Skip to main content
sharethis





การเมือง


จ.ม.จาก"เครือข่าย19กันยาฯ" ชี้แจง"สดศรี สัตยธรรม"
มติชน -
นางสดศรี สัตยธรรม ส.ส.ร.และกรรมการการเลื อกตั้ง (กกต.) ชี้แจงกรณีโฆษณาของ "เครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร" ในหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 11 กรกฎาคม 2550 ว่ามีลักษณะพาดพิงและหมิ่นประมาทเธอและ ส.ส.ร.นั้น ข้าพเจ้าในฐานะผู้ปฏิบัติงานคนหนึ่งของเครือข่าย 19 กันยาฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำประชาสัมพันธ์ และประสานงานกับหนังสือพิมพ์มติชน ขอเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้

1.นางสดศรี สัตยธรรม กล่าวถูกต้องว่า "หนังสือพิมพ์ไม่ว่าฉบับใดก็ตามไม่มีสิทธิที่จะหมิ่นประมาท เอาสิ่งที่ไม่จริงมาพูด" แต่การสัมภาษณ์ของนางสดศรี ที่กล่าวถึงเครือข่าย 19 กันยาฯ เมื่อมีการออกมารณรงค์ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญว่า "หากร่าง พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติมีผลบังคับใช้ การกระทำดังกล่าวอาจผิดกฎหมายได้ โดยในมาตรา 10 ของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวห้ามไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะทำให้การออกเสียงประชามติเกิดปัญหา อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หาก พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ การโฆษณาต่างๆ จะต้องหยุดลงทันทีโดยโทษสูงสุดของการกระทำผิดนั้นรุนแรงถึงขั้นเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและยุบพรรคการเมืองได้" (มติชนรายวัน, 3 กรกฎาคม 2550) นั้นไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากถือว่าเป็นการ "ข่มขู่" ผู้ที่ออกมารณรงค์ ซึ่งในประเด็นนี้ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "การออกเสียงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนทุกคน ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย การรณรงค์ให้บุคคลอื่นไปใช้สิทธิออกเสียงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น และสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างหนึ่ง กรณีนี้เป็นการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ที่นำมาให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ไม่ใช่การล้มล้างรัฐธรรมนูญ จึงไม่ผิดกฎหมาย"

2.การที่นางสดศรี สัตยธรรม กล่าวถึงหนังสือพิมพ์มติชนในฐานะผู้ที่รับโฆษณาจากเครือข่าย 19 กันยาฯ ว่า "ท่านจะลงโฆษณาสินค้าหรืออะไรก็ตาม ท่านต้องระมัดระวังในการลงโฆษณา ขอให้ช่วย อย่าให้เกิดความแตกแยก ในฐานะ กกต. และ ส.ส.ร. การลงอย่างนี้จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างยิ่ง" นอกจากข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยและขอยืนยันสิทธิในการรณรงค์แล้ว ข้าพเจ้ายังเห็นว่าการกระทำของ ส.ส.ร.และเครือข่ายของคณะรัฐประหารนั่นเองที่สร้างความแตกแยกรวมไปถึงการหลอกลวง เช่น การใช้สถานีวิทยุในสังกัดกองทัพ ออกอากาศเพลงเชิญชวนให้ประชาชนออกเสียงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสฉลองพระชนมพรรษา 80 พรรษา หรือการที่ ส.ส.ร.ออกโฆษณาครั้งแรกว่า "รวมพลัง ลงประชามติ "เห็นชอบ" รัฐธรรมนูญใหม่ ให้เมืองไทยมี "การเลือกตั้ง"" นั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวง เพราะแม้ประชามติไม่ผ่าน ประเทศไทยก็มีการเลือกตั้งและสามารถทำให้การเลือกตั้งไม่ล่าช้าด้วย

3.การที่นางสดศรี สัตยธรรม กล่าวว่า "ท่านก็ลงโฆษณาให้ฝ่ายที่ต่อต้าน ไม่เคยมีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ลงแบบนี้เลย มีมติชนฉบับเดียวลงแบบนี้" ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่าส่วนหนึ่งเป็นปัญหาของเครือข่าย 19 กันยาฯ เองที่เรามีงบประมาณอันจำกัด แต่นั่นก็สะท้อนถึงความ "ใจกว้าง" ของหนังสือพิมพ์มติชนเองที่เป็นสื่อกลางให้ความเห็นที่แตกต่างได้ปฏิสังสรรค์กัน และนี่จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การ "สมานฉันท์" คนที่พูดเช่นนี้สะท้อนถึงลักษณะอำนาจนิยมที่มีอยู่ในตัวเองซึ่งเป็นอันตรายต่อการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในอนาคต

