เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในช่วงเดือน "รอมฎอน" หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม เมื่อปี 2547 คือ เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 และมาสู่การเสียชีวิตของผู้ร่วมชุมนุม ทั้งในที่เกิดเหตุและระหว่างการขนย้ายไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี รวม 85 คน
แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมา 3 ปีแล้ว แต่ขณะนี้ในส่วนของคดีการไต่สวนชันชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากการขนย้ายผู้ชุมนุม ที่มีผู้เสียชีวิต 78 คนนั้น ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องที่ศาลจังหวัดสงขลา เนื่องจากเป็นคดีที่ถูกโอนย้ายมาจากศาลจังหวัดปัตตานี ที่เป็นพื้นที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดปัตตานี
ทั้งนี้ในตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงวันที่ 20 กันยายน 2550 ศาลจังหวัดสงขลาได้มีการไต่สวนพยานไปแล้วรวม 13 ปาก ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจทั้งระดับชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน
สำหรับพยานปากสำคัญๆที่ถูกนำตัวมาเบิกความในช่วงเวลาดังกล่าว ประกอบด้วย พล.ท.
นอกจากนี้ยังมี นาวาเอกไตรขวัญ ไกรฤกษ์ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน ในฐานะผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นพยานเบิกความเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 และพ.ต.อ.
สำหรับ พล.ท.
โดยก่อนหน้านี้ ศาลได้ไต่สวนพยานปากสำคัญไปแล้วหลายปาก ทั้ง พล.อ.พิศาล, นาย
ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตได้พยายามติดตามการพิจารณาคดีอย่างใกล้ชิด แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาได้มาฟังการไต่สวนได้เพียงวันเดียว คือ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2550 อีกทั้งยังเป็นคดีหลายองค์กรให้ความสนใจ โดยเฉพาะองค์การด้านการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) หรือ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเกาะติดการพิจารณาคดีมาตลอดอย่างใกล้ชิด
ไต่สวนพยาน78ศพคดีตากใบ
สำหรับการเบิกความครั้งนี้ พยานส่วนใหญ่เบิกความตรงกันว่า ผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน จากตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ 6 คนที่ถูกพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบจับกุมไปอย่างไม่มีเงื่อนไข
โดยทั้ง 6 คนถูกจับกุมข้อหาแจ้งความเท็จ ว่าถูกคนร้ายปล้นอาวุธปืนที่ทางราชการมอบให้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2547 เบื้องต้นได้ควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จากนั้นจึงนำตัวเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านทั้ง 6 คน ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดนราธิวาส
พยานในระดับผู้บังคับบัญชาทั้ง 3 ปาก คือ พล.ท.เฉลิมชัย, นาวาเอกไตรขวัญ และพ.ต.อ.
ทั้งนี้ การสลายการชุมนุมโดยการฉีดน้ำจากรถดับเพลิงและขว้างแก๊สน้ำตำ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามดันแผงเหล็กกั้นเข้ามายังสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 ถึง 3 นัด นั้นฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัด
แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวทั้ง 6 คนทันที เนื่องจากเห็นว่าถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม แต่พยานปากล่าสุด คือ พ.ต.อ.
