วิทยากร บุญเรือง
หมายเหตุ : รายงานชุดเศรษฐศาสตร์เพื่อคนจนเป็นความพยายามที่จะนำศาสตร์ทางธุรกิจมาอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับแรงงาน-ผู้บริโภคและผู้ประกอบกิจการรายย่อย ในการรู้เท่าทันศาสตร์ของนายทุน รวมถึงการนำเสนอธุรกิจของคนเล็กคนน้อยในสังคมว่าพวกเขาทำอะไร ดิ้นรนอย่างไร ในโลกธุรกิจที่ทุนใหญ่ได้เปรียบอย่างมหาศาลในปัจจุบัน ...
..........................
ห้าง Big - C ลำพูน สาขาล่าสุดของประเทศไทย
... ปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในหลายๆ ปรากฏการณ์ที่น่าสังเกตหลังจากวิกฤตฟองสบู่แตกเมื่อ 10 ปีก่อนนั่นก็คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ในสังคมไทย หลายร้อยแห่งในทุกหัวระแหงทั่วประเทศ
นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังการบริโภคของคนไทย ว่ามีอย่างเหลือเฟือและไม่ค่อยที่จะพอเพียงเท่าใดนัก เนื่องจากว่าเราอยู่ในระบบทุนนิยมที่ต้องยอมรับว่าการบริโภคคือปัจจัยอันดับหนึ่งที่จะช่วยค้ำยันให้ระบบนี้อยู่ได้ (ดังนั้น วาทกรรมพอเพียงจึงไม่เหมาะสมในสังคมทุนนิยม ควรนำไปใช้ในระบบสังคมนิยม และทุกคนที่เรียกร้องถึงความพอเพียงนี้ควรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ระบบสังคมนิยมอย่างเร็วพลัน เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อสิ่งที่ได้พูดออกไป)
นักต่อต้านโลกาภิวัตน์, นักชาตินิยม รวมถึงนักพอเพียงนิยม ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงอันตรายของค้าปลีกยักษ์ใหญ่ที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีทุนข้ามชาติเป็นเบื้องหลังทั้งสิ้น แต่กลับไม่ค่อยพูดถึงหัวอกของแรงงาน-ผู้บริโภครายได้ต่ำถึงปานกลาง ที่ได้รับประโยชน์ทางตรงจากยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ... แต่มักถูกนักต่อต้านโลกาภิวัตน์, นักชาตินิยม รวมถึงนักพอเพียงนิยม (ที่มีรายได้สูง) วิจารณ์ว่าเป็นแมลงเม่าที่หลงไปกับกระแสบริโภคอย่างไม่ลืมหูลืมตา
นอกจากจะ "ก่นด่าและต้านทาน" แล้ว (ซึ่งแน่นอนล่ะ! ว่ามันต้องทำ) การหาทางออกให้กับแรงงาน-ผู้บริโภครายได้ต่ำถึงปานกลางจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ต้องเสนอควบคู่กันไปด้วย
เพราะ "สินค้าราคาถูก" คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ชนชั้นล่างของสังคม กระเสือกกระสนดิ้นรนมีชีวิตไปอีกวันต่อวัน
0 0 0
วอล-มาร์ท (Wal-Mart) กรณีศึกษาสุดคลาสสิคสำหรับเรื่อง "ห้างใหญ่ฆ่ารายย่อย"
แซม วอลตัน และห้าง "วอล-มาร์ท" ของเขา ที่คนอเมริกัน "ทั้งรักทั้งชัง"
ถ้าเราจะพูดถึงกรณีปลาใหญ่กินปลาเล็กในธุรกิจค้าปลีกแล้วถ้าไม่เอ่ยถึง แซม วอลตัน (Sam Walton) และห้าง "วอล-มาร์ท" (Wal-Mart) ของเขาก็คงจะไม่เห็นพัฒนาการและกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมนี้ ..
