โดย Dias Pora
"ซอบาอูจี" อดีตผู้นำ KNU
วีรชนที่สละชีพกอบกู้อิสรภาพชาวกะเหรี่ยงเพื่อแผ่นดิน"ก่อซูเล"
เช้าวันที่ 12 สิงหาคมคราใด พี่น้องกะเหรี่ยงฝั่งตะวันตกต่างหลั่งน้ำตาและความเศร้า ย้อยปนพร้อมสายฝนเดือนแปด เพื่อเป็นการรำลึกถึง 'เก่อญอหมื่อหนึ' กะเหรี่ยงฝั่งตะวันตก แด่ "ซอบาอูจี" อดีตผู้นำ KNU และเหล่าวีรชนคนกล้าได้สละชีพกอบกู้อิสรภาพชาวกะเหรี่ยง เพื่อแผ่นดินเขียว "ก่อซูเล" หรือ "ก่อทูเล" ที่คนไทยรู้จักกันดี
ซอบาอูจี หรือ บาอูจี เติบใหญ่ที่ชานเมืองพะสิม ในครอบครัวขุนนางชาวกะเหรี่ยง เขามีโอกาสเข้าเรียนหนังสือในเมืองตั้งแต่วัยเยาว์ หลังจบออกมาจากเมืองพะสิมไปเรียนต่อที่มะละแหม่ง ก่อนข้ามน้ำข้ามทะเลบินยังกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กรุงลอนดอน เขาเรียนกฎหมาย จนจบออกมาแล้ว เขาเป็นนักกฎหมายตามวิชาที่เล่าเรียนมาระหว่างพำนักอยู่ลอนดอน เขาใช้ชีวิตคู่กับหญิงสาวอังกฤษจนมีบุตรสองคน และต่อมา เขาพาครอบครัวเดินทางกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเมืองพะสิมในต้นเดือนมีนาคม 1929 หลังภรรยาสาวคลอดบุตรคนเล็กได้ไม่นาน
แต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 1942 เขาคาดก่อนแล้วว่าทหารญี่ปุ่นต้องกรีฑาทัพบุกพม่า เขาขอให้ภรรยารีบพาบุตรออกจากพม่ากลับอังกฤษ ขณะตัวเขาเองจะขออยู่ร่วมชะตากรรมกับเผ่าพันธุ์ต่อไป
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในพม่าก็เริ่มขึ้นหลังญี่ปุ่นบุกเข้ามากลางปี 1942 ญี่ปุ่นกับอังกฤษยกทัพมาทำสงครามกันในพม่า กะเหรี่ยงและพม่ากลายเป็นตัวแทนของสงครามให้กับทั้งสองฝ่าย กะเหรี่ยงเลือกอยู่ฝ่ายอังกฤษต้านการบุกเข้ามาของญี่ปุ่น ขณะที่พม่าร่วมมือกับญี่ปุ่นขับไล่อังกฤษออกไปให้พ้นจากถิ่นพม่า
กลางเดือนพฤษภาคม 1942 น้าชายบาอูจีที่เป็นหนึ่งในตัวแทนรัฐมนตรีคนสำคัญของกะเหรี่ยง ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมบนบ้านทั้งครอบครัวที่ชานเมืองหม่องมยา โดยทหารญี่ปุ่นให้ความร่วมมือกับพรรค Burma Independence Army ของพม่ากระทำการดังกล่าว
เหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นสร้างความร้าวฉานแก่ฝ่ายสูญเสีย และเป็นต้นตอหนึ่งของความรุนแรงระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า บาอูจีเองในฐานะนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้พยายามไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำร้ายเช่นนี้
ปลายปี 1946 หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง และขับไล่ญี่ปุ่นออกจากพม่าได้ กระแสการเรียกร้องรัฐกะเหรี่ยงมีสูงขึ้น ตัวแทนกลุ่มหนึ่งของกะเหรี่ยงนำโดย บาอูจี เดินทางไปอังกฤษเพื่อยื่นข้อเสนอให้กะเหรี่ยง มีรัฐอิสระปกครองตนเอง ที่ครอบคลุมลุ่มน้ำสาละวิน เขตตะนาวศรี มะริดทางตอนใต้ และบางส่วนของพะโค ซึ่งเดิมเป็นถิ่นกะเหรี่ยงอยู่แล้ว แต่รัฐบาลอังกฤษยังคงปฏิเสธ
