Skip to main content
sharethis

ถอดความโดย ดร. ไสว บุญมา


 


 


 



ที่มาของภาพ : www mxphone com


 


 


คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า "บิลล์ เกตส์" ผู้ครองตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของโลกในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมา ออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก่อนเรียบจบหลักสูตรปริญญาตรี ปัจจัยที่ทำให้เขาออกกลางคันได้แก่ ความต้องการที่จะทุ่มเทเวลาให้กับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ผลของความทุ่มนั้นเป็นที่รู้กันอย่างทั่วถึงแล้ว ตอนนี้ บิลล์ เกตส์ อายุยังไม่ครบ 52 ปี แต่ได้ประกาศว่า เขาจะเกษียณจากบริษัทไมโครซอฟท์ในราวอีก 1 ปี


 


หลังจากนั้นเขาจะทุ่มเทเวลาให้กับการแก้ปัญหาของโลก ผ่านมูลนิธิ ซึ่งขณะนี้มีเงินทุนที่ได้รับจากเขาราว 30,000 ล้านดอลลาร์และกำลังจะได้รับจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีหมายเลขสองของโลกอีก 37,000 ล้านดอลลาร์


 


เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ประสาทปริญญากิตติมศักดิ์ให้ บิลล์ เกตส์ และได้เชิญให้เขากล่าวคำปราศรัยในพิธีประสาทปริญญาของผู้จบการศึกษาในปีนี้ด้วย ผมเห็นว่าคำปราศรัยของเขามีแง่คิดที่น่าใส่ใจยิ่ง จึงนำมาถอดความสำหรับผู้ที่อาจไม่มีโอกาสฟังหรืออ่านคำปราศรัยนั้น


 


เนื่องจากคำปราศรัยอ้างถึงภูมิหลังบางอย่าง ซึ่งผู้อ่านอาจไม่คุ้นเคย เพื่อความกระจ่างและเพื่อให้เห็นมุขขบขันของเขา ผมได้เพิ่มคำอธิบายสั้นๆ ไว้ในวงเล็บ […] คำปราศรัยนั้นอาจถอดได้ดังนี้ :


 


0 0 0 0 0


 


 






 


ท่านอธิการบดีบอค ท่านอดีตอธิการบดีรูเดนสไตน์ ท่านอธิการบดีที่จะเข้ามารับตำแหน่งต่อไปเฟาสต์ สมาชิกของบรรษัทฮาร์วาร์ดและคณะกรรมการดูแลมหาวิทยาลัย คณาจารย์ พ่อแม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บัณฑิต:


 


ผมคอยมา 30 ปีที่จะพูดว่า "คุณพ่อครับ ผมบอกคุณพ่อเสมอมาใช่ไหมว่า วันหนึ่งผมจะกลับมาเอาปริญญาให้ได้" [ผู้ฟังหัวเราะกันอย่างทั่วถึง]


 


ผมขอขอบคุณมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ประสาทปริญญาให้ผมทันเวลาพอดิบพอดี ผมจะเปลี่ยนงานปีหน้า และมันน่าจะดีเมื่อในที่สุดผมจะมีปริญญาพ่วงท้ายในใบประกาศคุณสมบัติของผมเสียที [เสียงหัวเราะจากผู้ฟัง]


           


ผมขอปรบมือให้ผู้จบการศึกษาวันนี้ที่เดินไปสู่จุดมุ่งหมายด้วยทางสายตรง สำหรับผม ผมมีความสุขที่หนังสือพิมพ์คลิมสัน [หนังสือพิมพ์รายวันของนักศึกษาฮาร์วาร์ด] ให้สมญาผมว่า "ผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในหมู่ผู้เรียนไม่จบของฮาร์วาร์ด" ผมเดาเอาว่า นั่นหมายถึงผมคือผู้ทำคะแนนได้สูงสุดในรุ่นพิเศษของผม ผมทำได้ดีที่สุดในหมู่ผู้สอบตกด้วยกัน [เสียงหัวเราะจากผู้ฟัง]


 


แต่ผมต้องการได้รับการยอมรับว่าผมเป็นผู้ที่ทำให้สตีฟ บอลล์เมอร์ [เพื่อนซี้ของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งขณะนี้เป็นประธานผู้บริหารของบริษัทไมโครซอฟท์] เลิกเรียนวิชาบริหารธุรกิจ ผมมักชักนำคนไปในทางเสีย นั่นคือเหตุผลที่ผมได้รับเชิญมาพูดในวันรับปริญญาของคุณ ถ้าผมมาพูดในวันปฐมนิเทศของคุณ คุณบางคนอาจยังเรียนไม่จบในวันนี้ก็ได้ [เสียงหัวเราะจากผู้ฟัง]