"แซม วอลตัน" และตำนาน "วอล-มาร์ท"
แซม วอลตัน (Sam Walton) เป็นชาวบ้านที่เติบโตในเมืองเล็กๆ เขาอาศัยอยู่ในเมืองเบนตันวิลล์ รัฐอาร์คันซอมาตั้งแต่เกิดจนอายุ 40 ปี ทุกวันเขาจะตื่นแต่เช้าตรู่ ทานอาหารเช้าร่วมกับชาวบ้านหน้าเดิมๆ ที่โรงแรมประจำท้องถิ่นและเขาจะไปทำงานทุกวันยกเว้นเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียว
แซม วอลตัน ได้รับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยมิสซูรี่ ในปี 1940 หลังจากเรียนจบเขาเข้าทำงานในร้าน เจ.ซี.เพนนีย์ ซึ่งเป็นร้านค้าปลีก ปี 1942 เขาสมรสกับเฮเลน ร็อบสัน ซึ่งเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย จากนั้นเขายืมเงินพ่อตาจำนวน 25,000 ดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการร้านค้าปลีก และได้ล้มลุกคลุกคลานกับธุรกิจนี้มาตลอด
2 กรกฎาคม 1962 เขาก็พร้อมจะทดลองแนวคิดเปิดร้านจำหน่ายสินค้าราคาต่ำกว่าท้องตลาดที่ชื่อว่า วอล-มาร์ท (Wal-Mart) ซึ่งใช้กลยุทธ์ที่สำคัญ ก็คือการเป็นห้างสรรพสินค้าราคาต่ำกว่า มีจุดมุ่งหมายทำรายได้จากการขายปริมาณมากเป็นสำคัญ, การกดราคาซัพพลายเออร์, รวมถึงการใช้เทคโนโลยีด้านการขนส่ง (logistic)
จากนั้นอีก 30 ปี ในปี ค.ศ. 1991 ยอดขายของวอล-มาร์ทพุ่งทะลุ 32.6 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ วอล-มาร์ท กลายเป็นยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา และขยายสาขาออกไปทั่วโลก
อีกหนึ่งปีต่อมา แซม วอลตันก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง --- แต่วอล-มาร์ท ยังคงเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ
การดำเนินธุรกิจของ วอล-มาร์ท
ลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ดำเนินกิจการร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งในและนอกสหรัฐฯ และทำการค้าผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีรายงานว่าในปี 2000 บริษัทฯ มียอดจำหน่ายปลีก สูงสุดติดอันดับหนึ่งของกลุ่มผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ คือ 193.3 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 1999 ร้อยละ 15.9 จำนวนสาขาที่อยู่ในสหรัฐฯ 3,289 ร้าน แยกออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
1. Wal-Mart Stores เสนอขายสินค้าเกือบทุกชนิด
2. Wal-Mart Supercenters เป็นร้านขนาดใหญ่ โดยมีแผนกของชำที่ครบวงจรเพิ่มขึ้นจากแผนกที่มีอยู่แล้วใน Wal-Mart Stores เพื่อขายอาหารทุกชนิดที่สามารถหาได้ตามตลาด supermarket ทั่วไป
3. Wal-Mart Neighborhood Markets เป็นร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่อยู่ใน Wal-Mart Supercenters เพื่อกระจายสินค้าอาหารของบริษัทฯ
4. SAM'S CLUB ดำเนินธุรกิจเสนอขายสินค้าในราคาส่งสำหรับใช้ในธุรกิจ และขายปลีกแก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิก
ร้านค้าปลีกในระบบอี-คอมเมิร์ซเพิ่งจะเกิดขึ้นในปี 2000 โดยใช้ชื่อว่า http://walmart.com มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก ส่วนร้านค้าปลีกประเภท Specialty stores คือ Tire & Lube Express Division (TLE), Wal-Mart Pharmacy และ Wal-Mart Vacations
นโยบายการบริหารจัดการของ วอล-มาร์ท เพื่อช่วงชิงความเป็นเจ้า โดยขายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด
ปัจจัยที่ทำ วอล-มาร์ท ขายสินค้าได้ต่ำกว่าราคาท้องตลาดโดยทั่วไปประกอบไปด้วย