นายธนาพล อิ๋วสกุล


 


องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย จะจัดเวทีแสดงความคิดเห็นเรื่องร่างรธน.ฉบับใหม่


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย หรือ พีเน็ต และองค์กรพันธมิตรเตรียมจัดเวทีแสดงความเห็น หรือ ดีเบต ระหว่างผู้แทนฝ่ายสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ประกอบด้วยนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสสร. นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ  และนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เลขานุการกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประกอบด้วยนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้ากลุ่มไทยรักไทย ในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ ณ หอประชุมบ้านมนังคศิลา ทั้งนี้ เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายโต้แย้งเชิงวิชาการถึงเหตุผลของแต่ละฝ่ายให้สาธารณชนได้รับทราบ โดยจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถ่ายทอดสดการดีเบตในครั้งนี้


  


กกต.เร่งประชาสัมพันธ์วันออกเสียงประชามติร่าง รธน.  "อภิชาติ" ระบุ"สดศรี- ประพันธ์" คงไม่ต้องลาออกจาก กมธ.ยกร่างฯ เพราะใกล้หมดภารกิจส.ส.ร.แล้ว


แนวหน้า - นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการออกเสียงประชามติ เพื่อรับทราบถึงการเตรียมความพร้อมการจัดออกเสียงประชามติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขณะนี้ได้มีการสรุปหน่วยออกเสียงประชามติเบื้องต้นว่าจะมีทั้งสิ้น 87,743 แห่ง ผู้มีสิทธิออกเสียง 45.6 ล้าน ซึ่งกกต.อยู่ในระหว่างการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่จะจัดพิมพ์บัตรออกเสียงประชามติ และจะมีการจัดพิมพ์บัตรออกเสียงประชามติรวมทั้งสิ้น 49.5 ล้านฉบับ โดยในจำนวนนี้รวมถึงบัตรสำรองที่จะต้องจ่ายให้กับแต่ละหน่วยออกเสียงและบัตรที่จะใช้ในหน่วยเลือกตั้งกลางซึ่งขณะนี้มีทั้ง 134 แห่ง



 


นอกจากนี้ยังมีการอ้างผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่พบว่าจำนวนร้อยละ 62 % ยังไม่ทราบว่าจะมีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกของไทย ประกอบกับจากการเดินสายของกกต.ไปยังจังหวัดต่างๆ พบว่าจนถึงขณะนี้ประชาชนที่อาศัยอยู่นอกเขตที่ตนมีภูมิลำเนายังมายื่นขอใช้สิทธินอกเขตจังหวัดที่กกต.เปิดให้มีการลงทะเบียนของใช้สิทธินอกเขตจังหวัดในระหว่างวันที่ 10-19 ก.ค.นี้ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้จะมีการมุ่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนให้มาใช้สิทธิให้มากโดยงบประชาสัมพันธ์จำนวนประมาณ 124 ล้านบาท โดยจะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทีวี 70 ล้าน สื่อสิ่งพิมพ์ 6.5 ล้าน  สื่อวิทยุ 18.5 ล้าน และสื่ออื่น 27.6 ล้านบาท และได้มีการขอความร่วมมือไปยัง "ถั่วแระ เชิญยิ้ม" นายกสมาคมนักแสดงตลกแห่งประเทศไทย ในการที่ขอให้นักแสดงตลกเข้ามาช่วยรณรงค์ด้วยโดยนายถั่วแระ รับที่จะประสานให้นักแสดงตลกใช้มุขเคาะหัว " 19 ส.ค. อย่าลืมไปออกเสียง" ซึ่งคาดว่าจะเข้าถึงและทำให้ประชาชนได้รับทราบมากยิ่งขึ้น



 


ด้านนายอภิชาต ให้สัมภาษณ์แสดงความเป็นห่วงกับการที่ประชาชนยังไม่ทราบว่าจะมีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรมนูญ ซึ่งก็จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้มากที่สุด และขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ช่วยด้วย ขณะเดียวกันก็ได้กำชับพนักงานกกต.ในการณรงค์ว่าขอให้เชิญชวนประชาชนมาใช้สิทธิเพียงอย่าเดียว ในเรื่องเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นหน้าที่ของส.ส.ร. เพราะมิฉะนั้นก็จะถูกกล่าวหาเรื่องเป็นกลางได้



 