 


ฮาร์วาร์ด เป็นประสบการณ์อันแสนพิเศษสำหรับผม ชีวิตการเรียนประทับใจยิ่ง ผมได้เข้าไปนั่งฟังวิชาต่างๆ มากมายซึ่งผมไม่ได้แม้กระทั่งลงทะเบียนเรียน และชีวิตในหอพักก็สุดยอด ผมพักที่แรดคลิฟฟ์ [วิทยาลัยหญิงซึ่งต่อมายุบรวมกับฮาร์วาร์ด] ในหอพักชื่อเคอร์รี่เออร์


 


มีคนจำนวนมากเข้ามาอยู่ในห้องของผมตอนดึกๆ เพื่อคุยกันถึงเรื่องต่างๆ เสมอ เนื่องจากทุกคนรู้ว่าผมไม่ค่อยวิตกเรื่องการจะต้องลุกจากที่นอนหรือไม่ในวันรุ่งขึ้น นั่นคือที่มาของการเป็นผู้นำของกลุ่มต่อต้านสังคมของผม เราเกาะกลุ่มกันเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเราไม่เอาด้วยกับพวกสังคมจัดทั้งหลาย


 


แรดคลิฟฟ์เป็นที่อยู่อันยอดเยี่ยม มีสาวๆ ยั้วเยี้ยไปหมด และหนุ่มๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกวิทย์-คณิต ปัจจัยทั้งสองรวมกันเอื้อให้ผมมีโอกาสสูงยิ่ง คุณคงพอจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไรใช่ไหม [เสียงหัวเราะ] ณ จุดนี้เองที่ผมเรียนรู้เรื่องชวนหดหู่ใจว่า การเพิ่มโอกาสไม่นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป [เสียงหัวเราะ]


 


ความทรงจำอันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งเกี่ยวกับฮาร์วาร์ดของผมเกิดขึ้นในเดือนมกราคม1975 เมื่อผมโทรศัพท์จากหอพักเคอร์รี่เออร์ไปหาบริษัทหนึ่งที่เมืองอัลบูเคอร์คี [ในรัฐนิวเม็กซิโก] ซึ่งได้เริ่มทำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกในโลก ผมเสนอขายซอฟท์แวร์ให้เขา


 


ผมกังวลว่า เขาจะรู้ว่าผมเป็นเพียงนักศึกษาในหอพักและจะไม่พูดด้วย แต่เขากลับพูดว่า "เรายังไม่เสร็จเรียบร้อยนัก เดือนหน้าค่อยมาหาเราก็แล้วกัน" ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะเรายังไม่ได้เขียนซอฟท์แวร์ชิ้นนั้นเลย นับแต่เสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมทำโครงการเพื่อเอาคะแนนพิเศษเล็กๆ ชิ้นนั้นแบบหามรุ่งหามค่ำ ซึ่งเป็นจุดพลิกผันที่นำไปสู่การยุติการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของผมทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันพิเศษสุดกับบริษัทไมโครซอฟท์


 


สิ่งที่ผมจำได้เหนืออื่นใดเกี่ยวกับฮาร์วาร์ด ได้แก่ การอยู่ท่ามกลางพลังงานและปัญญา มันอาจทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา น่าขวัญเสีย บางทีถึงกับน่าท้อถอย แต่ก็มีความท้าทายเสมอ มันเป็นอภิสิทธิ์อันน่าทึ่ง - และแม้ว่าผมจะออกไปก่อนเรียนจบ ผมได้ถูกปฏิรูปขนานใหญ่จากเวลาที่ผมอยู่ในฮาร์วาร์ด จากมิตรภาพที่ผมได้สร้างขึ้น และจากแนวคิดที่ผมได้พัฒนา


 


แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจริงๆ ผมมีความสลดใจอยู่อย่างหนึ่ง


 


ผมออกจากฮาร์วาร์ดไปโดยไม่มีความตระหนักอย่างแท้จริงเลยถึงความไม่เสมอภาคอันแสนโหดร้ายในโลก - ความเหลื่อมล้ำอันน่าขนหัวลุกในด้านสุขภาพ และด้านทรัพย์สิน และด้านโอกาสซึ่งสาปแช่งคนเรือนล้านให้มีชีวิตอันสิ้นหวัง          


 


