Skip to main content
sharethis


ดร.พีรธร บุณยรัต


อาจารย์สาขาวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์


คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรพันธ์


-------------------------------------------------------


บทวิเคราะห์การปรับตัวของหน่วยงานภาครัฐ และชุมชน ในการนำนโยบายการพัฒนาตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ


 


 


 


           "สิ่งที่เห็นในเรื่องการพัฒนาประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบัน


            เป็นภาพทับซ้อนของอดีตที่วนเวียนไปมาตามหลอกหลอนเราอยู่


            สิ่งเหล่านั้นจะเป็นภาพเดียวกันกับการพัฒนาโดยใช้เศรษฐกิจพอเพียง


            หรือไม่ นี่คือคำถามสำคัญสำหรับบทความชิ้นนี้"


 


 


 


ผมขอพูดในเชิงนโยบายหรือภาพกว้างให้เห็นถึงบทบาทของหน่วยงานภาครัฐในการนำเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ และในอีกมิติความสัมพันธ์ของรัฐบาลและชุมชนซึ่งเป็นฐานสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง


 


บทเพลง ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม เมื่อ พ.ศ.2504 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วันนั้นและวันนี้แทบไม่มีอะไรต่างกันเลย มีหลายอย่างที่ผู้ใหญ่ลีในฐานะตัวแทนของรัฐยังทำเหมือนเดิม เมื่อผู้ใหญ่ลีไปบอกประชาชนให้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต และมีชาวบ้านย้อนถามว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร คำตอบก็คงไม่ต่างจากหมาน้อยธรรมดาเท่าไร


 


บทความนี้จะไม่ก้าวล่วงว่า เศรษฐกิจพอเพียงดีหรือไม่ดี (แต่ผมคิดว่าดี) แต่มองว่าคนเอาไปทำทำไม่ดี


 


ในส่วนแรก จะขอทบทวนบทบาทของรัฐและชุมชน ในเกือบครึ่งศตวรรษของการพัฒนา คือ ตั้งแต่แผนฯ 1 ถึงแผนฯ 10 ต้นๆ ก่อนที่จะใช้เศรษฐกิจพอเพียง จากการวิเคราะห์แผนพัฒนา และการนำนโยบายตามแผนไปปฏิบัติ จะพบข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ


 


ประการแรก สิ่งที่ไม่ต่างกันเลยคือ ภาครัฐเป็นผู้มีบทบาทในการเลือกแนวคิดหรือทฤษฎีพื้นฐาน ในแผนต้นๆ จะเป็นเรื่องภาวะทันสมัย ภาวะพึ่งพา จปฐ  ในระยะหลังๆ จะเป็นเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนามนุษย์ คนเป็นศูนย์กลาง ทั้งหมดถูกเลือกโดยรัฐ


 


ประการต่อมา ในแผนฯ 1-4 กระบวนการพัฒนาประเทศ ถูกกำหนดและดำเนินการโดยคนๆ เดียวกัน คือ รัฐ แต่ตั้งแต่แผนฯ 5 เริ่มมีการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของในการพัฒนามากขึ้น มีการใช้ศัพท์หรูๆ เช่น ประชาชนเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนา แต่ไม่รู้เป็นหุ้นส่วนกี่เปอร์เซ็นต์


 


ประการสุดท้าย พื้นที่ในการพัฒนาเริ่มแคบและเฉพาะเจาะจง แผนฯ แรกๆ เน้นที่ประเทศ ต่อมาก็เป็นภาค เมือง และชุมชน คือ มีการเคลื่อนตัวของพื้นที่ในการพัฒนา ให้ความสำคัญกับชุมชนมากขึ้นในระยะหลังๆ


 


โดยภาพรวม จากแผนฯ 1 ถึงแผนฯ ปัจจุบัน การพัฒนาประเทศดูเหมือนก้าวหน้าต่อเนื่อง แต่ถ้าเราวิเคราะห์ในเชิงวิพากษ์ สิ่งที่เราพบที่น่าสนใจคือ


 


1) การไล่ตามกระแส ตลอดเวลาที่เราคิดเรื่องการพัฒนา เราล้าหลังกระแสอย่างน้อย 10 ปี ไม่ว่าจะเป็น ภาวะทันสมัยที่เริ่มในยุโรป จปฐ การพัฒนาที่ยั่งยืน ก็มาจากที่อื่น หรือแม้แต่เศรษฐกิจพอเพียง ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสเมื่อปี 2517 แต่มาตื่นตัวปี 2549-2550


 


