Skip to main content
sharethis

 


การเมือง


 


 


"จอน"เข้าพบตร.ยันบุกสภาไม่ผิด-อ้างสิทธิตามรธน.


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) พร้อมด้วยทนายความเข้าพบ พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานด้านการสอบสวนในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดี 10 แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมภาคประชาชนปีนรั้วบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาขัดขวางการพิจารณากฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในรายละเอียดพฤติการณ์แห่งคดี


 


นายจอน ตกเป็นผู้ต้องหาพร้อมพวกรวม 10 คนประกอบด้วยนายไพโรจน์ พลเพชร นายศิริชัย ไม้งาม นายสาวิทย์ แก้วหวาน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ น.ส.สารี อ่องสมหวัง นายอำนาจ พละมี นายนัชเซอร์ ยีหมะ นายอนิรุตน์ ชาวสนิท และนายพิชิต ชัยมงคล ทำความผิด 5 ข้อหา 1.ร่วมกันบุกรุกและทำลายทรัพย์สินทางราชการ 2.มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวาย 3.ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขู่ให้ผู้อื่นกระทำผิด 4.ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่น และ 5.ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต


 


นายจอนกล่าวว่า นำเอกสารมามอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันว่าเขาและพวกไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหาและขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำลงไปถือว่า เป็นการกระทำที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ และไม่ได้เป็นการทำร้ายใครทำโดยสิทธิตามกฎหมาย และเข้าใจการทำงานของตำรวจดีที่ตำรวจต้องทำตามหน้าที่ และขอยืนยันว่า ไม่มีเจตนาทำความผิดตามข้อกล่าวหาทั้ง 5 ข้อแต่สิ่งที่ทำไปเพื่อปกป้องประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติโดยรวม


 


ด้าน พล.ต.ต.เจตน์ กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นนายจอนยังคงยืนกรานปฏิเสธก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถกระทำได้ อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนก็มีหลักฐานเพียงพอที่ยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหาทั้งหมด


 


 


"หมัก" ไม่เอา รธน.ประกาศไม่หนุนเลือกตั้งส.ว.


เว็บไซต์แนวหน้า - รายงานข่าวจากที่ประชุมครม.แจ้งว่า ระหว่างที่นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต.และคณะเจ้าหน้าที่ได้ไปชี้แจงเพื่อให้ครม.สนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ว.ที่มีขึ้นวันที่ 2 มีนาคมนั้น โดยกกต.อยากให้ครม.นั้นเป็นพรีเซ้นเตอร์ในการรณรงค์ ในครั้งนี้ด้วยนั้น นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ตนคงจะไม่ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการเลือกตั้งส.ว.ครั้งนี้ เพราะตนไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่กำหนดให้การเลือกตั้งส.ว.จังหวัดเดียวมีตัวแทนจังหวัดละคน เมื่อตนไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญเช่นนี้ และการเลือกตั้ง ส.ว.ที่เป็นลักษณะนี้ แม้ครม.จะมีมติให้หน่วยงานราชการสนับสนุนการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นส่วนตัวก็ไม่จะไปช่วยพูดสนับสนุนรณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง


 


"ที่พูดนี้ขอให้จบที่ประชุมครม.แต่ผมรู้ดีว่าจะต้องมีคนเอาไปพูดข้างนอก" แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายสมัคร


 


 


"สมัคร 1" วางตัว "สมชาย วงษ์สวัสดิ์" นั่ง สร.2 หาก นายกฯปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้


เว็บไซต์แนวหน้า - นายจักรภพ เพ็ญแข ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเป็นรองนายกฯ คนที่ 1 (สร.2) น.พ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี จะเป็นรองนายกฯ คนที่ 2 (สร.3) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ จะเป็นรองนายกฯ คนที่ 3 (สร.4) นายสหัส บัณฑิตสกุล จะเป็นรองนายกฯที่ 4 (สร.5) พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ จะเป็นรองนายกฯ คนที่ 5 (สร.6) และนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกฯ คนที่ 6 (สร.7) โดยทำหน้าที่และปฏิบัติงานแทนนายกรัฐมนตรี หากนายกฯไม่สามารถปฏิบัติราชการได้