ผมได้เรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ ด้านเศรษฐศาสตร์และด้านการเมืองอย่างมากมายที่ฮาร์วาร์ด ผมได้สัมผัสใกล้ชิดถึงความก้าวหน้าซึ่งกำลังเกิดขึ้นในด้านวิทยาศาสตร์


 


ทว่าความก้าวหน้าของมนุษยชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับการค้นพบ - แต่อยู่ที่การค้นพบเหล่านั้นถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่อลดความไม่เสมอภาคกันได้อย่างไรต่างหาก ไม่ว่าจะผ่านทางระบอบประชาธิปไตย การศึกษาที่แข็งแกร่ง ระบบดูแลสุขภาพที่ดี หรือโอกาสทางเศรษฐกิจที่กว้างขวาง - การลดความไม่เสมอภาคกันถือเป็นผลสำฤทธิ์อันสูงที่สุดของมนุษย์เรา


 


ผมออกจากมหาวิทยาลัยไปโดยแทบไม่รู้เลยว่าเยาวชนนับล้านคนถูกโกงโอกาสทางการศึกษาในประเทศของเรานี่เอง และผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคนเป็นล้านๆ ที่ต้องมีชีวิตอยู่กับความยากจนแสนสาหัสและโรคร้ายในประเทศกำลังพัฒนา


 


เป็นเวลาหลายทศวรรษกว่าผมจะค้นพบ


 


คุณๆ บัณฑิตทั้งหลายมาเรียนที่ฮาร์วาร์ดในช่วงเวลาที่ต่างไปจากเดิม คุณรู้เกี่ยวกับความไม่เสมอภาคกันในโลกมากกว่ารุ่นที่มาก่อนคุณ ในช่วงเวลาที่คุณอยู่ที่นี่ ผมหวังว่าคุณจะมีโอกาสได้คิดว่า - ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าในอัตราเร่งนี้ - ในที่สุดเราจะสามารถประจัญกับความไม่เสมอภาคกันเหล่านั้นได้ และเราก็จะเอาชนะมันได้ด้วย


           


ลองจินตนาการดูซิ นี่เพียงเพื่อคิดเล่นๆ เท่านั้นนะ ว่าคุณมีเวลาสองสามชั่วโมงต่อสัปดาห์และมีเงินสองสามดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับอุทิศให้เพื่ออะไรสักอย่าง - และคุณต้องการใช้เวลาและเงินนั้นในที่ซึ่งมีผลสูงสุดในด้านการช่วยชีวิตและการปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น คุณคิดว่าคุณจะใช้เวลาและเงินนั้นที่ไหน ?


 


สำหรับเมลินดา [ภรรยาของบิลล์ เกตส์] กับผม ความท้าทายก็เหมือนกัน นั่นคือ เราจะทำอย่างไรให้เกิดผลดีที่สุดต่อคนจำนวนมากที่สุดจากทรัพยากรที่เรามีอยู่


 


ในระหว่างที่เราปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับคำถามนี้ เมลินดาและผมได้อ่านบทความเกี่ยวกับเด็กในประเทศยากจนนับล้านคนซึ่งตายไปทุกปีจากโรคที่เราทำให้หมดอันตรายไปนานแล้วในประเทศนี้ หัด มาลาเรีย ปอดชื้น ไวรัสบีในตับ ไข้เลือดออก โรคหนึ่งซึ่งผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย นั่นคือโรตาไวรัส คร่าชีวิตเด็กปีละครึ่งล้านคน - ไม่มีเด็กในสหรัฐอยู่ในกลุ่มนั้นแม้แต่คนเดียว


 


เรารู้สึกตกใจ เราคิดว่าถ้าเด็กเป็นล้านคนกำลังจะตาย แต่จริงๆ แล้วพวกเขาอาจรอดหากได้รับความช่วยเหลือ ชาวโลกคงจะเร่งค้นหาและส่งยาไปช่วยชีวิตแก่พวกเขา แต่ชาวโลกก็ไม่ทำ ด้วยเงินเพียงไม่ถึงดอลลาร์เท่านั้น มีความช่วยเหลือซึ่งจะช่วยชีวิตพวกเขาได้ที่ไม่ถูกส่งไป


 


หากคุณเชื่อว่าทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน มันช่างน่าอับอายยิ่งเมื่อเรียนรู้ว่าบางชีวิตถูกมองว่ามีค่าพอน่าช่วยไว้และบางชีวิตไม่มีค่าพอ เราบอกกับตัวเราเองว่า"นี่มันไม่จริง แต่ถ้ามันจริง มันเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับความช่วยเหลือในลำดับต้นๆ ของเรา"


 


ดังนั้นเราจึงเริ่มงานของเราในแนวเดียวกันกับทุกคนที่นี่คงจะเริ่ม เราถามว่า"ชาวโลกปล่อยเด็กเหล่านั้นตายได้อย่างไร ?"