1. การใช้ระบบห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และระบบโลจิสติก (logistic) ที่มีประสิทธิภาพ
2. ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งมีระบบสื่อสารดาวเทียมเป็นของตนเอง สนับสนุนระบบห่วงโซ่อุปทาน และระบบโลจิสติก และการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
3. การกดดันผู้ผลิตสินค้าให้ตนเอง โดยใช้ วอล-มาร์ท เป็นตัวแทนจำหน่าย
นโยบายการบริหารจัดการของ วอล-มาร์ท เพื่อช่วงชิงความเป็นเจ้า โดยการปัดภาระค่าใช้จ่ายมาที่ Suppliers
- เก็บค่าแรกเข้า (Entrance fee) มีการเก็บค่าวางสินค้าแรกเข้า
- กำหนดอัตราแบ่งผลกำไรขั้นต่ำจากการขายสินค้า (Rebate) เครือข่ายยักษ์ค้าปลีกเหล่านี้มักเรียกเก็บในอัตรา ประมาณร้อยละ 0.5-3.0 ของยอดขายต่อปี โดยโรงงานผู้ส่งต้องประกันยอดอัตราผลกำไรจากการขายขั้นต่ำไว้ในสัญญาด้วย เช่น สัญญากำหนดอัตราผลกำไรจากการขายสินค้าไว้ที่ร้อยละ 2 ของยอดขาย โดยประกันว่าจะขายสินค้าได้ไม่น้อยกว่า 100,000 หน่วยต่อปี ถ้าสินค้านั้นขายได้น้อยกว่า 100,000 หน่วย ก็ต้องจ่ายอย่างน้อย ร้อยละ 2 ของจำนวน 100,000 หน่วย ถ้าขายได้มากกว่า ก็ต้องจ่ายเพิ่มในอัตรานั้นอีก
- ค่ากระจายสินค้า (Distribution fee) คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังสาขา เครือข่ายยักษ์ค้าปลีกจะเรียกเก็บค่ากระจายสินค้าจากโรงงานผู้ผลิตคิดเป็นร้อยละของยอดขาย
4. ค่าลงโฆษณา ในแผ่นพับ ใบปลิว หรือ วารสารแนะนำสินค้า ที่วางแจก จ้างคนแจก ส่งไปตามไปรษณีย์ เพื่อดึงคนซื้อ หรือ เพิ่มยอดขายให้กับสินค้านั้นๆ
5. ค่าการจัดรายการพิเศษ วอล-มาร์ท มักจะมีการจัดลดพิเศษสุดๆ ชนิดที่เห็นราคาแล้วไม่ซื้อก็เปรียบเสมือนการทำบาป ปีละ 4 ครั้ง โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่าย จากโรงงานที่เข้าร่วมรายการในอัตรา 250,000 บาทต่อ SKU ต่อปี อัตราค่าใช้จ่ายนี้ ได้รวมการลงโฆษณาในแผ่นพับที่ส่งทางไปรษณีย์ 2 ครั้ง และพื้นที่ในการจัดสินค้าหน้าแถว
นโยบายการบริหารจัดการของ Wal-Mart ภาพรวมการเจริญเติบโตของ Wal-Mart
ปี |
ยอดขาย
(ล้านดอลลาร์) |
กำไรสุทธิ
(ล้านดอลลาร์) |
จำนวนสาขา
(แห่ง) |
ร้อยละของ
กำไรต่อยอดขาย |
1960 |
1.4 |
0.112 |
6 |
8.00 |
1970 |
31 |
1.2 |
32 |
3.87 |
1980 |
1,200 |
41 |
276 |
3.42 |
1990 |
2,6000 |
1,000 |
1,528 |
3.85 |
1995 |
93,627 |
2,740 |
2,945 |
2.92 |
1998 |
139,208 |
4,430 |
3,599 |
3.18 |
1999 |
166,809 |
5,377 |
3,989 |
3.22 |
2000 |
191,329 |
6,295 |
4,190 |
3.29 |
ตารางแสดง ยอดขาย กำไรสุทธิ จำนวนสาขา และร้อยละของอัตราต่อยอดขายของ Wal-Mart (ที่มา : "Sam Walton : made in America " - Sam Walton และ John Huey)
แม้ในทศวรรษแรกของการดำเนินการจะเติบโตช้าๆ เพราะเน้นกลยุทธ์ในการใช้ผลกำไรหรือขายหุ้นสามัญเพื่อนำมาขยายกิจการมากกว่ากู้เงินจากสถาบันการเงิน แต่ด้วยยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้ วอล-มาร์ท สามารถขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 1978 เมื่อวอล-มาร์ทตัดสินใจลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลในการวางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อลดต้นทุนการดำเนินการด้านสินค้าคงคลังและระบบขนส่ง ได้ส่งผลให้วอล-มาร์ท สามารถขยายสาขาอย่างมากมาย จาก 32 แห่งในปี 1970 เป็น 276 และ 1,528 แห่ง ในปี 1980 และ 1990 ตามลำดับ และมียอดขายและกำไรสุทธิต่อปีเพิ่มขึ้นมากกว่าปีละ 200% และนับตั้งแต่ปี 1990 วอล-มาร์ท