 


นายจักรภพ กล่าวยอมรับด้วยว่า การแต่งตั้งโฆษกประจำสำนักนากรัฐมนตรี และทีมโฆษกจะได้รับความชัดเจนในสัปดห์หน้า


 


 


นายกฯ เบรกเกษตรฯ ของบ 160 ล้านบาทแก้หอมใหญ่ราคาตก


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.มีรัฐมนตรีท่านหนึ่งรายงานว่า ขณะนี้มีปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือตกต่ำ เพราะที่ผ่านมา เกษตรกรปลูกกันมาก จนทำให้ผลผลิตล้นตลาด โดยเสนอให้นำงบประมาณ 160 ล้านบาท ไปรับซื้อหอมหัวใหญ่จากเกษตรกร แต่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คัดค้านและระบุว่าจากการตรวจสอบว่าในโลกนี้มีประเทศใดต้องการหอมหัวใหญ่บ้าง และได้ติดต่อหาผู้ซื้อได้แล้ว เพียงขอให้นำหอมหัวใหญ่เก็บในตู้เย็นไว้ก่อน 3 เดือน


"ของที่มีปริมาณล้นแทนที่ จะนำเงินไปช่วยแล้ว เอาไปไถกลบทำปุ๋ย นายมิ่งขวัญบอกว่าให้เอามาจะไปขายให้ นี่เป็นความคิดของคนที่ไม่ทอดทิ้งและไม่ทำให้เสียงบ 160 ล้านบาท เมื่อนำไปขายแล้วได้เงินมาประชาชนได้ราคาที่ต้องการแล้วคราวหน้าอย่าปลูก" นายสมัคร กล่าว


 


แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม.เปิดเผยว่า รัฐมนตรีที่หยิบยกประเด็นเรื่องราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำขึ้นมาหารือในที่ประชุมนั้นคือ นายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ


 


นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า นายมิ่งขวัญ ได้มอบให้นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในแก้ปัญหาราคาหัวหอมใหญ่ตกต่ำ ตามที่สหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ร้องเรียน โดยการแก้ปัญหามี 2 แนวทาง คือ 1.หาตลาดส่งออกระบายหอมหัวใหญ่ที่ออกมาขณะนี้ ซึ่งตลาดส่งออกที่เป็นไปได้ เช่น สหภาพยุโรป (อียู) ตะวันออกกลาง สหรัฐ 2.ชดเชยความเสียหายให้เกษตรกร ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 40-50 ล้านบาท โดยจะเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ กำหนดมาตรการช่วยเหลือ


 


"ต้นทุนปลูกหอมหัวใหญ่อยู่ที่กิโลกรัมละ 4.42 บาท แต่ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 1 บาท ซึ่งปกติราคาหอมหัวใหญ่จะมีราคาดีที่สุดช่วงต้นเดือน ม.ค.เพราะมีผลผลิตออกมาไม่มาก และราคาจะตกต่ำลงตั้งแต่เดือน ก.พ. - มี.ค.เป็นต้นไป"


 


 


ชี้โทษ"วัฒนา"ฐานใช้ออกโฉนด


เว็บไซต์คมชัดลึก - ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานโจทก์ครั้งแรกคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ นำไปก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ


 


โดยอัยการนำพยานเข้าไต่สวนมีเพียง 1 ปาก คือ นายสนั่น ทองจีน เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระดับ 8 ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนคดีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และเป็นผู้ช่วยเลขานุการอนุกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย การไต่สวนพยานในชั้น ป.ป.ช. นายสนั่นได้ร่วมสอบพยานทุกปาก จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ฟังได้ว่าคดีนี้มีมูลความผิด และเห็นว่าคดีในส่วนของนายวัฒนา ในฐานะอดีต รมช.มหาดไทย ถูกข้อกล่าวหาเป็นผู้ใช้ให้กระทำผิดในการออกโฉนด อายุความจึงยังไม่สิ้นสุด ทั้งนี้ นัดไต่สวนพยานโจทก์ปากต่อไปในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้