 


คำตอบนั้นง่าย แต่บาดหู ระบบตลาดไม่ให้รางวัลต่อการช่วยชีวิตเด็กเหล่านั้น และรัฐบาลไม่ให้เงินสนับสนุน ดังนั้นเด็กจึงตายเพราะแม่และพ่อของพวกเขาไม่มีอำนาจในตลาดและไม่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นในระบบ


 


แต่คุณกับผมมีทั้งสองอย่าง


 


เราจะทำให้อานุภาพของตลาดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นสำหรับคนจน หากเราสามารถพัฒนาระบบทุนนิยมให้มีความสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นได้ - ถ้าเราสามารถขยายอานุภาพของตลาดออกไปจนทำให้คนจำนวนมากขึ้นแสวงหากำไรได้ หรืออย่างน้อยก็พอทำมาหาเลี้ยงชีพได้ จะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ต้องรับเคราะห์จากความไม่เสมอภาคที่โหดร้ายที่สุด เราสามารถกดดันรัฐบาลทั่วโลกให้ใช้เงินของผู้เสียภาษีไปในทางที่สะท้อนคุณธรรมของผู้เสียภาษีได้ดีขึ้น


 


หากเราสามารถค้นหากลวิธีที่จะสนองความต้องการของคนจนได้ ด้วยหนทางที่ทำกำไรให้ภาคธุรกิจและสร้างคะแนนเสียงให้นักการเมืองได้พร้อมๆ กัน เราก็จะพบหนทางที่ยั่งยืนสำหรับลดความไม่เสมอภาคกันในโลก กิจอันนี้ไม่มีขอบเขต มันไม่มีวันสิ้นสุด แต่ความพยายามอันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเผชิญกับความท้าทายนี้จะเปลี่ยนโลกอย่างแน่นอน


 


ผมมองว่าเราทำได้ แต่ผมคุยกับผู้ที่มีความกังขาซึ่งอ้างว่าไม่มีหวัง พวกเขากล่าวว่า "ความไม่เสมอภาคกันอยู่กับเรามาตั้งวันแรก และก็จะอยู่กับเราไปจนวันสุดท้าย - ทั้งนี้เพราะมนุษย์เรา ไม่มี น้ำใจ " ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ


 


ผมเชื่อว่าเรามีน้ำใจมากจนไม่รู้ว่าจะใช้ทำอะไรหมด


 


เราทุกคนในที่นี้ ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ได้เคยเห็นโศกนาฏกรรมของเพื่อนมนุษย์ที่ทำให้หัวใจของเราแตกสลาย แต่เราก็มิได้ทำอะไรลงไป - ไม่ใช่เพราะเราไม่มีน้ำใจ หากเพราะเราไม่รู้ว่าจะทำอะไร หากเรารู้ว่าจะช่วยเขาอย่างไร เราคงได้ทำไปแล้ว


 


อุปสรรคของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่การมีน้ำใจน้อยเกินไป ; หากอยู่ที่ความสลับซับซ้อนมากเกินไป


 


เพื่อจะแปลงความมีน้ำใจไปสู่การปฏิบัติ เราต้องเข้าใจปัญหา มองเห็นทางแก้ไข และมองเห็นผลลัพธ์ แต่ความสลับซับซ้อนปิดกั้นขั้นตอนทั้งสามจนหมดมิด


 


แม้จะมีระบบอินเตอร์เนตและข่าวตลอด 24 ชั่วโมงแล้วก็ตาม มันยังเป็นภารกิจที่สลับซับซ้อนยิ่งที่จะทำให้คนเราเข้าใจปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเครื่องบินตก เจ้าหน้าที่จะออกแถลงการณ์ทันที เขาสัญญาว่าจะสืบสวน พิจารณาสาเหตุ และป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในอนาคต


 


แต่ถ้าเจ้าหน้าที่มีความตรงไปตรงมาจริงๆ เขาคงจะพูดว่า: "ในบรรดาผู้เสียชีวิตทั้งหมดในโลกที่ตายลงในวันนี้จากสาเหตุที่ป้องกันได้ ราวครึ่งเปอร์เซ็นต์ของพวกเขาอยู่ในเครื่องบินลำนั้น เราตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่คร่าชีวิตของคนครึ่งเปอร์เซ็นต์นั้น"


 