2) เรียนรู้ไม่ทัน ทุก 5 ปี เปลี่ยนวิธีคิดทีนึง เดินหน้า ถอยหลัง วนไปวนมา เปรียบเทียบกับลาว ซึ่งมีแผนพัฒนา 50 ปี มาเลย์มีวิสัยทัศน์ 2020  แต่ของเราเปลี่ยนทุก 5 ปี เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ย่อมไม่ทัน กระบวนการส่งผ่านนโยบายจากรัฐไปสู่ประชาชนมีเวลาในการหน่วงอย่างน้อย 1-2 ปี กว่านโยบายจะเป็นการปฏิบัติอย่างเต็มรูป พอ 5 ปี นโยบายเปลี่ยนแล้ว ประชาชนยังไม่ทันเรียนรู้ ไม่ทันปรับตัว


 


3) บทบาทผู้นำ/ผู้ตาม รัฐเป็นผู้นำ ประชาชนเป็นผู้ตาม การพัฒนาไม่ได้ทำให้เกิดความเข้มแข็งแก่ประชาชนจริงๆ เป็นการที่รัฐจัดให้/กระทำลงไป


 


4) การพัฒนาตั้งแต่แผนฯ 8 ที่เราสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ไม่ได้นำไปสู่ความพอเพียงจริงๆ เรายังพูดถึง GDP การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้วันนี้


 


กล่าวโดยสรุปในส่วนที่ 1 กระบวนการพัฒนาตลอด 50 ปี มีลักษณะการกดทับจากรัฐ และถูกบีบด้วยเงื่อนไขของปัจจัยอื่นๆ อีก


 


คำถามก็คือ ถ้าเราจะเริ่มหันเหมาใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และมุ่งไปสู่การให้ชุมชนเป็นรากฐานที่สำคัญตามแผนฯ 10 มันจะต่างไปจากเดิมไหม เราจะก้าวพ้นสภาพที่วกวนซ้ำซากได้ไหม


 


ในส่วนที่ 2 ผมจะใช้งานวิจัยชี้ให้เห็นบทบาทของภาครัฐและชุมชนว่ามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรในปีที่ผ่านมาในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นงานวิจัยเรื่อง "การปรับบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง" โดยพยายามฉายภาพของ 4 ภาคๆ ละ 1 หมู่บ้าน สรุปผลการวิจัย เราพบว่า


 


ประเด็นที่ 1 หน่วยงานรัฐยังมีแนวทางในการปฏิบัติ และหลักในการดำเนินงานไม่ต่างจากเดิม มีวิธีคิดการส่งผ่านนโยบาย การสั่งให้ทำ ไปสู่การจัดกิจกรรมโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละชุมชน กิจกรรมมีรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ที่สำคัญ เป็นการระดมทุน/ทรัพยากรจากหน่วยงานภายนอก


 


ประเด็นที่ 2 การแปรนโยบายไปสู่การปฏิบัติยังมีลักษณะของการส่งเป็นลำดับขั้น คือ จากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค จากภูมิภาคไปสู่พื้นที่  ปัญหาที่ตามมาคือ ความเข้าใจในเศรษฐกิจพอเพียงก็ลดหลั่นมาเป็นลำดับขั้น พอลงสู่พื้นที่ปฏิบัติก็นึกอะไรไม่ออก เอาของเดิมมา recycle ดังนั้น กิจกรรมที่ทำในพื้นที่ศึกษาจึงมีลักษณะเลียนแบบและผลิตซ้ำ คือ เลียนแบบของเดิม เลียนแบบชุมชนข้างๆ แล้วทำซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


ประเด็นที่ 3 ชุมชนมีการปรับตัวได้ดีกว่าหน่วยงานภาครัฐ ในขณะที่รัฐยังงงๆ ยังไม่รู้จะเอายังไงดีแน่ ชุมชนรู้แล้วว่าเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาเป็นกระแสการพัฒนาใหม่ มีการตื่นตัวที่จะเรียนรู้  หมายความว่า การพัฒนาที่ผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษทำให้ชุมชนได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ที่จะต้องปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ทุก 5 ปี


 


ประเด็นสุดท้าย การแสดงบทบาทของผู้กำหนดนโยบายยังไม่ชัดเจน รัฐเองพยายามพูดทุกเรื่องเป็นเศรษฐกิจพอเพียงหมด แต่มีภาพที่ขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องของกระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ


 


สรุปข้อค้นพบจากการวิจัยที่น่าสนใจคือ การนำนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติมีปัญหาเรื่องบทบาทคล้ายคลึงกับครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา คือ รัฐเป็นตัวนำคล้ายๆ เดิมอยู่  แต่มีแนวโน้มที่ดูเหมือนจะมีทางสว่างรออยู่ข้างหน้า ดูแล้วการพัฒนาก็มีการก้าวหน้าไปบ้าง


 


การวิเคราะห์จากส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 สรุปได้เป็นข้อสังเกตบางอย่างที่น่าคิด


 


