Skip to main content
sharethis

วิทยากร บุญเรือง


 


สำหรับภาคอีสาน สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แห่งความชุ่มฉ่ำ เนื่องจากผลกระทบของพายุดีเปรสชันในทะเลจีนใต้ ส่งผลให้เกิดฝนฟ้าตกเกือบทั่วบริเวณภาคอีสาน ผมเดินทางไปถึงจังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อเช้ามืดวันที่ 6 สิงหาคม ย่างก้าวแรกที่ผมเหยียบย่ำผืนดินแห่งภูมิภาค "คนทรหด" แห่งนี้จึงมีแต่ความแฉะชื้น


 


ในขณะเดียวกันพายุอีระลอกได้สำทับเข้าไปสร้างความแฉะชื้นให้ภูมิภาคนี้อีก มันคือพายุการเมืองที่พัดเข้าโจมตีคนในพื้นที่ภาคอีสาน ... ที่แน่ล่ะว่ามันทำให้คนอีสานหนาวเย็นจับจิตมากกว่าการยืนทนเปียกฝน  นั่นก็คือข่าวลือเรื่องคนอีสานรับเงินเพื่อกิจกรรมทางการเมือง (อีกแล้ว)


 


พายุลูกนี้เปิดตัวเมื่อต้นสัปดาห์ ด้วยการที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาเปิดเผยการซื้อตัวอดีต ส.ส. และการใช้เงินคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ


 


ตามด้วย ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยผ่านสื่อต่างๆ ว่า ได้รับข้อมูลเรื่องมีการแจกเงินในที่จังหวัดเขตพื้นที่ภาคอีสาน ก็คือ บุรีรัมย์ , สุรินทร์ และศรีสะเกษ โดยให้ชาวบ้านหัวละ 200 บาท แลกกับการให้ชาวบ้านไม่ต้องออกไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันที่ 19 สิงหาคม  หรือถ้าจะใช้สิทธิ์ให้ลงคะแนนในช่องไม่รับ   


 


"เรามีข้อมูลว่ามีการจ่ายเงินกันในพื้นที่ใดบ้าง และใครเป็นคนจ่าย ซึ่งเชื่อโยงไปถึงนักการเมืองในพื้นที่บุรีรัมย์ แต่ไม่ใช่นักการเมืองใหญ่อย่างที่คาดกัน"--- ธีรภัทร์ กล่าว (ที่มา : โลกวันนี้ 8 สิงหาคม 2550)



และการเคลื่อนไหวของแม่ทัพใหญ่ก็ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคอีสานของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) พร้อมได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 จับตากลุ่มใดที่เคลื่อนไหวคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ


 


จิตวิทยาทางการเมืองทุกรูปแบบถูกนำมาใช้ เพื่อพยายามกดดันให้คนตัวเล็กตัวน้อย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานกำลังทางการเมืองขนาดใหญ่ของคนจน ให้พยายามน้อมรับและไม่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายที่มีอำนาจในปัจจุบันนี้


 


0 0 0


 


จากการลงพื้นที่ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดและขอนแก่น พบว่าประชาชนทั่วไปมีความตื่นตัวที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับการเมืองเป็นอย่างสูง ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ยังคลุมเครือมืดครึ้มอยู่


 


โดยคนส่วนใหญ่มีความอัดอั้นตันใจ ในการถูกบังคับให้ปิดปากให้เงียบจากภาคราชการ รวมถึงสื่อต่างๆ ที่มักกล่าวถึงคนอีสานในแง่ลบ และไม่เคยที่จะมาถามจากปากพวกเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีแต่ไปถามเอากับรัฐมนตรี หรือฝ่ายปกครองที่ไม่เคยลงมาหาประชาชนในพื้นที่เลย


 


คุณลุงจริง  ประเสริฐสรรค์ คนอำเภอเสรภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่าหลังรัฐประหารเป็นต้นมาบ้านเมืองก็ไม่ปกติสุข ต่างคนก็ต่างทำต่างความคิดกันยิ่งกว่าเดิม ทำให้ประเทศไม่เดินหน้า สำหรับชาวบ้านในอีสานโดนปิดกั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งตนเองเข้าใจว่า คมช. คงกลัวที่คนอีสานส่วนใหญ่ยังไม่ลืมคนที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร"


 


"ถ้าเลือกตั้งเร็วที่สุด ใครที่เคยอยู่กับนายกทักษิณ ชาวบ้านก็คงเลือก พรรคไทยรักไทยเก่าจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เพราะคนยังไม่ลืม" คุณลุงจริง กล่าว