ปัญหาที่ใหญ่กว่าไม่ใช่การตกของเครื่องบิน หากเป็นความตายของคนเป็นหลักล้านที่ป้องกันได้


 


เราไม่ค่อยได้อ่านข่าวเกี่ยวกับความตายพวกนี้ สื่อรายงานเฉพาะสิ่งใหม่ๆ - และเรื่องคนตายเป็นหลักล้านไม่มีอะไรใหม่ ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงเรื่องประกอบ ซึ่งง่ายต่อการมองข้าม แต่เมื่อเราเห็นหรืออ่านพบ ก็ยังยากที่จะเฝ้าดูปัญหานั้น มันยากยิ่งที่จะมองดูความทุกข์ร้อนในเมื่อสถานการณ์แสนจะสลับซับซ้อนจนเราไม่รู้ที่จะช่วยอย่างไร และดังนั้นเราจึงเมินหน้าหนี


 


หากเราเข้าใจปัญหาจริงๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรก เราจะมาถึงขั้นตอนที่สอง นั่นคือ การทะลุทะลวงความสลับซับซ้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งทางแก้ไข


 


การค้นหาทางแก้ไขให้พบนั้นสำคัญยิ่ง หากเราจะใช้ความมีน้ำใจของเราให้ได้ผลสูงสุด หากเรามีคำตอบที่ชัดเจนและได้พิสูจน์มาแล้วเมื่อองค์กรหรือบุคคลใดถามว่า "ผมจะช่วยได้อย่างไร ?" เราจะดำเนินการได้ทันที - และเราจะสามารถทำให้เกิดความมั่นใจได้เลยว่าไม่มีน้ำใจในโลกนี้ที่จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่หยดเดียว แต่ความสลับซับซ้อนทำให้ยากแก่การที่จะวางแนวทางดำเนินการสำหรับทุกๆ คนที่มีน้ำใจ - และนั่นแหละที่มันยากที่จะทำให้การมีน้ำใจของพวกเขาบรรลุผล


 


การทะลุทะลวงความสลับซับซ้อนเพื่อค้นหาทางแก้ไขมีขั้นตอนที่พอจะคาดได้อยู่สี่ขั้นด้วยกัน คือ พิจารณาจุดหมาย ค้นหากลวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แสวงหาเทคโนโลยีทีเหมาะสมที่สุดสำหรับกลวิธีนั้น และในระหว่างที่แสวงหาอยู่ ก็ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วอย่างชาญฉลาด - ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ต้องใช้ความรอบรู้ค่อนข้างสูง เช่น ยา หรือชนิดที่ง่ายกว่า เช่น มุ้ง


 


ขอยกการแพร่ระบาดของโรคเอดส์มาเป็นตัวอย่าง จุดหมายกว้างๆ แน่ละ ย่อมได้แก่การกำจัดโรคนั้น กลวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดได้แก่การป้องกัน เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็นวัคซีนที่ฉีดเพียงครั้งเดียวแล้วคุ้มครองได้ตลอดชีวิต ดังนั้นรัฐบาล บริษัทยา และมูลนิธิทั้งหลายจะต้องสนับสนุนเงินแก่การวิจัยวัคซีน แต่งานวิจัยคงใช้เวลาเกินทศวรรษ ดังนั้นในระหว่างที่งานวิจัยกำลังดำเนินไป เราต้องใช้สิ่งที่เรามีอยู่ในมือแล้ว - และกลวิธีป้องกันที่ดีที่สุดที่เรามีในปัจจุบันได้แก่การชักจูงผู้คนให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง


 


การจะไปให้ถึงจุดหมายนั้นต้องเริ่มจากวงจรที่มีสี่ขั้นตอนด้วยกันอีก นี่คือรูปแบบ สิ่งสำคัญคือต้องไม่หยุดคิดและหยุดทำ - และจะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรจะต้องไม่ทำสิ่งที่เราทำกับมาลาเรียและวัณโรคในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 - ซึ่งได้แก่การยอมแพ้แก่ความสลับซับซ้อนและวางมือไปเลย


 


ขั้นตอนสุดท้าย - หลังจากเข้าใจปัญหาและค้นพบกลวิธีแล้ว - ได้แก่การวัดผลงานของคุณและเผยแพร่ความสำเร็จและความล้มเหลวของคุณเพื่อคนอื่นจะได้เรียนรู้จากความพยายามของคุณ


 