ส่วนที่กกต.2 คนเข้าไปเป็นกรรมาธิการยกร่างฯอาจทำให้มีการร้องให้ผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ นายอภิชาต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กกต.ทั้ง 2 คนที่เป็นกรรมาธิการฯต้องระมัดระวัง และคงต้องมาคุยกันว่าเราจะดำเนินการในฐานะเป็นกกต.ได้แค่ไหน   สำหรับที่มีการเสนอให้กกต.ทั้ง 2 คนลาอกจากการเป็นกรรมาธิการยกร่างฯเพื่อมาทำหน้าที่กกต.เพียงอย่างเดียวนั้น ก็เห็นว่า เป็นเรื่องที่ทั้ง 2 คนต้องตัดสินใจเอง แต่ขณะนี้ก็ใกล้จะหมดหน้าที่ในฐานะส.ส.ร.แล้ว และการยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ที่เป็นกรรมาธิการยกร่างก็ไม่ได้เข้าไปร่วมยกร่างด้วย  ดังนั้นภารกิจนับจากนี้ของ 2 กกต. ก็จะเป็นการทำหน้าที่ในฐานะกกต.  จึงเห็นว่าคงไม่ต้องถึงขนาดลาออกจากเป็นกรรมาธิการยกร่างฯ



 


"สายหยุด" เตือน "บิ๊กบัง"อยากสงบหลังเกษียณต้องไม่เอาอำนาจมาใช้ แนะดู ตัวอย่างจาก รสช.


เดลินิวส์ - พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อาจจะพิจารณาลงเล่นการเมือง ว่า รู้สึกวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนเคยเป็นทหารมาก่อน ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไรมักจะมีผลประโยชน์ในแง่คนรู้จัก  ถ้าเราจะใช้บุญบารมีเก่ามาเล่นการเมือง สิ่งเหล่านั้นไม่ยุติธรรมเป็นการเอาเปรียบบุคคลอื่น การปฏิบัติหน้าที่จะไม่ตรงกับหน้าที่ เพราะต้องหาพรรคพวกก่อนเกษียณ มีการโยงใยต้องตอบแทนบุญคุณกัน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งชัดแต่ก็เชื่อได้ว่าจะมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น



"ถ้าหากว่ามีความคิดเล่นการเมืองก็จะยุ่งตั้งแต่อยู่ในหน้าที่ เพราะต้องคิดตอบแทนบุญคุณไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทั้งนี้ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนชวนทหารไปเล่นการเมืองหรือให้ไปเป็นหัวหน้าพรรค เพราะต้องการเสริมบารมีที่มีอยู่ในหน้าที่ ถึงออกไปแล้วก็ยังมีอยู่ เพราะคนที่เล่นการเมืองจะต้องวางหมาก ให้ลูกน้องเป็นใหญ่ในที่ต่างๆ ตั้งไว้ก่อนในช่วงโยกย้าย สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีหลักคุณธรรม ถ้ารักกองทัพ ถ้ารักทหารจริงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ ทหารต้องหนักแน่น ไม่ต้องกลัวมีแผลว่าใครมาทำอะไร" พล.อ.สายหยุด กล่าว



 


พล.อ.สายหยุด กล่าวด้วยว่า ถ้าต้องการชีวิตที่มีความสงบสุขหลังเกษียณอายุราชการ ต้องการให้สถาบันทหารเข้มแข็ง ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับทหารหลังเกษียณ ไม่เอาบารมี เอาอำนาจที่เคยมีอยู่มาใช้ทางการเมือง แต่สิ่งที่เป็นห่วงขณะนี้คือ คำตอบของ พล.อ.สนธิ ที่ไม่มีความหนักแน่น และไม่ตรงประเด็น ดังนั้นหากตัดสินใจอย่างไร ขอให้พูดอย่างหนักแน่นพูดให้ชัด เพราะเล่นการเมืองไม่ใช่ของง่าย ตอนนี้คนสงสัยว่าจะตัดสินใจอย่างไร ที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นสมัยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)



 


ผบ.สส.ระบุ พล.อ.สนธิ มีสิทธิลงเล่นการเมืองได้แต่หลังเกษียณ พร้อมระบุไม่ห่วงการคว่ำ รธน.เชื่อ ปชช.ส่วนใหญ่เข้าใจ


กรมประชาสัมพันธ์ - พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. กล่าวว่า พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกและประธาน คมช.มีสิทธิลงเล่นการเมืองได้หลังเกษียณอายุราชการ เนื่องจากไม่ได้สวมเครื่องแบบทหารแล้ว ประกอบกับไม่ได้มีกฎหมายข้อใดห้ามไว้ แต่เชื่อว่า ไม่ไช่เป็นการสืบทอดอำนาจตามที่หลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกต อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบรรดา สมาชิก คมช. ยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้