 


ส่วนเรื่องข่าวลือที่ว่ามีการแจกเงินเพื่อให้ล้ม รธน. ฉบับใหม่นั้น คุณลุงจริงกล่าวว่าปัจจุบันชาวบ้านสามารถเข้าถึงข่าวสารได้ง่าย และมีความคิดเป็นของตนเอง รวมถึงเชื่อมั่นว่า ส.ส.พรรคไทยรักไทยเก่าต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ดังนั้นคงเป็นข่าวปล่อยมากกว่า


 


"คนจนมีความคิดเป็นของตัวเอง เงิน 200 บาทมันดูถูกความนึกคิดของพวกเราเกินไป" คุณลุงจริง กล่าวปิดท้าย


 


พี่สุทิน แท่นคำ อาชีพขับรถตุ๊กตุ๊กในจังหวัดขอนแก่นกล่าวว่า สำหรับวันลงประชามติตนเองคงจะไปใช้สิทธิ โดยจะรับหรือไม่รับนั้นตัวเองจะไม่ขอเปิดเผย แต่สิ่งที่เปิดเผยได้เลยคือตัวเองเป็นพลังบริสุทธิ์ของชาวบ้านคนหนึ่ง


 


ส่วนเรื่องการจ้างให้อยู่บ้าน หรือจ้างให้ไปลงไม่รับ รธน. ฉบับใหม่นั้น ราคา 200 บาทนั้น สำหรับในตัวเมืองขอนแก่นก็ยังไม่เห็น ส่วนข่าวที่ออกไปว่ามีในหลายพื้นที่ในภาคอีสานนั้นตนก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า


 


แต่ตนเพียงสงสัยว่าสู้เอาเงินเหล่านั้นไว้ใช้ตอนเลือกตั้งจะไม่ดีกว่าหรือ เพราะในการเลือกตั้งนั้นตนเองมั่นใจว่าทุกพรรคการเมืองมีการซื้อเสียงอย่างแน่นอน แต่สำหรับการคว่ำประชามติรับ รธน. นั้นตัวเองไม่แน่ใจว่าจะมีใครจ้าง และจ้างไปทำไม เหมือนมันสูญเปล่ามากกว่า ไม่เหมือนการใช้เงินตอนเลือกตั้งที่เห็นผลเป็นรูปธรรม


 


และในใจตนก็อยากให้ประเทศผ่านพ้นช่วงนี้ไป ไม่ว่าจะเป็น รธน. ฉบับไหนก็ได้ แต่ตนคิดว่าก็จะต้องมีคนไปลงคะแนนไม่รับร่าง รธน. อยู่ส่วนหนึ่ง เพราะเท่าที่เห็นและพูดคุยกับคนอื่น หลายคนไม่ชอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นการแสดงออกของพลังที่ไม่เห็นด้วยส่วนหนึ่ง


 


ทั้งนี้พี่สุทินประเมินว่าลูกหลานว่าลูกหลานคนหนุ่มสาวชาวอีสานที่ไปทำงานต่างถิ่นหลายคนคงไม่ได้กลับมาลงประชามติ ทำให้ผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียงอาจจะน้อย


 


"ลูกสาวผมก็ไม่ได้มา เพราะค่าเดินทางต่างๆ มันมีราคาทั้งนั้น" พี่สุทินกล่าว


 


พี่วิไลวรรณ จงจิต อาชีพขายผลไม้ในตัวเมืองขอนแก่นกล่าวว่าได้ติดตามข่าวสารทางวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ และได้ตั้งข้อสังเกตว่าถ้ามีข่าวการซื้อเสียง ขายเสียงเมื่อไหร่ก็จะมีข่าวของคนอีสานตลอด พี่วิไลวรรณได้ตั้งคำถามว่ามีเพียงคนอีสานเท่านั้นหรือที่ต้องซื้อเสียงขายเสียง


 


"ทีแรกพี่ได้ยินพี่ก็คิดว่า เอาอีกแล้วหรือ คนอีสานอีกแล้วหรือที่มันต้องซื้อเสียงขายเสียง ทำไมมันต้องเป็นแต่คนอีสานเท่านั้น คนที่อื่นๆ เขาดีเลิศกว่าเราหรือ"


 


