Skip to main content
sharethis


ยุติธรรมเพื่อสันติภาพทำจดหมายเปิดผนึกลงนามโดย นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ จึ้ ผบ.ทบ.ยกเลิกการประกาศห้ามเข้าพื้นที่ และยุติการควบคุมตัวประชาชนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้จดหมายเปิดผนึกระบุว่า


 


จากการที่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลจังหวัดระนอง และศาลจังหวัดชุมพร ได้มีคำสั่งให้บุคคลผู้มีชื่อตามคำร้องที่ถูกควบคุมตัวอยู่ตามค่ายทหารต่างๆ ซึ่งทางกองทัพอ้างว่าเพื่อฝึกอาชีพ จำนวน 6 คนที่ค่ายทหารรัตนรังสรรค์ จังหวัดระนอง จำนวน 28 คนที่ค่ายวิภาวดีรังสิต จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจำนวน 51 คนที่ค่ายเขตอุมศักดิ์ จังหวัดชุมพร รวมทั้งสิ้น 85 คน โดยผู้ร้องทั้งหมดได้ร้องต่อศาลขอ ให้หน่วยงานทางทหารระงับการฝึกอบรมโดยไม่สมัครใจ และให้สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมได้


 


ขณะเดียวกันปรากฏว่าได้มีผู้เข้ารับการอบรมที่ไม่ยินยอมหรือไม่สมัครใจเข้ารับการอบรมแต่ยังไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลได้ มีความประสงค์จะยุติการเข้ารับการฝึกอบรมอีกเป็นจำนวนกว่า 200 คน แต่ก็พบว่าผู้ไม่ประสงค์จะเข้ารับการอบรมทั้งหมดไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมของตนได้ได้เนื่องจากมีประกาศการห้ามบุคคลเหล่านั้นเข้าไปหรืออยู่อาศัยในเขตท้องที่จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และบางอำเภอจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก จึงส่งผลให้บุคคลตามรายชื่อที่ทางทหารยื่นเป็นเอกสารในชั้นศาลจำนวน 384 รายชื่อไม่สามารถเดินทางกลับเข้าไปอยู่กับครอบครัวในเข้าพื้นที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตนเองได้ ซึ่งประกาศคำสั่งดังกล่าวประกาศอ้างว่าลง วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โดยพลโทวิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง ทั้งนี้โดยก่อนหน้านี้ผู้ถูกควบคุมตัวในโครงการอบรมอาชีพสี่เดือน และครอบครัว ไม่มีโอกาสได้รับทราบได้รับแจ้งประกาศคำสั่งฉบับนี้มาก่อนแต่ประการใด


 


ขณะนี้มีประชาชนที่ไม่ประสงค์จะฝึกอบรมอาชีพ แต่ไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเองได้ต้องไปอาศัยที่มัสยิดกลางจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 160 คนโดยไม่มีคำตอบจากรัฐว่าจะดำเนินการกับบรรดาผู้ที่ถูกบังคับให้พลัดถิ่นเหล่านี้อย่างไร


 


นอกจากนี้จดหมายเปิดผนึกยังระบุว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2550 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายจับตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (หมาย ฉฉ 291/ 2550) มาจับและควบคุมตัวนายมะยากี หมันปูเต๊ะ และในวันที่ 4 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดสุราษฎร์ธานีก็ได้มีหมายมาจับและควบคุมตัวบุคคลในมัสยิดสุราษฎร์ธานีอีก 3 คนโดยนำตัวบุคคลทั้งหมดไปควบคุมที่ ศปก.ตร.ส่วนหน้า ต่อมาผู้ถูกควบคุมตัวทั้งหมดได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลจังหวัด ยะลา และปัตตานี ว่าการจับและควบคุมตัวนี้มิชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลจังหวัดยะลาได้มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องคือพนักงานสอบสวนที่ขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัวนายมะยากีโดยศาลได้สั่งให้ปล่อยตัวนายมะยากีไป


 


ในท้ายจดหมาย คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพแสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อการละเมิดกฎหมาย การใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล และเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐในการอ้างมาตรา 11 ตามพรก. ฉุกเฉินฯ ในลักษณะจงใจกลั่นแกล้ง เพื่อออกหมายจับกุมประชาชนซึ่งใช้สิทธิทางศาลคัดค้านการควบคุมตัวในโครงการฝึกอาชีพโดยไม่สมัครใจ โดยขออนุญาตศาลออกหมายจับเฉพาะบุคคลดังกล่าว แต่กลับให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่ยังฝึกอบรมต่อในการกลับเข้าภูมิลำเนาเดิม โดยอ้างว่าเพื่อตอบแทนความร่วมมือกับรัฐจึงผ่อนผันให้เป็นกรณีพิเศษ การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนี้นอกจากแสดงให้เห็นชัดเจนถึงการเลือกปฏิบัติแล้วยังเป็นการคุกคามประชาชนที่ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมโดยชอบตามกระบวนการยุติธรรมด้วยสันติวิธีและยังเป็นการละเมิดอำนาจศาลอีกด้วย เนื่องจากเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพคำสั่งของศาล พยายามขัดขวางการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน และขัดขวางการตรวจสอบอำนาจรัฐตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 อีกทั้งเป็นการกลั่นแกล้ง และการใช้กฎหมายโดยมิชอบกับประชาชน ซึ่งขัดกับหลักการสำคัญของนิติธรรม คือฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติต้องสามารถตรวจสอบได้โดยอำนาจตุลาการ


 



"สิ่งที่กองทัพภาคที่ 4 ได้ปฏิบัติมานี้ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่น และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชน กับเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังไม่เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความเป็นธรรมหลักนิติธรรม และแนวทางสันติวิธีซึ่งรัฐเองพยายามอ้างเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด


 


"คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพจึงขอเรียกร้องให้ทางผู้บัญชาการกองทัพบกและหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างจริงจัง โดยการยกเลิกประกาศคำสั่งกองทัพภาคที่ 4 เรื่องการห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ฯ โดยทันที พร้อมทั้งยุติการเลือกปฏิบัติในการควบคุมตัวประชาชนตามอำเภอใจด้วยการขออนุญาตศาล ออกหมายจับตาม พ.ร.ก. โดยมิชอบตาม พ.ร.ก เพื่อกลั่นแกล้งผู้ที่ไม่สมัครใจเข้ารับการอบรมฝึกอาชีพ และไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเองได้โดยต้องพักอาศัยที่มัสยิดสุราษฎร์ธานี"


 


ในจดหมายฉบับนี้ยังเรียกร้องให้รัฐให้การเยียวยาอย่างเหมาะสมแก่กลุ่มบุคคลดังกล่าว เพื่อให้บุคคลเหล่านี้สามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยในภูมิลำเนาเดิมร่วมกับครอบครัวตามสิทธิของคนไทยคนหนึ่ง และสามารถประกอบอาชีพที่สุจริตตามที่ตนถนัดต่อไป โดยเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายควรเคารพสิทธิในการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมด้วยสันติวิธีของประชาชน และไม่ควรมีอคติต่อบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นผู้ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 และกติกาสากลระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ และเพื่อเป็นการสร้างระบบนิติธรรมให้มีความเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net