ประการที่ 1 ในการนำนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การปฏิบัติมีลักษณะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เปลี่ยนฉลากใหม่ แต่เนื้อหาเหมือนเดิม แปลงเงิน SML เป็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ถามว่า การใช้ทุนเป็นตัวตั้งในการพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงในระดับชุมชน ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นหลักการหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียงได้ไหม ในเมื่อเงินมาจากข้างนอก แล้วข้างในจะเกิดภูมิคุ้มกันได้อย่างไร


 


นอกจากนี้ นโยบายการพัฒนาที่เน้นทุนเป็นตัวตั้ง เราทำมานานแล้ว เราก็ยังทำซ้ำแล้วซ้ำอีก สมัยคึกฤทธิ์เรามีนโยบายเงินผัน สมัยวิกฤติเศรษฐกิจเรามีโครงการมิยาซาวา สมัยทักษิณเรามี SML กองทุนหมู่บ้าน  สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดผลอย่างหนึ่ง ผมเรียกว่าเกิดการเสพติดในเชิงนโยบาย ทุนเข้ามาถึงชุมชนคนก็ชอบ เหมือนของหวาน ยิ่งให้ก็ยิ่งกิน ยิ่งกิน ก็ยิ่งอร่อย


 


ประการที่ 2 การจัดทำนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงโดยรัฐบาล มีลักษณะของการใช้คำว่า "พอเพียง" มากกว่าให้ความสำคัญกับความหมาย/ปรัชญา  รัฐบาลพยายามยัดเยียดคำว่า "พอเพียง"กับทุกเรื่อง เช่น นโยบายการศึกษาอย่างพอเพียง นโยบายสุขภาพพอเพียง แต่ลืมถึงสาระสำคัญของคำว่าพอเพียงคืออะไร เพราะฉะนั้น เรากำลังใช้คำว่าพอเพียงในนโยบายอย่างฟุ่มเฟือย เป็นการกำหนดนโยบายอย่างไม่พอเพียง


 


ประการที่ 3 รัฐพยายามระดมกิจกรรมลงไปในชุมชนต่างๆ ซึ่งกิจกรรมมีลักษณะที่เยอะแต่ขาดความหลากหลาย เลียนแบบ ผลิตซ้ำ ซ้ำซาก อ.เสรี พงศ์พิชญ์ ใช้คำว่า การมีต้นไม้หลายต้นแต่ไม่มีป่า เช่น ทำบัญชีครัวเรือน ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่สิ่งที่ผมเรียกว่า อาการดื้อยาในกระบวนการพัฒนา คือ ใส่เงื่อนไข/ปัจจัยลงไปแต่ไม่เกิดผล


 


ประการสุดท้าย น่าสนใจที่สุด ถ้ารัฐตีความเศรษฐกิจพอเพียงในลักษณะวาทกรรมใหม่ของรัฐ คือ ตีความว่าเศรษฐกิจพอเพียงน่าสนใจ เพราะเป็นการส่งมอบการพัฒนาให้กับประชาชนจริงๆ โดยเริ่มจากประชาชน และจบด้วยประชาชน หมายความว่า ถ้ารัฐไม่จริงใจในกระบวนการพัฒนา อ้างว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือการพัฒนาโดยประชาชน โดยรากฐานเกิดจากภายใน ต้องพึ่งตนเอง ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นถ้ารัฐส่งมอบนโยบายการพัฒนาโดยใช้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวตั้ง แล้วเกิดความล้มเหลว จะเกิดภาพว่ารัฐไม่ได้ล้มเหลว แต่ประชาชนล้มเหลว เพราะประชาชนไม่เข้มแข็ง นี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้


 


ผมขอสรุปว่า สิ่งที่เห็นในเรื่องการพัฒนาประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบัน เป็นภาพทับซ้อนของอดีตที่วนเวียนไปมาตามหลอกหลอนเราอยู่  สิ่งเหล่านั้น จะเป็นภาพเดียวกันกับการพัฒนาโดยใช้เศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ นี่คือคำถามสำคัญสำหรับบทความชิ้นนี้


 


ผมมองว่า ถ้ามีกระบวนการในการปรับเปลี่ยนวิธีคิด นโยบาย วิถีปฏิบัติ อาจทำให้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นวิถีทางหนึ่งในกระบวนการพัฒนาที่ดี และประสบความสำเร็จได้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น อาจต้องมีการทบทวนวิธีคิด วิธีปฏิบัติ ของรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ว่ามีกรอบความคิดแบบไหน มีวิธีปฏิบัติแบบไหน


 


 


  


--------------------------------


หมายเหตุ บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมเชิงวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 8 (พ.ศ.2550) วันที่ 13-14 ธันวาคม 2550 ณ ศูนย์การค้าและนิทรรศการนานาชาติ กรุงเทพฯ ในหัวข้อย่อย "เศรษฐกิจพอเพียง" สามารถดาวน์โหลดบทความเต็มได้ที่ http://www.polsci.tu.ac.th/polsci2550/


 


 

 


  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net