 


ด้านนายวัฒนา ยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิด และจะขอให้ส่งสำนวนไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเขตอำนาจศาล เพราะคดีนี้ขาดอายุความไปนานแล้วกว่า 11 ปี


 


 


"มัชฌิมา"ตั้ง "เสธ.ยอด" รักษาการหัวหน้าพรรค


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่บ้านพักย่านสนามบินน้ำของนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รักษาการเลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย จัดประชุมคณะกรรมการร่วมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.11 คน ของพรรค เพื่อลงมติในการกำหนดวันประชุมใหญ่พรรคเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริการพรรคชุดใหม่ ภายหลังกกต.วินิจฉัยให้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์พ้นสภาพการเป็นหัวหน้าพรรค โดยนายศุภพรพงษ์ ชวนบุญ รองโฆษกพรรค กล่าวว่า การประชุมวันนี้เพื่อกำหนดวาระการทำงาน จากนั้นได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคซึ่งมีผู้เข้ามาร่วมประชุม 16 คน จากทั้งหมด 27 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับพรรคข้อ 97 ที่กำหนดว่าในสมัยการประชุมสภาฯ ในการประชุมคณะกรรมการร่วเคยมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.พรรค หากหัวหน้าพรรคไม่สามารถเรียกประชุมได้ ให้เลขาธิการพรรคเรียกประชุมได้


 


พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย รักษาการกรรมการบริหารพรรค กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้ตนเป็นผู้รักษาการหัวหน้าพรรคเจากนี้ป็นต้นไป ส่วนในการประชุมวันที่ 16 ก.พ.ตามที่นายประมวลเรียกประชุมถือว่าผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง และให้ยกเลิกไป คณะกรรมการบริหารพรรคยังได้มีมติให้มีการประชุมใหญ่พรรคในวันอาทิตย์ที่ 24 ก.พ.เวลา 09.30 น. ที่วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับพรรคและพ.ร.บ.พรรคการเมือง ส่วนการไปชี้แจงเรื่องยุบพรรค คณะกรรมการได้มอบให้ตนไปชี้แจง โดยพรรคจะทำหนังสือไปยังกกต.ให้ทราบ ทั้งนี้การประชุมวันนี้เราทำตามข้อบังคับพรรค ข้อ 85 และ 97 ที่ให้เลขาธิการพรรคสามารถเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคร่วม เราไม่ได้แตกหักแต่ยึกมั่นกติกาข้อบังคับตามกฎหมาย


 


นางอนงค์วรรณ กล่าวว่า เราพยายามประนีประนอมตลอดมา หากทำตามข้อบังคับพรรคถูกต้อง แต่เมื่อนายประมวลทำไม่ถูกเรียกประชุมโดยข้ามขั้นตอน เราไม่อยากให้พรรคโดนยุบ เราก็ทำหนังสือเชิญนายประมวลมาร่วมประชุมเพื่อให้เรียกประชุมใหม่ คิดว่าประสานไปดีที่สุด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ เราไม่ได้แตกร้าวกับใคร แต่ฟังแล้วว่าทำผิดก็ต้องทำใหม่ คิดว่ากรรมการพรรคส่วนใหญ่คิดกันดีแล้ว ที่บอกว่าเราไม่ได้แจ้งล่วงหน้าในการประชุมก่อน 7 วัน เราบอกแล้วแต่ไม่มาประชุม หากยังรออยู่จะเกิน 30 วัน ที่นายประมวลยังทำผิดตั้งใจหรืออ่านข้อบังคับพรรคไม่ครบ เพราะหากรอแล้วเกิดความเสียหายใครจะรับผิดชอบ


 