ทั้งนี้ เขาเบิกความด้วยว่า เจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยทั้ง 6 คน เป็นแนวร่วมของขบวนการก่อความไม่สงบ และได้มอบอาวุธปืนของทางราชการให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ พบว่า การก่อการชุมนุมเป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการ โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจรัฐ ตามแผนการ 7 ขั้นตอน
พ.ต.อ.สมหมาย เบิกความยืนยันว่า "ชรบ.บางคนรับสารภาพเองว่าอยู่ในขบวนการก่อความไม่สงบด้วย เขาได้อธิบายโครงสร้างของขบวนการด้วย แต่ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่เข้าใจ"
ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอตากใบบางกลุ่มมีแนวโน้มจะอยู่ในกลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งมีในรายงานที่เสนอมายังเขา แต่เขาเบิกความว่า ปัจจุบันจำไม่ได้แล้ว และไม่ได้ตรวจสอบว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 85 รายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบหรือไม่
นอกจากนี้เขายังเบิกความสรุปว่า ในระเวลาตั้งแต่ทั้ง 6 คนถูกจับกุม คือวันที่ 12 ถึง วันที่ 25 ตุลาคม 2547 นั้น เป็นช่วงเวลาหลายวัน มีเวลาพอที่จะยื่นขอประกันตัวไปได้ แต่ทั้ง 6 คน จะยื่นขอประตัวต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่นั้น ไม่ทราบ แต่ระหว่างนั้นไม่มีหนังสือมาขออนุมัติมายังตน
อย่างไรก็ตาม เขาเบิกความด้วยว่า แม้ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส ตนได้เบิกความในคดีฟ้องร้องผู้ต้องหาคดีตากใบ 58 คน ว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาทั้ง 6 คนประกันตัว แต่ไม่ตัดสิทธิ์ที่จะไปยื่นประกันตัวต่อศาล
ขณะที่นาวาเอกไตรขวัญ เบิกความสรุปว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ได้รับรายงานทางสายข่าวว่าจะมีการชุมนุมกัน โดยยังไม่ทราบสถานที่ เรื่องที่จะชุมนุมกัน และไม่ทราบว่าจะมีประชาชนจากพื้นที่ใดเข้าร่วม แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านทั้ง 6 คน
ส่วนในวันเกิดเหตุนั้น พยานหลายปากยืนยันตรงกันว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งขณะนั้นคือ พล.ท.
ทั้ง พ.ต.อ.สมหมาย และ พล.ท.
ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย พล.ท.พิศาล เป็นประธานในที่ประชุม, พล.ต.ท.
พล.ท.เฉลิมชัย เบิกความสรุปว่า ในการประชุมมีการระบุว่า ขณะนั้นเจ้าหน้าทีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ทั้ง 6 คน ถูกควบคุมตัวตามคำสั่งของศาลจังหวัดนราธิวาส หากจะปล่อยตัว ต้องทำเรื่องขอประกันตัวชั่วคราว ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3 ชั่วโมง ระหว่างนั้นได้ให้นาย
โดย พล.ท.
ขณะที่นาวาเอกไตรขวัญ เบิกความยืนยันด้วยว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ได้มอบอำนาจให้ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 เป็นผู้ควบคุมปฏิบัติการทางยุทธการ
นอกจากนี้ พล.ท.เฉลิมชัย ยังเบิกความด้วยว่า ที่ประชุมกำหนดจะสลายการชุมนุมเวลา 17.00 น. ระหว่างนั้น มีการชี้แจงต่อผู้ชุมนุมเป็นระยะๆ ว่าจะสลายการชุมนุมให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกลับบ้าน แต่ผู้ชุมนุมขว้างปาเศษไม้เข้ามาเป็นระยะๆ และดันแผงเหล็กกั้นเข้ามา 4 -
นอกจากนี้ที่ประชุมยังตกลงกันว่า ห้ามใช้กำลังและอาวุธโดยเด็ดขาด ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของ ร.ต.อ.
แม้มีข้อตกลงห้ามใช้อาวุธ แต่นาวาเอกไตรขวัญ เบิกความว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ไม่ได้สั่งปลดอาวุธหรือปลดซองกระสุน ซึ่งในวันเกิดเหตุ ตนได้นำกำลังทหารเรือนาวิกโยธินมาด้วย 60 นาย ซึ่งใช้กระสุนจริง แต่ในวันเกิดเหตุตนไม่ให้บรรจุในรังเพลิง
สลายการชุมนุมมูลเหตุสู่ความตาย
เมื่อถึงเวลา 15.00 น. ตามที่กำหนดไว้ รถดับเพลิงจึงฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม โดยพล.ท.
แต่ขณะนั้นผู้ชุมนุมได้ขว้างก้อนหินถูกศีรษะตน เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปห้ามเลือดด้านหลังสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 - 2 นัด ก่อนจะดังขึ้นเป็นชุด เมื่อเสียงปืนเงียบจึงทราบว่าเจ้าหน้าที่ยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อยุติการชุมนุม
ขณะที่ พ.ต.อ.