ก็สามารถทำยอดขายได้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการ วอล-มาร์ทมีแนวโน้มของอัตรากำไรต่อยอดขายในสัดส่วนลดลงมาโดยตลอด จนมาถึงจุดต่ำสุดที่ร้อยละ 2.92 ในปี 1995 หลังจากนั้นอัตรากำไรก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (3.18, 3.22, 3.29 ในปี 1998, 1999, 2000 ตามลำดับ) การปรับตัวขึ้นสูงขึ้นของอัตรากำไรต่อยอดขายนี้มีเหตุผลที่น่าตั้งเป็นข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นได้เพียง 3 ประการ คือ หนึ่ง สินค้าที่วอล-มาร์ทผลิตขึ้นเอง มียอดขายสูงขึ้นมากจนทำให้สัดส่วนกำไรต่อยอดขายของบริษัทสูงขึ้น สอง การทุ่มตลาดสามารถ "ฆ่า" คู่แข่งขันได้อย่างสำเร็จแล้ว เมื่อหมดคู่แข่งขันทางการตลาดก็สามารถกำหนดอัตรากำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้นได้ สาม ตลาดต่างประเทศที่วอล-มาร์ทเข้าไปลงทุนเปิดกิจการ บางประเทศสามารถสามารถกำหนดกำไรต่อยอดขายได้สูงกว่าสาขาในประเทศ การขยายสาขาในต่างประเทศมากขึ้นจึงช่วยทำให้สัดส่วนกำไรต่อยอดขายเพิ่มสูงขึ้นด้วย
ทั้งนี้ในด้านหนึ่ง วอล-มาร์ท ได้รับการยกย่องว่าเป็นการสร้างทางเลือกและวัฒธรรมการบริโภคสินค้าราคาถูกให้แก่ชาวอเมริกัน ส่วนในอีกด้านหนึ่งที่บ่อยครั้ง วอล-มาร์ท มักจะถูกคนอเมริกันและท้องถิ่นอื่นๆ ที่ห้างนี้ย่างกรายไปหา ต่อต้านและประณามก็คือ การโจมตีร้านค้ารายย่อยในท้องถิ่น, เข้าไปเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้นๆ, สวัสดิการแรงงานที่ไม่ค่อยดีนัก, ดูดความมั่งคั่งจากท้องถิ่นไปยังถิ่นอื่น, รวมถึงการพยายามผูกขาดการแข่งขันเสรีโดยการใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรม ... และนี่คือวิธีการหลักของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเกือบทุกเจ้า
0 0 0
... 2 เดือนผ่านไป กับสถานการณ์ที่ Big C ลำพูน
ปรากฏการณ์
... ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ห้างค้าปลีกรายใหญ่อย่าง บิ๊กซี (Big-C) ได้เปิดสาขาที่ 50 อย่างเป็นทางการ ด้วยพื้นที่ 6,119 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 3,183 ตารางเมตร ซึ่งเป็นสาขาแรกที่นำไซต์ระดับกลาง มานำเสนอเป็นรูปแบบ 2 ชั้น
ซึ่งโดยปกตินั้นไซต์ระดับกลางของบิ๊กซีจะมีเพียงชั้นเดียว โดยชั้นล่างเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่กว่าปกติ และชั้นสองเป็นซุปเปอร์สโตร์ ซึ่งมีร้านค้าครบครันและทันสมัย อาทิ ซุปเปอร์ยำ, ร้าน สุกี้ MK., KFC., S&P, เดรี่ควีน, มิสเตอร์โดนัส, สเว่นเซ็นส์, ร้านผื้งน้อยเบเกอรี่, กาแฟวาวี, ร้านแม่วังสื่อสาร, ธนาคารไทยพาณิชย์ ฯลฯ
โดยบิ๊กซีสาขาล่าสุดนี้ตั้งอยู่ ณ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน และความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของบิ๊กซีสาขานี้ก็คือ เป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ที่มีหนุ่มสาวชาวนิคมฯ กว่าหมื่นคนเป็นลูกค้าเป้าหมาย --- ซึ่งบิ๊กซีสาขานี้ใช้เงินลงทุนกว่า 350 ล้านบาท
กลยุทธ์เบื้องต้น ที่บิ๊กซีนำมาใช้รับมือกับการ "ก่นด่าและต้านทาน" จากเหล่านักต่อต้านโลกาภิวัตน์, นักชาตินิยม รวมถึงนักพอเพียงนิยม นั่นก็คือนโยบายในการชำระภาษีคืนกลับสู่ชุมชนรูปแบบภาษีท้องถิ่น, สนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่น (แหะๆ แต่ตอนนี้บิ๊กซีลำพูนนี้มีพนักงานทั้งสิ้น 211 คนเอง ;-) และในช่วงเปิดสาขานี้ ได้จัดงาน "แอ่วกาดคนเหนือ" ระหว่าง 2 - 30 พ.ค.50 สนับสนุนสินค้า OTOP ของภาคเหนือ --- แต่เชื่อเหอะ แค่นี้ไม่พอหรอก!