คุณต้องมีข้อมูล แน่ละ คุณต้องแสดงให้เห็นได้ว่าโครงการหนึ่งฉีดวัคซีนให้เด็กจำนวนล้าน คุณต้องแสดงให้เห็นได้ว่าจำนวนเด็กที่ตายด้วยโรคร้ายเหล่านั้นลดลง นี่มีความสำคัญยิ่งไม่เฉพาะต่อการปรับปรุงโครงการให้ดีขึ้น แต่เพื่อช่วยดึงการลงทุนเพิ่มขึ้นจากภาคธุรกิจและรัฐบาลด้วย


 


แต่ถ้าคุณต้องการดลใจให้คนอื่นเข้าร่วม คุณจะต้องแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือตัวเลข; คุณต้องแสดงให้เห็นถึงผลดีที่งานนั้นมีต่อบุคคลในแบบที่ให้ภาพชนิดติดตา - เพื่อให้คนอื่นเกิดความรู้สึกว่าการช่วยชีวิตหนึ่งนั้นสำคัญแค่ไหนต่อครอบครัวที่ได้รับผล


 


ผมจำได้ครั้งผมไปดาวอส [การพบปะกันประจำปีของผู้นำทางธุรกิจและการเมือง ณ เมืองสำหรับพักผ่อนซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาของสวิตเซอร์แลนด์] เมื่อหลายปีมาแล้วและเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการซึ่งกำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับหนทางที่จะช่วยชีวิตคนเป็นหลักล้าน หลักล้านนะครับ ! ลองนึกถึงความตื่นเต้นของการช่วยชีวิตคนเพียงคนเดียว - แล้วคูณด้วยหลักล้าน ทว่านั่นเป็นคณะกรรมการที่น่าเบื่อที่สุดที่ผมเคยมีส่วนร่วม - น่าเบื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ น่าเบื่อเสียจนผมเองก็ทนไม่ไหว


 


สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์ครั้งนั้นโดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่ผมเพิ่งมาจากรายการที่เราเปิดตัวซอฟท์แวร์รุ่นที่ 13 ชิ้นหนึ่ง และเราทำให้คนกระโดดขึ้นลงและส่งเสียงดังลั่นด้วยความตื่นเต้น ผมชอบทำให้คนตื่นเต้นเกี่ยวกับซอฟท์แวร์ - แต่ทำไมเราสร้างความตื่นเต้นเกินนั้นไม่ได้ในการช่วยชีวิตคน ?         


 


คุณจะทำให้ผู้คนตื่นเต้นไม่ได้ หากคุณไม่สามารถทำให้เขามองเห็นและเกิดความรู้สึกต่อผลลัพธ์ที่จะออกมา และคุณจะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร - เป็นคำถามที่สลับซับซ้อน


 


อย่างไรก็ดี ผมยังมีความเชื่อมั่นว่าทำได้ ใช่ ความไม่เสมอภาคกันมีอยู่คู่กับเรามาชั่วกัปชั่วกัลป์แล้ว แต่เครื่องมือใหม่ที่เรามีสำหรับทะลุทะลวงความสลับซับซ้อนมิได้มีอยู่คู่กับเรามาชั่วกัปชั่วกัลป์ด้วย มันเป็นของใหม่ - มันจะช่วยทำให้ความมีน้ำใจของเราเกิดผลสูงสุด - และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมอนาคตจึงอาจต่างจากอดีตได้


 


นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่และที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนี้ - เทคโนโลยีชีวภาพ คอมพิวเตอร์ ระบบอินเตอร์เนต - ให้โอกาสซึ่งเราไม่เคยมีมาก่อนแก่เรา ที่จะกำจัดความยากจนข้นแค้นระดับแสนสาหัสสุดๆ และกำจัดความตายจากโรคร้ายที่ป้องกันได้


 


เมื่อหกสิบปีที่แล้ว จอร์จ มาร์แชล [นายพลเมริกันซึ่งต่อมาดำรงทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศ] มาในพิธีประสาทปริญญานี้และได้แถลงเกี่ยวกับโครงการเพื่อช่วยเหลือประเทศในยุโรปหลังสงคราม [โลกครั้งที่ 2] เขาพูดว่า "ผมคิดว่าความยากลำบากอย่างหนึ่งได้แก่ปัญหานั้นแสนสลับซับซ้อนจนทำให้ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่สื่อและวิทยุนำมาเสนอต่อสาธารณชนยากเกินสำหรับคนทั่วไปที่จะประเมินสถานการณ์ได้อย่างแจ้งชัด จากระยะทางอันแสนไกลนี้ เป็นไปไม่เลยที่จะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงทั้งหมดของสถานการณ์ "


 