เช่นเดียวกับคำเบิกความของนาวาเอกไตรขวัญ ที่ระบุว่า ทหารที่ยิงปืนขึ้นฟ้านั้น อยู่ภายในกำแพงด้านหน้าสถานีตำรวจ ทางฝั่งทิศตะวันออก ซึ่งมีทั้งทหารและตำรวจ
ส่วน ร.ต.อ.
ส่วนเสียงปืนที่ดังขึ้นนั้น ดังขึ้นนานประมาณ 5 - 10 นาที ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานส่วนใหญ่
ร.ต.อ.นิวัฒน์ ระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการของตนไม่มีใครใช้ปืน และไม่มีการเรียกอาวุธทั้งของตนและผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจสอบ
ขณะที่อาสาสมัครทหารพรานสำราญ แก้วกำลัง จากรมทหารพรานที่ 45 เป็นพยานเบิกความเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 ว่า หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งให้นำอาวุธประจำกายไปตรวจสอบ เช่นเดียวกับคำเบิกความของนาวาเอกไตรขวัญ ที่ระบุว่าไม่มีการเรียกเก็บอาวุธประจำกายของตนไปตรวจสอบเช่นกัน
ส่วนผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 6 คนนั้น นาวาเอกไตรขวัญ เบิกความว่า เนื่องจากถูกกระสุนปืน แต่ไม่พบเห็นอาวุธบริเวณข้างศพ ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพล.ท.เฉลิมชัย และพ.ต.อ.สมหมาย
โดยพล.ท.เฉลิมชัย ระบุเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 1 คน ข้างผู้ตายไม่มีอาวุธไม่ว่าปืนหรือมีดเช่นกัน
ส่วน พ.ต.อ.สมหมาย เบิกความเพิ่มเติมว่า ในการเคลียร์พื้นที่นั้น มีการค้นพบอาวุธในที่เกิดเหตุในคืนวันเกิดเหตุส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งพบในคลองด้านหน้าสถานีตรวจภูธรอำเภอตากใบ เช่น ปืน ระเบิด
นอกจากนี้นาวาเอกไตรขวัญ ยังเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุมีรถยนต์กระบะ 2 คัน นำผู้บาดเจ็บส่งไปรักษาตัว แต่เห็นมีการประคองผู้บาดเจ็บเพียงคนเดียว ซึ่งหมดสติแต่ตนไม่เห็นบาดแผล เห็นผู้ชุมนุมอีกประมาณ 20 คน ช็อก อีกประมาณ 10 คน อ่อนเพลียแต่สามารถเดินได้
หลังจากที่มีการสลายการชุมนุมแล้ว พล.ท.
"ส่วนในการควบคุมผู้ชุมนุมนั้นให้ถอดเสื้อ นอนคว่ำหน้าและมัดมือไขว้หลัง มีเจ้าหน้าที่บางรายทำร้ายผู้ชุมนุม ตนจึงได้ว่ากล่าวตักเตือน"
เขาเบิกความต่อไปว่า ตอนนั้นรวบตัวแกนนำได้เพียง 20 คน แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งเปลี่ยนแผนให้ควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมด โดยแยกผู้ชุมนุมที่เป็นหญิงออกไป และได้ขอสนับสนุนรถขนผู้ชุมนุม ประมาณ 30 คัน เป็นรถสิบล้อและรถจีเอ็มซี
ขณะที่ พ.ต.อ.
นอกจากนี้ มีการแยกผู้หญิงและเด็กออก และมีการแยกผู้ชุมนุมบางคนออกมา บางส่วนเจ้าหน้าที่นำตัวไปทางด้านหลังสถานีตำรวจ รวมผู้ร่วมชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด 1,298 คน ต่อมาได้ปล่อยตัวทั้งหมด ยกเว้น 58 คน เนื่องจากมีพยานหลักฐานว่าได้ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งถูกดำเนินคดี
โดย พ.ต.อ.