"คิดว่าปัญหาในพรรคไม่น่าจะกระทบกับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะเราไม่เคยมีปัญหากับใคร หากนายประมวลจะเรียกประชุมเรายินดีไป แต่ไม่ใช่เรียกประชุมใหญ่เลือกหัวหน้าพรรค เรื่องการยุบพรรคคงไม่มีใครอยากให้ยุบ แต่คิดว่ากกต.คงพิจารณาอย่างเป็นธรรมมีเหตุผล เราคิดว่าการพ้นสภาพแล้ว ไม่ควรไปรับผิดชอบความผิดที่เกิด ขึ้นกับกกต.จะเรียกเราไปชี้แจงวันที่ 18 ก.พ.เราคงจะทำหนังสือถึงกกต.ว่าพรรคได้มอบพล.ต.อินทรัตน์ไปชี้แจงเรื่องยุบพรรค


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายณรงค์ พิริยเอนก รักษาการโฆษกพรรค ระบุให้ยุบพรรคไปเลยเพื่อให้ปัญหาจบไป นายชุมพร ชุณิกาภรณ์ กรรมการบริหารพรรค กล่าวว่า การพูดเช่นนี้เท่ากับทำลายระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงเตรียมจะฟ้องเรียก ค่าเสียหาย 2,000 ล้านบาทกับนายณรงค์และคนที่เกี่ยวข้อง


 


 


 


 


เศรษฐกิจ


 


"หมอเลี้ยบ"ลังเลเลิกกันสำรอง30%ทีดีอาร์ไอห่วงรัฐล้วงลูกธปท.


เว็บไซต์คมชัดลึก - นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้บิรหาร ธปท. ว่า ยังไม่มีการตัดสินใจชี้ขาดเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% โดยขอให้ ธปท.นำข้อมูลบางส่วนกลับมารายงานเพิ่มเติมในการหารือกันอีกครั้งที่จะมีขึ้นโดยเร็วที่สุด หากได้รับข้อมูลครบถ้วนก็น่าจะนำไปสู่การตัดสินใจหรือมีความชัดเจนในเรื่องนี้ ก่อนจะนำข้อมูลไปโรดโชว์กับนักลงทุนต่างชาติ


 


"ข้อมูลที่ ธปท.เตรียมมามีมากพอสมควร แต่มีบางส่วนที่ผมสนใจและสอบถามไป ซึ่งบอกไม่ได้เพราะส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่เป็นความลับ จึงจะยังไม่ตัดสินใจจนกว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมครบถ้วน เพราะการตัดสินใจใดๆ ถ้าเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบาย ผมต้องพร้อมรับผิดชอบและต้องคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก" นพ.สุรพงษ์ กล่าวและว่า การชะลอการตัดสินใจออกไป ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และมีผลต่อค่าเงินบาท เพราะมาตรการ 30% ใช้มานานแล้ว คงไม่ต้องเร่งรีบตัดสินใจ


 


ขณะที่ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการด้านวิจัยเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความเป็นห่วงกรณีที่กระทรวงการคลังหารือร่วมกับ ธปท. เพื่อยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ว่า ตามหลักสากลแล้ว การแทรกแซงการทำงานของ ธปท.ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของ ธปท.ลดลง และจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพนโยบายการเงินของประเทศในระยะยาว ซึ่งมองว่า หากภาครัฐไม่มายุ่งเกี่ยวการทำงานของ ธปท. ก็เชื่อว่า ธปท.จะยกเลิกมาตรการกันสำรองได้ภายในปีนี้


 


ด้าน ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐกิจและการเมือง กล่าวว่า เห็นด้วยที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แต่ควรมีมาตรการรองรับการแข็งค่าของเงินบาท โดยมาตรการรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสามารถทำได้ 6 แนวทาง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกันของ ธปท. และกระทรวงการคลัง ว่าจะให้น้ำหนักกับเรื่องใด มาตรการแรก คือ การลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศลงอย่างน้อย 0.5% มาตรการที่สองคือ การเข้าแทรกแซงของ ธปท. ด้วยการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ


 