ต้นเดือนมีนาคม 1947 มีการประชุมครั้งใหญ่ของกะเหรี่ยง และตัวแทนชนเผ่าหลายท่านเสนอให้ทำหนังสือยื่นต่อรัฐบาลอังกฤษอีกครั้งเพื่อแบ่งดินแดน ให้กะเหรี่ยงได้ปกครองรัฐตนเองตามข้อเรียกร้องเดิม เนื่องจากครั้งนั้น นายพล อองซานได้ปฏิเสธในที่ประชุมอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีการแบ่งรัฐใดเกิดขึ้นในสหภาพพม่า
ขณะนั้นผู้นำหลายท่านของ KNU ได้ขอให้บาอูจี ยุติบทบาทเล่นเกมการเมืองในสภากับพม่า การยุติบทบาททางการเมืองดังกล่าว ก็เพื่อเป็นการลดการกดดันของพม่า และเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของเผ่าพันธุ์ เขาปลีกตนลาออกจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรีในเช้าวันถัดมา
ปี 1948 ได้เกิดเหตุการณ์บ้านเมืองวุ่นวายอย่างหนัก เมื่อกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการกระทำของรัฐบาลพม่า ได้บุกเข้าปล้นธนาคารเป็นการล้างแค้น แต่การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมของกะเหรี่ยงเอง และเพื่อปกป้องชื่อเสียงในทางการเมือง บาอูจี ได้ยกที่นาของตนกว่า 1,000 ไร่ให้กับรัฐบาลพม่า เป็นการชดใช้จำนวนเงินทั้งหมดในธนาคารที่ถูกปล้นไป
นับแต่นั้นมา บาอูจี จึงสัญจรไปยังหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่กระจัดกระจายตามเทือกเขาน้อยใหญ่ ระดมผู้คนร่วมสามัคคีเป็นปึกแผ่น เพื่อต่อต้านพม่าและกอบกู้เอกราชของชนกะเหรี่ยงกลับคืนมา
หมู่บ้านเส่ดอเดอ ตั้งอยู่ในซอกเขาดงลึก มีพี่น้องชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่กันไม่กี่หลังคาเรือน แต่ครั้นมีข่าวผู้นำจะมายังหมู่บ้าน ต่างสุดดีใจเตรียมขบวนต้อนรับเป็นการใหญ่
เช้าวันถัดมา สองฟากทางเท้าเข้าหมู่บ้านเต็มด้วยขบวนแห่ กลองกบ กลองยาว ระฆัง ฆ้อง เตหน่า ทั้งปี่เขาควาย ขบวนหนุ่มรำดาบ สาวร่ายรำ ต้อนรับการมาเยือนของบาอูจี
ชาวบ้านใจจดใจจ่อรอคอยด้วยความคาดหวัง ท่านผู้นำคงเป็นบุคคลที่จะมาในชุดเต็มยศสง่างาม แต่คนแล้วคนเล่าในกลุ่มที่เข้ามาไม่มีคนใดดั่งวาดหวัง เมื่อเเห็นเพียงผู้ชายมาในเสื้อชนเผ่ามอซอกับกางเกงขาก๊วยลงจากหลังม้าเรียกประชุมชาวบ้าน
ตั้งแต่กลับจากอังกฤษมา "บาอูจี" เขาอุทิศชีวิตส่วนใหญ่กับผู้ยากไร้ กระทั่งเข้าใจหลากหลายชีวิตของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง ผืนนากว้างที่ตกทอดจากมรดก เขาปันให้คนไม่มีที่ มาทำกินโดยไม่ปริปากเอ่ยขอเก็บค่าเช่านา และหากใครใดเดือดร้อน พร้อมให้ความช่วยเหลือไม่ถือตัวและใช้ชีวิตปกติเหมือนชาวบ้านธรรมดา
เขาไม่ยึดติดกับอำนาจ เกียรติยศ ตำแหน่งทั้งไม่แสวงผลประโยชน์แก่ตนถ่ายเดียว หากกระทำการทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แม้จะลำบากเพียงใดเขาก็ไม่เคยปฏิเสธ
เช้ามืดวันที่ 12 สิงหาคม ทหารพม่านับร้อยพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้าปิดล้อมกระท่อมในหมู่บ้านโถ่เก๊าะโก่ ชานเมืองพะสิม เสียงปืนรัวดังก้องสนั่นหวั่นไหว ครึ่งชั่วโมงผ่านไปความเงียบเข้ามาแทนที่ เมื่อแสงเช้าโผล่พ้นจากขอบฟ้า ชาวบ้านต่างออกจากบ้านมุ่งไปยังจุดเสียงปืน เบียดเสียดมามุงดู พบเพียงคราบเลือดแดงฉานอาบทาแผ่นดิน