 


จำคุก 1 ปี ผบ.ตร."โกวิท วัฒนะ " ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ยอมให้อดีตผู้บัญชาการประจำ ตร. เข้าโครงการเออร์รี่ รีไทร์ ศาลปรานีให้รอลงอาญา 2 ปี


แนวหน้า - ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง วันที่ 12 ก.ค. 50 ศาลมีคำพิพากษาคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในคดีที่ พล.ต.ท.นิสัย  บุญศิริ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายจำนวน 70 ล้านบาท โดยโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า



 


สำนักงานตำรวจแหงชาติ(สตช.)ได้เปิดโครงการก่อนเกษียณอายุราชการ(เออร์รี่ รีไทร์) และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมโครงการ แต่ฝ่ายบริหารงานบุคคลของ สตช.พิจารณาเบื้องต้นแล้วไม่อนุมัติ เนื่องจากเห็นว่าโจทก์มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน และเสนอเรื่องให้จำเลยพิจารณา ซึ่งจำเลยก็มีความเห็นตาม เพราะเห็นว่าจำเลยถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อย่างไรก็ตามทั้งศาลจังหวัดสมุทรปราการและศาลอุทธรณ์ต่างมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา  ต่อมาโจทก์จึงนำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ไม่อนุมัติให้โจทก์เข้าโครงการดังกล่าว ซึ่งศาลปกครองกลางก็มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยในเวลาต่อมา เพราะเห็นว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย  จำเลยให้การปฏิเสธ



 


ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ  ส่วนข้ออ้างจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี อย่างไรก็ตามจำเลยเคยประกอบคุณความความดีระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี



 






เศรษฐกิจ


เผยยอด บ.เจ๊งปีนี้กว่า 8 พันแห่ง-ไทยศิลป์ฮึดสู้!ชี้บาททำพิษ


ผู้จัดการรายวัน - โรงงานไทยศิลป์ฯ ฮึดสู้ ประกาศเปิดดำเนินกิจการต่อ เริ่มเดินเครื่องวันนี้ เจ้าของเปิดใจทั้งน้ำตาต้นเหตุมาจากค่าเงินบาทที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง ด้านประกันสังคมเผยยอดสถานประกอบการเจ๊งปีนี้พุ่งกว่า 8 พันแห่งและมีการเลิกจ้างเฉียด 6 หมื่นคน ด้านกระทรวงอุตฯ สั่งเช็ครง.สิ่งทอเสี่ยงปิดกิจการ รับความผันผวนของค่าเงินบาทนั้นทำให้ลำบาก ส่วนคลัง-แบงก์ชาติปัดไม่เกี่ยวบาทแข็งนักวิชาการเตือนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ฟ้าได้รับผลกระทบเป็นรายต่อไปขณะที่โรงงานรองเท้าไต้หวันปิดตัวอีกราย


 


นายกฯ ยืนยัน รัฐบาลติดตามการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - จากกรณีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาท พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้ความมั่นใจกับผู้ประกอบการและนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ที่วิตกกังวลกับการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากในขณะนี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ของเงินทุนระยะสั้น ขณะที่มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเป็นหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่ดูแลรับผิดชอบอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ขอให้นักลงทุนเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์


 


พาณิชย์เชื่อเงินบาทแข็งค่าเป็นช่วงระยะสั้น


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า   สาเหตุหลักที่เงินบาทแข็งค่า เป็นเพราะเงินไหลเข้าตลาดหุ้นค่อนข้างมาก และยังเชื่อว่าเป็นสถานการณ์ระยะสั้น เมื่อผ่านพ้นไป 1 เดือน สถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในระยะสั้นบริษัทขนาดกลางและเล็กของไทยที่มีมีเงินทุนไม่มากอาจจะประสบปัญหาแต่เชื่อว่าเป็นเพียงสถานการณ์ระยะสั้น และผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัว และเป็นไปไม่ได้ที่มีการเรียกร้องอยากให้ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ   เพราะค่าเงินจะต้องมีทั้งอ่อนค่าและแข็งค่าตามภาวะตลาดโลก แต่ในความเดือดร้อนของผู้ประกอบการไทย หน่วยงานภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้บริหารของกระทรวงฯ จะร่วมประชุมหารือกับภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งเชื่อว่าเอกชนจะมีการเสนอแนวทาง และไม่เพียงกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น คงต้องมีการเสนอแนวทางแก้ไขในหลายกระทรวง เพื่อลดผลกระทบให้กับผู้ส่งออก