มาตรการที่สาม คือ การส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนต่างประเทศ มาตรการที่สี่ คือ การเก็บภาษีขาออกสำหรับกำไรของเงินทุนระยะสั้นของต่างชาติ มาตรการที่ห้า คือ การหันกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงิน แต่ขยายช่วงการเคลื่อนไหวของเงินบาทให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และมาตรการสุดท้าย คือ การกำหนดให้เงินทุนต่างชาติที่เข้าไทยต้องซื้อประกันความเสี่ยงเต็มจำนวน


 


 


รัฐบีบกฟผ.ลดต้นทุนกดเอฟทีลง3สตางค์


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการหารือกับ นายณอคุณ สิทธิพงษ์ ประธานอนุกรรมการกำกับดูอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ วานนี้ (12 ก.พ.) เกี่ยวกับปัจจัยที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนก.พ.-พ.ค.2551 ปรับลดลง ว่า มีแนวโน้มดีที่ค่าเอฟที งวดนี้ จะปรับลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.28 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 33 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะมีผลช่วยให้ค่าเอฟทีลดลง 3 สตางค์ต่อหน่วย รวมทั้งยังให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประสานงานกับกรมชลประทาน ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำซึ่งมีต้นทุนต่ำในระดับที่มากขึ้น เนื่องจากช่วงนี้เข้าหน้าแล้ง ซึ่งจะต้องมีการปล่อยน้ำ เพื่อให้ชาวบ้านทำการเกษตร ช่วยให้สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำในระดับที่มากขึ้นได้


 


นอกจากนั้นขณะนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ฝนตกน้อย ความต้องการน้ำของเกษตรกรสูงขึ้น ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะไปประสานกับกรมชลประทานเกี่ยวกับแผนปล่อยน้ำเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ซึ่งหากมีการปล่อยน้ำเพิ่ม การผลิตไฟฟ้าจากน้ำจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ต้นทุนผลิตไฟฟ้าลดลงไปด้วย นอกจากนี้ ยังมอบกฟผ.ให้ไปพิจารณาเร่งรัดการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจากแหล่งเจดีเอและแหล่งอาทิตย์ ซึ่งหากเข้าระบบเพิ่มเติม จะทำให้การผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตาลดลงในช่วงเดือนเม.ย.ที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ดังนั้นรวมแล้วค่าเอฟทีจะสามารถลดได้อย่างน้อย 3 สตางค์ต่อหน่วย หรือจาก 5 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 2-3 สตางค์ต่อหน่วย อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้คณะอนุกรรมการจะมีการหารืออีกครั้งวันนี้ (13 ก.พ.)


 


"ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดนี้คงเพิ่มขึ้นบ้าง แต่มีข่าวดีคือเพิ่มน้อยกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งจะช่วยลดภาระประชาชนได้ส่วนหนึ่ง และเป็นเรื่องเร่งด่วนเรื่องแรกที่จะต้องทำ อย่างไรก็ตามช่วงหน้าร้อน ก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนในการประหยัดไฟฟ้าด้วย เพราะยิ่งใช้ไฟฟ้ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งจ่ายเพิ่มและระบบผลิตก็อาจจำเป็นต้องใช้น้ำมัน ค่าไฟเอฟทีก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนการมีคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน (เรคกูเลเตอร์) ที่จะดูแลค่าเอฟทีในอนาคตนั้น ตามกฎหมายคณะกรรมการชุดนี้ จะต้องดำเนินการภายใต้นโยบายรัฐ" พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ กล่าว


 


พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ กล่าวด้วยว่า การเข้ามาดูแลค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดนี้จะไม่สร้างภาระเพิ่มต่อ กฟผ. และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพราะเป็นเพียงการปรับเรื่องผลกระทบค่าเงินบาทและการใช้น้ำผลิตไฟฟ้าเพิ่ม และตนไม่มีนโยบายที่จะตรึงราคาก๊าซธรรมชาติ ส่วนเรื่องราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้ามาดูโครงสร้างราคา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชน แต่ก็ต้องดูการพัฒนาที่ยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดปัจจุบันอยู่ที่ 66.11 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเป็นที่คาดว่าอนุกรรมการเอฟทีอาจจะปรับเพิ่มประมาณ 2 สตางค์ต่อหน่วย