สามสิบปีหลังจากวันที่มาร์แชลกล่าวคำปราศรัย เมื่อเพื่อนร่วมรุ่นของผมจบการศึกษาโดยปราศจากผม เทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่จะทำให้โลกใบนี้เล็กลง เปิดกว้างขึ้น เห็นได้ง่ายขึ้น ลดระยะทางลง


 


การพัฒนาของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลราคาต่ำทำให้เกิดโครงข่ายอันทรงพลังอย่างหนึ่งซึ่งได้ปรับเปลี่ยนโอกาสเพื่อการเรียนรู้และเพื่อการติดต่อสื่อสาร


 


สิ่งมหัศจรรย์เกี่ยวกับโครงข่ายนี้ไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่มันทำให้ระยะทางหดหายไปและทำให้ทุกคนเป็นเพื่อนบ้านของคุณเท่านั้น มันยังช่วยเพิ่มจำนวนของผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลมทั้งหลายที่เราจะให้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาเดียวกันอีกด้วย - และนั่นได้ยกระดับอัตราของนวัตกรรมให้สูงขึ้นอย่างไร้เทียมทานทีเดียว


 


ในขณะเดียวกัน ต่อทุกคนในโลกที่เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ จะมีอีกห้าคนที่เข้าไม่ถึง


 


นั่นหมายความว่าผู้มีปัญญาทางสร้างสรรค์จำนวนมากถูกปล่อยทิ้งไว้นอกวงของการปรึกษาหารือนี้ - นั่นหมายถึงคนฉลาดที่มีความรอบรู้อันเกิดจากการปฏิบัติงานและจากประสบการณ์อันตรงกับปัญหาซึ่งไม่มีเทคโนโลยีสำหรับฝึกฝนตนเอง หรือมีส่วนร่วมในการให้แนวคิดแก่ชาวโลก            


 


เราต้องการให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ เพราะความก้าวหน้าเหล่านี้กำลังจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติในด้านที่มนุษยชาติสามารถทำอะไรให้กันและกัน มันไม่ได้ช่วยเฉพาะรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังช่วยมหาวิทยาลัย บริษัท องค์กรเล็กๆ และบุคคล ให้เข้าใจปัญหา มองเห็นกลวิธี และวัดผลของความพยายามของพวกเขาในด้านการแก้ปัญหาความหิวโหย ความยากจน และภาวะสิ้นหวังที่จอร์จ มาร์แชลล์ พูดถึงเมื่อ 60 ปีที่แล้ว


 


ท่านสมาชิกของครอบครัวฮาร์วาร์ดครับ ณ ที่นี้มีการรวมตัวกันอันยิ่งใหญ่ของผู้ที่มีพรสวรรค์ทางปัญญาของโลก


 


รวมตัวกันเพื่ออะไรครับ ?


 


แน่นอนละที่คณาจารย์ ศิษย์เก่า นักศึกษา และผู้บริจาคทรัพย์ให้แก่ฮาร์วาร์ดได้ใช้พลังอำนาจของตนช่วยปรับปรุงชีวิตของคนที่นี่และทั่วโลก แต่ว่าเราจะทำมากกว่านี้อีกได้ไหม ? ฮาร์วาร์ดสามารถจะอุทิศพลังทางปัญญาของตนเพื่อช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้คนที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของตนได้ไหม ?


 


ผมใคร่จะขอสิ่งหนึ่งจากท่านคณบดีและท่านศาสตราจารย์ - ผู้นำทางปัญญาของฮาร์วาร์ด นั่นคือ เมื่อท่านจ้างคณาจารย์ มอบตำแหน่งถาวรให้อาจารย์ ทบทวนหลักสูตร และพิจารณาคุณสมบัติสำหรับประสาทปริญญา กรุณาถามตัวของท่านเองดังนี้:


 


สติปัญญาชั้นยอดเยี่ยมของเรานั้นควรจะอุทิศให้แก่การแก้ปัญหาที่หนักหนาสาหัสที่สุดของเราหรือไม่ ?


 


ฮาร์วาร์ดควรจะกระตุ้นคณาจารย์ให้ประจัญกับความไม่เสมอภาคที่หนักหนาสาหัสที่สุดของโลกหรือไม่? นักศึกษาของฮาร์วาร์ดควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับความลึกล้ำของความยากจนบนผืนโลกหรือไม่ ความแพร่หลายของความหิวโหยของชาวโลก ความขาดแคลนน้ำสะอาด เด็กผู้หญิงไร้โอกาสเรียนหนังสือ เด็กซึ่งตายจากโรคร้ายที่เราสามารถเยียวยาได้ ?