อย่างไรก็ตาม ต่อมาภาครัฐได้ดำเนินการถอนฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 58 คน แล้ว
78คนตายระหว่างขนย้าย ทับซ้อน - ขาดอากาศหายใจ
ส่วนกรณีการนำผู้ชุมนุมขึ้นไปบนรถบรรทุกซึ่งนำมาสู่การเสียชีวิตเพิ่มอีก 78 คนนั้น พล.ท.
ด้านนาวาเอกไตรขวัญ เบิกความว่า มีการนำผู้ชุมนุมขึ้นไปทับซ้อนกันบนพื้นกระบะรถคันหนึ่งในลักษณะคว่ำหน้า แต่ไม่แน่ใจว่าแม่ทัพภาคที่ 4 คือ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 สั่งให้ลงมาแล้วจัดระเบียบใหม่ไม่ให้นอนซ้อนทับกัน
ขณะที่ พล.ท.
ด้านจ่าสิบเอกฤทธิรงค์ พรหมฤทธิ์ กรมทหารพรานที่ 45 จังหวัดนราธิวาส ทำหน้าที่พลขับรถบรรทุกทหาร หมายเลขทะเบียนตรากงจักร 19232 เป็นพยานเบิกความเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ว่า รถที่ตนขับเป็นรถขนาดใหญ่ ปกติจุทหารที่มีอาวุธและอุปกรณ์ ได้ 25 คน นั่งที่ม้านั่ง 2 ข้าง แต่ในวันนั้นได้พับม้านั่งขึ้น และให้ผู้ชุมนุมเดินเข้าแถวขึ้นทีละคนเนื่องจากรถมีบันได แล้วนั่งที่พื้นทั้งหมดประมาณ 50 คน นั่งเต็มกระบะ ไม่ถึงกับแออัดเกินไป
เขาเบิกความด้วยว่า เมื่อบรรทุกเต็มคันแล้ว แล้วตั้งขบวนเพื่อรอเคลื่อนย้ายไปพร้อมกันประมาณ 30 คัน โดยออกจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบเวลา 19.30 น.เศษ มีตำรวจตระเวนชายแดน นั่งคู่ไป 2 คน ด้านหลังมีทหารพรานคุมอยู่ 5 คน ถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร เวลาประมาณ 21.30 น.เศษ
ส่วนพยานปากจ่าสิบเอกวิรัตน์ บุตรทอง พลขับรถบรรทุก 6 ล้อ บรรทุกผู้ชุมนุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร เบิกความเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2550 สิบโทสุวรรณพจน์ มุ่งกอบกิจ อาสาสมัครทหารพรานที่ 43 ทำหน้าที่คุมท้ายกระบะรถ เป็นพยานเบิกความเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 และร.ต.ต.
ทั้งนี้ พยานทุกปากเบิกความตรงกันว่า ผู้ร่วมชุมนุมที่ถูกนำตัวขึ้นรถนั้น ยังอยู่ในสภาพถอดเสื้อและมัดมือไขว้หลัง แต่สิบโทสุวรรณพจน์ เบิกความว่า ไม่มีการจับโยนผู้ชุมนุมขึ้นรถ
อย่างไรก็ตาม ร.ต.ต.สมพร เบิกความด้วยว่า ไม่เห็นการจัดผู้ชุมนุมขึ้นรถ เนื่องจากขณะเดินทางไปถึงไม่สามารถเข้าไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบได้ ส่วนพยานอีกหนึ่งปาก คือ ร.ต.ท.
หลังจากจัดผู้ชุมนุมขึ้นรถแล้ว มีการออกเดินทางเป็นขบวน โดยพล.ท.
โดยสิบโทสุวรรณพจน์ เบิกความว่า ออกเดินทางออกเป็นขบวน โดยผู้ถูกควบคุมตัวมีสภาพอาการปกติ แต่ระหว่างเดินทางผู้ร่วมชุมนุมยังคงถูกพันธนาการโดยถูกมัดมือไขว้หลังตลอดเวลา
เมื่อรถขนผู้ชุมนุมออกเดินทางไปหมดแล้ว พล.ท.เฉลิมชัย เบิกความถึงตอนนั้นว่า หลังเหตุการณ์สงบ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ พร้อมมอบเงินรางวัลให้
จากนั้นตนจึงเดินทางไปพบแพทย์ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ แต่ได้รับรายงานว่า พ.ต.ท.