 


"การดำเนินการทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนความสมดุลเป็นธรรมกับประชาชน และตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่วนราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มนั้น จะเข้าไปดูแลในลำดับถัดไป แต่ต้องขอดูรายละเอียดก่อน และยืนยันว่า จะไม่ใช้เงิน เพื่อแทรกแซงราคาน้ำมัน เพราะไม่มีนโยบายตรึงราคาพลังงาน"


 


พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำการตรวจสอบการต่ออายุสัมปทานแหล่งผลิตปิโตรเลียม ว่า เรื่องนี้ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานรวบรวมข้อเท็จจริง เพื่อชี้แจงต่อสตง.ต่อไป โดยเรื่องนี้ดำเนินการในช่วงของรัฐบาลชุดก่อน


 


 


ปตท.ปรับแผนเพิ่มผลิตเอ็นจีวี ป้อนกลุ่มรถมินิบัสกว่า3พันคัน


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปตท.ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการรถร่วมบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯหรือขสมก. พบว่า ขณะนี้กลุ่มรถร่วมบริการขนาดเล็ก (มินิบัส) ต้องการหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) เพิ่มอีกกว่า 3,000 คันภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้เอ็นจีวีปี 2551 เพิ่มขึ้นกว่า 3,200 ตันต่อวัน ดังนั้นปตท.จึงต้องทบทวนแผนการผลิตใหม่ โดยจะขยายกำลังผลิตเอ็นจีวีรองรับ ป้องกันเกิดปัญหาเอ็นจีวีขาด ซึ่งตามแผนเดิม ปตท.เตรียมเอ็นจีวีรองรับเฉพาะรถร่วมบริการขนาดใหญ่ ที่แจ้งความจำนงเปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีเพียง 3,800 คันเท่านั้น และปตท.เตรียมเอ็นจีวีรองรับ 3,200 ตันต่อวันในสิ้นปี


 


อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับความต้องการเอ็นจีวีที่เพิ่มขึ้น ปตท.ได้เตรียมขยายสถานีแม่เพิ่ม โดยเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนก่อสร้างจากเดิมที่ปตท.ลงทุนเอง เพื่อให้ขยายสถานีแม่ได้เร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเอกชนหลายรายสนใจ เช่น กลุ่มผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์ ใช้เงินลงทุนแห่งละ 100 ล้านบาท ปตท.รับประกันปริมาณการจำหน่ายก๊าซฯแต่ละเดือน


 


"ขณะนี้ปตท.กำลังร่างประกาศเชิญชวนเอกชนมาร่วมลงทุนโครงการนี้ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณเอ็นจีวีเข้าระบบได้อีก 1,000 ตันต่อวันหรือจาก 3,200 ตันต่อวัน เป็น 4,200 ตันต่อวันในปลายปี ก่อนหน้านี้ ปตท.เปิดบริการสถานีแม่แห่งใหม่ กำลังส่งก๊าซฯ 100 ตันต่อวัน และอีกแห่ง กำลังส่ง 60 ตันต่อวัน รองรับความต้องการที่เพิ่มเป็น 1,240 ตันต่อวัน และกลางปีเพิ่มเป็น 2,300 ตันต่อวัน นอกจากนี้ยังเร่งขยายสถานีเอ็นจีวีใกล้อู่รถร่วมบริการอีก 14 จุด โดยปตท.ร่วมกับผู้ประกอบการรถร่วมฯหาพื้นที่สร้างสถานีเอ็นจีวี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 280 ล้านบาท


 