 


ผู้ที่มีอภิสิทธิ์มากที่สุดในโลกควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของผู้ที่มีอภิสิทธิ์ต่ำที่สุดในโลกหรือไม่ ?


 


นี่มิใช่คำถามเชิงเล่นคำ - ท่านจะตอบด้วยนโยบายของท่าน


 


คุณแม่ของผม ผู้ซึ่งแสนจะภูมิใจเมื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้รับผมเข้าเรียน - ไม่เคยเลิกกดดันผมให้ช่วยผู้อื่นให้มากขึ้น ไม่กี่วันก่อนวันแต่งงานของผม ท่านจัดงานเป็นเกียรติแก่เจ้าสาว ซึ่งในงานนั้นเองที่ท่านอ่านจดหมายเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานที่ท่านเขียนถึงเมลินดาออกมาดังๆ คุณแม่ของผมกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งในตอนนั้น แต่ท่านเห็นโอกาสอีกครั้งที่จะส่งสารด้านแก่นคิดของท่าน และในตอนจบจดหมายท่านพูดว่า "จากผู้ที่ได้รับมากทั้งหลาย มีความคาดหวังว่าพวกเขาจะให้มากด้วย"


 


เมื่อท่านพิจารณาสิ่งที่เราทั้งหลายในที่นี้ได้รับ - ในด้านพรสวรรค์ ด้านอภิสิทธ์ และด้านโอกาส - โลกมีสิทธิ์คาดหวังจากเราอย่างแทบไม่จำกัด


 


ในกรอบของความเป็นไปได้ในยุคนี้ ผมขอแนะนำบัณฑิตแต่ละคนในที่นี้ให้หยิบประเด็นขึ้นมาสักประเด็น -ปัญหาที่สลับซับซ้อน ความไม่เสมอภาคที่ลึกล้ำ และสร้างความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเด็นนั้นขึ้นมา หากคุณทำให้มันเป็นจุดมุ่งเน้นในชีวิตการงานของคุณ นั่นจะวิเศษยิ่ง แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเพื่อให้เกิดผลดี ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คุณอาจใช้อานุภาพที่กำลังเพิ่มขึ้นของระบบอินเตอร์เนตเพื่อเรียนรู้ สืบหาผู้ที่มีความสนใจคล้ายกัน ทำความเข้าใจถึงอุปสรรค และหาทางทะลุทะลวงมัน


 


อย่าให้ความสลับซับซ้อนยับยั้งคุณ จงเป็นนักเคลื่อนไหว เลือกประจัญกับความไม่เสมอภาคที่ร้ายแรง มันจะเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ในชีวิตของคุณ


           


คุณๆ บัณฑิตทั้งหลายเติบใหญ่ขึ้นมาในช่วงเวลาอันน่าทึ่งยิ่ง เมื่อคุณออกจากฮาร์วาร์ดไป คุณมีเทคโนโลยีที่สมาชิกในรุ่นผมไม่เคยมี คุณมีความตระหนักในความไม่เสมอภาคกันในโลก ซึ่งเราไม่มี และกับความตระหนักนั้น คุณคงจะมีจิตวิญญาณที่รอบรู้ซึ่งจะตามหลอนคุณหากคุณทอดทิ้งคนที่ชีวิตของเขาคุณอาจเปลี่ยนได้ด้วยความพยายามเพียงน้อยนิด


 


คุณมีมากกว่าเรามี คุณต้องเริ่มให้เร็วกว่า และสู้ต่อไปให้ยาวนานกว่า


 


ในเมื่อคุณรู้สิ่งที่คุณรู้ คุณจะงอมืองอเท้าอยู่ได้อย่างไร ?


 


และผมหวังว่าคุณจะกลับมาที่ฮาร์วาร์ดนี่อีก 30 ปีจากวันนี้ไป และมาไตร่ตรองถึงการใช้พรสวรรค์และพลังงานของคุณ ผมหวังว่าคุณจะวินิจฉัยตัวคุณเองไม่เฉพาะในด้านของความสำเร็จในอาชีพเท่านั้น แต่ในด้านผลงานของคุณที่เกี่ยวกับความไม่เสมอภาคกันอันล้ำลึกที่สุดด้วย ในด้านที่เกี่ยวกับคุณได้ปฏิบัติต่อคนที่อยู่คนละฟากโลกได้ดีแค่ไหนในเมื่อคนเหล่านั้นไม่มีอะไรร่วมกับคุณเลยเว้นแต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเท่านั้น


 


ขอให้โชคดีครับ


 


 


 


ขอขอบคุณ : สำนักพิมพ์โอ้พระเจ้า ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net