ส่วนระหว่างเส้นทางการขนย้ายผู้ชุมนุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร ซึ่งมีรายงานว่ามีการโรยตะปูเรือใบ เผายางรถยนต์และตัดต้นไม้ขวางถนนนั้น มีเพียง 2 ปากเท่านั้น ที่เบิกความว่า เห็นเหตุการณ์ คือ อาสาสมัครทหารพรานสำราญ และจ่าสิบเอกฤทธิรงค์
โดยอาสาสมัครทหารพรานสำราญ เบิกความว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ระหว่างทางมีการตัดต้นไม้ขวางถนน จึงได้จอดรถรอเพื่อให้เพื่อนทหารพรานที่อยู่คันหน้าได้เคลียร์ถนน เมื่อรถขับผ่าน เห็นต้นไม้ถูกนำไปวางข้างทาง ลักษณะเป็นต้นกระถิ่นที่ปลูกไว้ริมทาง
ส่วนจ่าสิบเอกฤทธิรงค์ เบิกความว่า ระหว่างทางไม่เห็นมีการโรยตะปูเรือใบ แต่เห็นมีการเผายางรถบนถนนทางช่องจราจรด้านซ้าย ขณะที่ตนขับรถช่องทางขวาและจำไม่ได้ว่าอยู่ในเขตหมู่บ้านใด โดยขณะนั้นยางรถยนต์ถูกเผาจนมอดแล้ว และไม่ทราบว่าการเผายางรถยนต์เกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุมอย่างไร
นอกจากนี้ จ่าสิบเอกฤทธิรงค์ ยังเบิกความว่า เห็นชาวบ้านขว้างกิ่งไม้ใส่ขบวนรถแต่ไม่เห็นก้อนหิน ขณะที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่คุมท้ายกระบะรถไม่ได้แจ้งเหตุว่ามีการขว้างปามาในขบวนรถ และไม่มีหยุดขบวนรถเพื่อจับกุมคนขว้างปา
ส่วนพยานอีก 4 ปากที่เป็นพลขับ ตำรวจนำขบวน และทหารพรานคุมท้ายกระบะ เบิกความสอดคล้องกัน ว่า ระหว่างทาง ไม่มีเหตุวุ่นวาย ไม่มีสิ่งกีดขวาง บางช่วงฝนตก ไม่ได้ยินเสียงร้องของผู้ถูกควบคุมด้านท้ายกระบะ และไม่มีการให้น้ำและอาหารแก่ผู้ถูกควบคุมในรถ อีกทั้งไม่มีการร้องขอน้ำหรืออาหาร
อย่างไรก็ตาม จ่าสิบเอกฤทธิรงค์ เป็นพยานปากเดียวเท่านั้น ที่มาเป็นพยานเบิกความในช่วงดังกล่าวว่า ที่มีผู้เสียชีวิตในรถ โดยเขาเบิกความว่า รถยนต์ที่มาจากพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส พร้อมรถที่เขาขับมี 4 คัน ได้แก่ รถทะเบียน กงจักร 19338, 19232, 19263, 13164 โดยรู้จักกับพลขับทุกคน ได้แก่ ชื่อ "จ่าสิบเอก สัมพันธ บัวแดง, จ่าสิบเอกณัฐวุฒิ เลื่อมใส, จ่าสิบเอกปิติ ญาณแก้ว และทั้ง 4 คัน มีผู้เสียชีวิต
"รถทั้ง 4 คันคือ รถหมายเลขทะเบียน กงจักร 19338 มีผู้ถูกควบคุมตัวเสียชีวิต 21 ศพหมายเลขกงจักร 19232 จำนวน 5 ศพ หมายเลขกงจักร 19263 จำนวน 6 ศพ และหมายเลข กงจักร 13164 จำนวน 23 ศพ โดยรถของจ่าสิบเอกฤทธิรงค์ คือหมายเลขกงจักร 19232"
เขาเบิกความต่อว่า เมื่อไปถึงที่ค่ายอิงคยุทธบริหารแล้วต้องรอนานร่วมชั่วโมงกว่าจะได้ขนคนลงจากรถ โดยระหว่างรอไม่มีการนำน้ำและข้าวให้ผู้ถูกควบคุมรับประทาน
