต์ก็ปฏิบัติตาม


 


เมื่อเวลาผ่านไป เสียงโวยวายก็ซาลง บริษัทประกันสุขภาพเอกชนที่เป่าร้องดังที่สุดแต่มีอำนาจต่อรองต่ำเพราะไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่ให้ยาสำคัญที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ บริษัทประกันที่ชื่อ Aetna Inc. ยื่นฟ้องแอ็บบอตต์ แต่แล้วก็หยุดการดำเนินคดีภายในเวลาไม่กี่วัน นอกจากนี้แอ็บบอตต์ยังสามารถยุติคดีที่ฟ้องโดยมูลนิธิดูแลสุขภาพด้านเอดส์ลงได้ บริษัทตกลงให้การสนับสนุนโครงการของมูลนิธิที่ให้ยาฟรีแก่คนยากจนและผู้ป่วยเอดส์ที่ไม่มีหลักประกันด้านสุขภาพ เงื่อนไขที่เป็นตัวเลขจำนวนเงินยังไม่เปิดเผย


 


นายแพทย์โวห์ลกล่าวว่า แอ็บบอตต์กลับมาเป็นต่อในด้านมิตรไมตรีกับชุมชน,รวมถึงตัวเขาด้วย โดยมีโครงการความคิดริเริ่มใหม่ๆ เช่น ความร่วมมือในการต่อสู้กับเอดส์ในกลุ่มชนเชื้อสายอัฟริกัน-อเมริกัน นายแพทย์โวห์ลกล่าวว่า เขากลับคืนสู่การปรากฏตัวเพื่อพูดในนามของบริษัทนี้


 


ยอดขายรียาทาซของบริษัทบริสทอลฯในสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นแม้ยานอร์เวียร์จะแพงขึ้น เก้าเดือนแรกของปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ถึง 370 ล้านเหรียญ,มากกว่าปี2548 ในช่วงเวลาเดียวกันถึงร้อยละ25 แคเลทราก็ยังขายดีอยู่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสูตรตำรับใหม่ที่ใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น ยอดขายแคเลทราในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ๒๗ในช่วง๙เดือนแรกของปี2549 และกำลังจะแตะยอด 500 ล้านเหรียญสำหรับทั้งปี


 


 


 


------------------------------------------


The "Suits" Win Again: How the "Big, Bad, Greedy Pharmaceutical Company" Used One Drugs to Hike Another"s Price โดย John Carreyrou , The Wall Street Journal, 3 มกราคม 2550


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net