ซึ่งในกรณีที่ว่านี้ในตัวจังหวัดขอนแก่นตนเองยังไม่เจอ แต่ก็อยากให้ทางการค้นหาต้นตอการซื้อเสียงที่ว่าให้ได้ หรือไม่ก็ต้องทำอะไรซักอย่างไม่ใช่พูดแล้วก็เกิดให้เกิดผลเสียกับคนอีสานเพียงอย่าง


 


"อยากให้จับขบวนการนี้ให้ได้ แล้วเอามาประจานให้หมด อย่าได้แต่พูดว่ามันมีอย่างเดียว เพราะคนส่วนใหญ่ในภาคอีสานเขาก็มีศักดิ์ศรี ไม่ได้เห็นแก่เงินไม่กี่บาท"


 


ส่วนประเด็นการรับร่าง รธน. พี่วิไลวรรณกล่าวว่าคงจะไปรับร่าง รธน. ฉบับใหม่นี้เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ตอนนี้ยอมรับว่าค้าขายไม่ค่อยดี หวังพึ่งกับรัฐบาลใหม่และจะพิสูจน์ว่าไม่ได้ถูกจ้างแต่อย่างใด


 


"คงจะไปรับร่าง เพราะดูจากข่าวสารเขาบอกว่าดีเราก็ต้องเชื่อ จะได้พิสูจน์ด้วยว่าไม่มีการจ้าง" พี่วิไลวรรณกล่าว


 


0 0 0


 


โค้งสุดท้ายแล้วสำหรับการเคลื่อนไหวรณรงค์ให้การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมามีความชอบธรรมมากที่สุด โดยผ่านการรับรองประชามติรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 นี้ให้ได้


 


เกมการเมืองและกำลังภายในทุกชนิดในห้วงเวลานี้จึงจำเป็นต้องถูกงัดมาใช้ทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลไกทุกอย่างของรัฐที่อยู่ในมือผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เร่งประชาสัมพันธ์ให้ร่าง รธน. ฉบับนี้ผ่านประชามติ , การดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม , การใช้จิตวิทยาทำให้คนที่จะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ "รู้สึกผิด" และ "ไม่รักชาติ" หากรัฐธรรมนูญที่ได้จากรถถังฉบับนี้ต้องมีอันเป็นไป


 


ซึ่งถ้ามันผ่านสำหรับพวกเขามันก็ดีไป เนื้อหาความดีงามของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วลีน้ำเน่าอย่างคำว่า "สมานฉันท์" จะถูกเชิดชู แล้วพวกเราทั้งประเทศก็จะเดินไปสู่หนทางที่รถถังของพวกเขาได้กรุยทางไว้ให้แล้วตั้งแต่แรกในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 อย่างเต็มภาคถูมิ ... ก้าวไปสู่ประชาธิปไตยสีลายพราง


 


แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุอย่างหนึ่ง อย่างใดให้ ที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไม่ผ่าน หรือ ผ่านแบบไม่สวยงามนัก (เช่นจำนวนคนที่ไปลงประชามติมีน้อยนิดเหลือเกิน หรือคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยมีปริมาณสูสี)  ประชาชนอย่างพวกเรารวมถึงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขาก็ยังคงต้องตกเป็นแพะรับบาปต่อไป ต้องถูกด่าว่าเป็นคนที่ไม่เข้าใจถึงศีลธรรม , จริยธรรม ,เข้าไม่ถึงข้อมูล , ซื้อสิทธิ์ขายเสียง อีกเช่นเคย


 


จะผ่านไม่ผ่านอย่างไร สิ่งที่เดาไว้เลยว่ามันต้องเกิดแน่ๆ คือ พวกเขาจะไม่ยอมรับผิดว่าค่ำคืนที่ 19 กันยายน 2549 พวกเขาได้ทำอะไรที่มันผิดๆ ลงไป


 


เพราะในความคิดของพวกเขาสิ่งที่ผิดมหันต์บัดซบที่สุดบนผืนแผ่นดินที่คนไม่เท่าเทียมกันนี้ ก็คือ การที่ชาวบ้านจนๆ สนับสนุนนักการเมืองชั่วๆ เท่านั้น ... แต่ไม่มีการพูดถึง การทำให้ประชาชนเสมอภาคกันอย่างจริงจัง ในประเทศที่มีแต่ปัญหาแห่งนี้เลย


 


และอภิสิทธิ์ชนผู้ออกมาผดุงคุณธรรม ผู้เปี่ยมไปด้วยจริยธรรมอย่างพวกเขา ทำอะไรก็ถูกต้องเสมอแหละ ;-) 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net