"จากนั้นได้นำรถไปจอดรถหน้าเรือจำภายในค่ายฯ บริเวณหน้าประตูเพื่อให้ผู้ชุมนุมเดินลงจากรถ โดยมีเจ้าหน้าที่เรือนจำรอรับ ซึ่งขณะเอาคนลงจากรถโดยให้เดินลงเองนั้น มือยังคงไขว้หลังอยู่ โดยมีลักษณะอ่อนล้าและอิดโรย
ปรากฏว่า มีคนที่ไม่ยอมลุกขึ้น 5 คน เจ้าหน้าที่ไปเรียกให้ลุกขึ้น แต่ไม่ลุกและไม่ขยับตัว จึงคิดว่าหมดสติ โดยยังนอนทับซ้อนกันอยู่ เจ้าหน้าที่บอกให้ผมขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลภายในค่ายฯ ซึ่งห่างจากเรือนจำประมาณ
เมื่อขนลงทั้งหมดแล้ว ได้รับคำสั่งให้จอดรถเข้าขบวนเพื่อกลับ โดยออกค่ายฯ เวลาประมาณ 24.00 น. เพื่อกลับไปยังพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ มาทราบตอนวันรุ่งขึ้นว่าทั้ง 5 คนเสียชีวิต และมีคนเสียชีวิตทั้งหมดประมาณ 60-70 คน ไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิต"
ขณะที่พยานที่เหลือ เบิกความสอดคล้องกันว่า ทราบว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนกว่า 70 คน จากสื่อทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ซึ่งระบุสาเหตุว่า มาจากการขาดอากาศหายใจ
ส่วน พล.ท.
เขาเบิกความด้วยว่า ระหว่างการขนย้ายมีการโปรยตะปูเรือใบและในการนำรถบรรทุกผู้ถูกควบคุมเข้าไปในเรือนจำของค่ายอิงคยุทธบริหาร สามารถนำเข้าได้ทีละคัน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตระหว่างรอ นอกจากนี้ รถบรรทุกคันแรกออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น. ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตด้วย 1 คน
แม้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ซึ่งเป็นผุ้ชันสูตรพลิกศพ ระบุว่า สาเหตุการตายเพราะการขาดอากาศหายใจ แต่รอยฟกช้ำบนใบหน้าศพนั้น พล.ท.เฉลิมชัยเบิกความยืนยันว่า เกิดก่อนเสียชีวิตแน่นอน
นอกจากนี้ เขาเบิกความด้วยว่า วันเกิดเหตุสภาพอากาศร้อนมาก ส่วนในช่วงเย็นมีฝนตก มีผู้ชุมนุมบางส่วนนอนแช่น้ำหลังการสลายการชุมนุม ดังนั้นสาเหตุการตายส่วนหนึ่งเป็นไปได้ว่า เพราะร่างกายปรับสมดุลไม่ทัน และอยู่ในช่วงการถือศีลอด ทำให้ผู้ชุมนุมเหนื่อยอ่อน
นอกจากนี้ทั้งนาวาเอกไตรขวัญและพ.ต.อ.สมหมาย เบิกความว่า หลังจากเหตุการณ์ภาครัฐได้มีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตด้วย
ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของคำเบิกความจากพยานในคดีนี้ ซึ่งยังมีอีกหลายปากที่พนักงานอัยการยังต้องนำมาเบิกความ เส้นทางการพิจารณาคดีคงยังอีกไกล กว่าศาลจะมีคำสั่งว่าผู้ตายคือใคร ใครทำให้ตายและตายด้วยสาเหตุอะไร
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)