ส่วนกลยุทธ์ที่นำมาใช้ในครั้งแรกเริ่ม ก็คือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายพิเศษ เช่น ซื้อสินค้าที่บิ๊กซีครบทุก 400 บาท ลุ้นรับตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวันๆ ละ 2 รางวัล, ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตบิ๊กซีหรือบัตรเครดิตซิตี้แบงก์รับคูปองเพิ่มอีก 1 ใบ รวมถึงสินค้าตัดราคาต่างๆ เป็นต้น
และในช่วงเดือนที่บิ๊กซีลำพูนเปิดใหม่นั้น ก็ได้รับการต้อนรับจากชาวลำพูนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง!
เสียงจากรายย่อยรอบข้าง, พนักงานบิ๊กซี และผู้บริโภค
ถนนและร้านรวงในแถวสันป่าฝ้าย, ร้านค้าของลุงสังข์, ร้านมือถือของพี่หมวย และห้าง Big - C ลำพูน
วันที่ 19 มิ.ย. 50 ผู้เขียนได้ลงไปสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงห้างบิ๊กซีลำพูน และข้างในห้าง ..
ตรงข้ามกับห้างบิ๊กซีลำพูน คือย่าน "สันป่าฝ้าย" ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ สำหรับชาวหนุ่มสาวนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ผู้เขียนได้ลองไปพูดคุยกับคนค้าขายในแถบนี้
พี่หมวยเจ้าของร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงเมื่อห้างบิ๊กซีเปิดใหม่และร้านมือถือข้างในห้างมีโปรโมชั่นตัดราคา แต่ตอนนี้ก็เข้าสู่สภาพปกติแล้ว สิ่งที่กลัวก็คือการตัดราคาแบบที่ห้างเปิดใหม่ๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ
"สอง สามวันแรก ร้านมือถือแถวนี้ (สันป่าฝ้าย) เงียบไปหมดเลย เพราะคนอยากไปดูของใหม่ๆ ถูกๆ ในห้าง" ---พี่หมวยกล่าว
ส่วนร้านก๋วยเตี๋ยวและร้านอาหารตามสั่ง จากการเข้าไปพูดคุยพบว่า ยอดขายโดยเฉพาะหนุ่ม-สาว นิคม นั้นลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะหนุ่มสาวนิคมหันไปบริโภคอาหารจานด่วนในห้าง
"พวกนิคม หายกันไปมาก เมื่อก่อนถ้าเลิกงานหรือพัก แถบนี้ก็แทบจะเต็มหมด เดี๋ยวนี้ลดลงไปมาก เขาเข้าห้างกัน" เจ้าของร้านอาหารตามสั่งท่านหนึ่งกล่าว
ทางด้านร้านโชห่วยต่างๆ ก็บอกถึงผลกระทบบ้าง ไม่กระทบบ้าง โดยลุงสังข์ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านโชห่วยและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 สันป่าฝ้าย กล่าวว่า "ลูกค้าก็ยังไม่หนีไปไหน เขาซื้อของชิ้นสองชิ้น คงไม่เสียเวลาเข้าไปที่ห้างกันหรอก"
แต่ลุงสังข์คงจะดูแคลนกลยุทธ์ทางการตลาดของห้างใหญ่ๆ เกินไป เพราะจากการเข้าไปสำรวจในห้าง บิ๊กซี และได้พูดคุยกับ พนักงานของร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่ง พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยน โดยช่วงพักเที่ยง เสาร์-อาทิตย์ คนจะเยอะมากจากนิคมฯ เข้ามาใช้บริการตรงฟู้ดเซนเตอร์ ร้านฟาสฟู้ดต่างๆ
รวมถึงลูกค้าของห้างบิ๊กซีท่านหนึ่งที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม บอกว่าเมื่อก่อนตอนสิ้นเดือนนั้นก็มักจะไปเที่ยวและซื้อของจากห้างบิ๊กซี หรือโลตัส ที่เชียงใหม่ โดยเป็นการซื้อของใช้ไว้เข้าห้องพัก ตอนนี้รู้สึกประหยัดเงินและเวลาที่ไม่ต้องไปไกล ส่วนร้านโชห่วยนั้น ก็จะเป็นการซื้อแบบฉุกละหุกไม่ได้วางแผนซื้อล่วงหน้า และไว้ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