นายณัฐชาติ กล่าวอีกว่า เร็วๆ นี้ปตท.จะหารือกับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อขอเงินสนับสนุนเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาทเพื่อใช้ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่กลุ่มรถร่วมฯที่สนใจใช้เอ็นจีวีจำนวนมาก จนเงินหมุนเวียนที่กองทุนฯอนุมัติไว้ 2,000 ล้านบาทไม่เพียงพอ โดยกองทุนฯคิดดอกเบี้ย 0.5% และปตท.ปล่อยกู้ผู้ประกอบการคิดดอกเบี้ย 0.5%


 


"ปริมาณรถที่ติดเอ็นจีวี ณ วันที่ 1 ก.พ. 2551 อยู่ที่ 61,000 คัน เป็นรถแท็กซี่ 17,500 คันที่เหลือเป็นรถบรรทุกและรถทั่วไป หลังจากกฎกระทรวงมีผล ตามแผนจะมีรถแท็กซี่ใหม่ติดเอ็นจีวีเดือนละ 500 คัน และมีรถแท็กซี่ใช้ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) มาติดเอ็นจีวีเพิ่มอีกเดือนละ 850 คัน"--จบ--



 


 


คุณภาพชีวิต


 


 


สปส.แนะระงับตั้งธนาคารแรงงานไว้ก่อน


เว็บไซต์สยามธุรกิจ - จากกระแสข่าวการจัดตั้งธนาคารแรงงานของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่ออกมาตามสื่อแขนงต่างๆ ซึ่งคลาดเคลื่อน และไม่ตรงตามข้อเท็จจริงดังนั้น สำนักงาน ประกันสังคมขอชี้แจงว่าขณะนี้คณะกรรม การสำนักงานประกันสังคมได้รับทราบเรื่องนี้แล้วและได้เสนอแนะว่ายังไม่สมควรดำเนินการ


 


นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมกล่าวว่าแนวคิดการจัดตั้งธนาคารแรงงานเกิดจากข้อเสนอและข้อเรียกร้องของคณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภาสภาผู้แทนราษฎรและองค์กรแรงงานแห่งประเทศไทยเมื่อปี2548ซึ่งต่อมาในปี2549 สำนักงานประกันสังคมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งธนาคารแรงงานโดยบริษัทที่ปรึกษาได้เสนอผลการศึกษาและจากการสำรวจ ข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิสรุปได้ว่าการจัดตั้งธนาคารแรงงานเป็นนโยบายระดับชาติรัฐบาล ควรจัดงบประมาณดำเนินการไม่ควรใช้เงินกองทุนประกันสังคมเนื่องจากต้นทุนสูง


 


ในขณะที่ผลตอบแทนยังไม่แน่นอน ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมได้รายงานผลการศึกษา ให้คณะกรรมการประกันสังคมทราบเมื่อเดือนตุลาคม2550แล้วซึ่งคณะกรรมการฯให้ข้อ สังเกตว่าการจัดตั้งธนาคารแรงงานยังไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการในช่วงนี้ควรชะลอไว้ก่อนและได้รายงานผลการศึกษาและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯให้ปลัดกระทรวง แรงงานและรัฐมนตรี กระทรวงแรงงานทราบแล้วเมื่อวันที่18 ธันวาคม2550ดังนั้น สำนักงานประกันสังคมจึงขอยุติเรื่องการจัดตั้งธนาคารแรงงานไว้ก่อน


 


จากผลการบริหารกองทุนประกันสังคมประจำปี 2550 ณ วันที่31ธันวาคม 2550 กองทุนประกันสังคมมีเงินลงทุนรวม499,912 ล้านบาท ในจำนวนเงินนี้เป็นเงินกองทุนกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ 398,488 ล้านบาทซึ่งกองทุนประกันสังคมจะออมไว้เพื่อจ่ายบำนาญชราภาพ ในปี 2557 เป็นเงินกองทุนที่ดูแลกรณีเจ็บป่วย ตาย ทุพลภาพ คลอดบุตร 72,736 ล้านบาท และเป็นเงินกองทุนกรณีว่างงาน 28,688 ล้านบาท


 