 


         






คุณภาพชีวิต


เปิดใจสาวโรงงาน'ไทยศิลป์'หลังรู้ข่าวถูกลอยแพ


กรุงเทพธุรกิจ - นางนันทา บุญเพชร อายุ 33 ปี พนักงานแผนกตัดเย็บ บริษัทไทยศิลป์ อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต ซึ่งตั้งอยู่เลขที่79 ม.14 ซอยกิ่งแก้ว 38 ถนน กิ่งแก้ว-ลาดกระบัง ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี สมุทรปราการ เปิดเผยหลังจากที่ถูกทางบริษัทเลิกจ้างว่า ตนเองได้รับความเดือดร้อนมาก เนื่องจากสามี ซึ่งได้ทำงานอยู่ที่บริษัทเดียวกัน ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันเพราะทุกๆ เดือนตนเองต้องส่งเงินให้กับบิดาและมารดาที่อยู่ต่างจังหวัดเป็นเงินถึงเดือนละ 4-5 พันบาททุกเดือน


"ถ้าบริษัทฯเลิกจ้างแบบนี้ ชีวิตข้างหน้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป พ่อและแม่ของหนูก็อายุมากแล้ว แถมยังมีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเลี้ยงดูบุตรอีก 2 คน ซึ่งกำลังเรียนหนังสือหนังสืออยู่ และยังต้องหาเงินมาใช้หนี้ ธกส. อีก เพราะปีที่ผ่านมา ได้ทำการกู้เงินจาก ธกส.มาจำนวน 5 หมื่นบาท เพื่อนำไปปลูกหอมแดง แต่ปรากฏว่า ในปีนี้ราคาผลผลิตตกต่ำเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องประสบปัญหาการขาดทุน นอกจากนี้ยังต้องหาเงินส่งค่าห้องที่อยู้อาศัยด้วย เพราะตนเองได้เดินทางมาจาก จ.อุตรดิษถ์ เพื่อมาหางานทำที่ จ.สมุทรปราการ โดยจะต้องหาที่พัก เพื่อทำงาน ทำให้ตนเองและสามีเกิดความเครียด"


         






ต่างประเทศ


อดีตสตรีหมายเลข1 ของสหรัฐถึงแก่อสัญกรรม


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - เลดี้ เบิร์ด จอห์นสัน ภริยาของอดีตประธานาธิบดีลินดอน บี จอห์นสัน ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา ที่เมืองออสตินในสหรัฐ ขณะมีอายุได้ 94 ปี แถลงการณ์ของครอบครัวจอห์นสันระบุว่า ร่างของเลดี้จอห์นสัน ซึ่งเคยได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นทั้งมันสมองและกำลังทรัพย์ของอดีตประธานาธิบดีจอห์นสัน จะถูกนำไปไว้ที่ห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์แอลบีเจในเมืองออสติน รัฐเทกซัสในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่ครอบครัวของเธอจะจัดพิธีศพเป็นการภายใน ให้แก่เธอในวันเสาร์ (14 ก.ค.) และจะมีพิธีฝังศพที่สุสานสโตนวอลล์ รัฐเทกซัส ในวันอาทิตย์ ( 15 ก.ค.)


         


เลดี้ จอห์นสัน มีบทบาทในการอนุรักษ์ธรรมชาติจนเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป เธอรณรงค์หาทุนจำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปรับภูมิทัศน์กรุงวอชิงตันให้สวยงามและสดชื่นด้วยต้นไม้ และไม้ดอกนานาพันธุ์ นอกจากนี้ เธอยังเป็นกำลังสำคัญของสามีในการส่งเสริมนโยบายขจัดความยากจนและส่งเสริมสิทธิของพลเรือนชาวอเมริกัน อีกทั้งยังอยู่เคียงข้างสามีโดยตลอด เมื่ออดีตประธานาธิบดีจอห์นสันถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีอย่างหนักว่า ใช้ความรุนแรงสงครามในเวียดนาม และกล้าหาญที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของเขาที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 เมื่อปี 2511


 


เลดี้จอห์นสันยังเป็นที่รู้จักในความเป็นนักบริหารธุรกิจที่ชาญฉลาดและประสบความสำเร็จด้วย รายงานระบุว่า เลดี้ จอห์นสันประสบปัญหาในการพูดตั้งแต่ปี 2545 หลังมีอาการเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตันอยู่ครั้งหนึ่ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net