"คงจะต้องเลือกซื้อของที่ถูกใจ ราคาถูก และมีคุณภาพ เพราะบางเดือนรายได้เราไม่ได้มีมากนัก" เธอกล่าวปิดท้าย
ทุนท้องถิ่นปะทะทุนภายนอก
ทางด้านนายทุนผู้ประกอบการค้าปลีกท้องถิ่นเมืองลำพูน ก็ได้ออกมาโอดครวญถึงยอดขายสินค้าตกฮวบลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
นางอัญเชิญ วงศ์มณีรุ่ง เจ้าของห้างสรรพสินค้าแจ่มฟ้าพลาซ่าจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า หลังจากบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เปิดบริการในพื้นที่ย่านนิคมอุตสาหกรรมลำพูน เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ยอดการขายสินค้าของห้างลดลงกว่า 50% โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค บริโภค เสื้อผ้า และอาหารสด แม้ว่าที่ผ่านมาทางห้างจะพยายามจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างเต็มที่เพื่อแข่งขันกับโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถสู้ได้ เนื่องจากต้นทุนสินค้าสูงกว่ามาก
"ทุกวันนี้เราจัดรายการส่งเสริมการขายสู้โมเดิร์นเทรดเต็มที่ บ่อยครั้งถึงขนาด ซื้อ 1 แถม 1 แต่ก็ยังสู้กลยุทธ์ของโมเดิร์นเทรดไม่ได้ หากสถานการณ์ยังเป็นอยู่แบบนี้เชื่อว่า ระบบค้าปลีกของคนท้องถิ่นลำพูนคงหมดไปในอีกไม่นาน" นางอัญเชิญ กล่าว
ส่วนนายณรงค์ ธรรมจารี เลขาธิการ หอการค้าจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ภายหลังที่มีโมเดิร์นเทรดเปิดบริการในพื้นที่ลำพูน ส่งผลกระทบกับค้าปลีกในท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด โดยร้านค้าที่ได้รับผลกระทบชัดเจน อาทิเช่น ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าย่านนิคมอุตสาหกรรมเมืองลำพูน พบว่า มียอดขายลดลงเฉลี่ยร้อยละ 30-40 และผู้ประกอบการในตลาดสดทั่วไปขายสินค้าได้น้อยลงร้อยละ 20-30
"โมเดิร์นเทรด มีความได้เปรียบผู้ประกอบการท้องถิ่นทุกด้าน โดยเฉพาะกลยุทธ์การดึงดูดผู้ซื้อ ดังนั้นแม้ผู้ค้ารายย่อยจะพยายามส่งเสริมการขายก็สู้ไม่ได้ ดังนั้นจะเห็นผู้ประกอบการตามอาคารพาณิชย์ต่างๆ ค่อยๆ หายไปในอนาคตอันใกล้นี้" (ที่มา : ค้าปลีกลำพูนร้อง"บิ๊กซี"ทำยอดขายตก )
... ปัญหาโลกแตกอีกอย่างของการวิจารณ์ร้านค้าปลีกรายใหญ่ก็คือ ถ้าไม่สนับสนุนทุนข้ามชาติแล้ว ตัวเลือกที่เหลือก็คือนายทุนไทย นายทุนท้องถิ่น และยี่ปั๊ว ต่างๆ ... แล้วมันจะมีประโยชน์หรือมีค่ามากน้อยกว่าทุนข้ามชาติแค่ไหน เพราะบางทีนายทุนไทย นายทุนท้องถิ่น ยังอาจล้าหลังและไม่ได้คืนอะไรให้กับสังคมเรามากกว่าทุนข้ามชาติเหล่านั้นเสียอีก !
0 0 0
>>บทสรุปสำหรับแรงงาน-ผู้บริโภค และผู้ค้ารายย่อย
|
.
ข้อมูลประกอบการเขียน
ลงพื้นที่สำรวจบริเวณห้างบิ๊กซี สาขาลำพูน 19 มิถุนายน 2550
บิ๊กซีทุ่ม 350ล.มัดใจชาวลำพูน (ฐานเศรษฐกิจ 6 พฤษภาคม 2550)
ยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติกับการฆ่าผู้ค้าปลีกรายย่อย" (เศรษฐศาสตร์การเมืองฉบับจากทุนผูกขาดสู่วินาศกรรม)
"FORBES Greatest Business Stories of All Time" - Daniel Gross