โดยสำนักงานประกันสังคมได้นำเงินลงทุนจำนวน 499,912 ล้านบาทในปัจจุบัน แบ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน เงินฝากธนาคารและหุ้นกู้เอกชน412,370 ล้านบาทและลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ตราสารหนี้อื่นๆ หน่วยลงทุน และหุ้นสามัญ87,542 ล้านบาทคิดเป็น 18% ของเงินลงทุนโดยผลจากการลงทุนทำให้กองทุนประกันสังคมได้ผลตอบแทน จำนวน 21,109 ล้านบาท สูงกว่าปี 2549 ซึ่งได้ผลตอบแทน จำนวน 17,346 ล้านบาท


 


 


รมว.ศธ.กำชับครู อาจารย์และผู้ปกครอง ผ่านสื่อช่วยแนะวัยรุ่นให้เข้าใจถูกต้องถึงวันวาเลนไทน์


เว็บไซต์แนวหน้า - นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)กล่าวถึงโพลสำรวจพฤติกรรมเด็กและเยาวชนเสี่ยงมีเพศสัมพันธ์ในวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ ว่า ตนไม่ใช่คนสมัยใหม่ แต่ก็ไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย หรือโบราณเกินไป ถึงแม้วันวาเลนไทน์จะเป็นธรรมเนียมของฝรั่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าได้แพร่หลายเข้ามาจนเด็กไทยเคยชินกับวันวาเลนไทน์โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ครู อาจารย์ และผู้ปกครองจะต้องให้ความรู้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ที่ถูกต้องกับเด็ก


 


"ขณะนี้ใกล้ถึงเทศกาลวันวาเลนไทน์แล้ว หากผมจะสั่งการไปยังโรงเรียนก็คงไม่ทัน ก็ขอพูดผ่านสื่อไปถึงครู อาจารย์และผู้ปกครอง ว่าควรจะสื่อสารให้เด็กเข้าใจได้ถูกต้องว่าวันแห่งความรักเป็นเรื่องที่ดีที่มอบความรัก ความเอื้ออาทรให้แก่กัน แต่อย่าไปมองเรื่องการมีเพศสัมพันธ์จนกลายเป็นค่านิยมที่ผิด และต้องรักษาประเพณี วัฒนธรรมอันดีของไทยไว้ อย่าให้คนอื่นมองว่าในวันวาเลนไทน์ก็ครุ่นคิดแต่เรื่องเพศเท่านั้น ส่วนการเฝ้าระวังขณะนี้ก็มีหลายหน่วยงานที่ทำหน้าที่คอยสอดส่องดูแลอยู่แล้ว" รมว.ศธ. กล่าว


 


ด้านนายบุญรัตน์ วงศ์ใหญ่ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า การประชุมสำนักงานปลัด ศธ. วันนี้ ได้นำข้อห่วงใยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีต่อนักเรียนหญิงในเรื่องเพศศึกษา โดยทรงเน้นจัดกิจกรรมและโครงการที่ทำให้ยุวกาชาดรู้ถึงปัญหาและความจำเป็นที่ต้องดูแลป้องกันตนเอง ซึ่ง ศธ.นำพระราชกระแสมาหาทางแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงเฉพาะหน้าในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ได้ขอความร่วมมือจาก 3 กลุ่มคือ 1.ครูและโรงเรียน เอาใจใส่ให้ความรู้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์แก่เด็กที่ถูกต้อง ไม่ให้เด็กใช้เงื่อนไขนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ 2.ผู้ปกครอง โดยการสื่อสารผ่านสมาคมผู้ปกครองหรือชมรม ให้ดูแลลูกหลานตัวเองให้มาก โดยเฉพาะในคืนวันวาเลนไทน์ไม่ให้เด็กเที่ยวดึกๆ ถ้าไปเที่ยวควรมีผู้ปกครองไปด้วย 3.ผู้ประกอบการโรงแรม ม่านรูด อย่าให้เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าไปใช้บริการ


 


"เราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากตำรวจได้กำชับตำรวจในท้องที่ไปเฝ้าและประจำตรวจตราตามจุดล่อแหลมที่เด็กไปเที่ยวหรือใช้มั่วสุมกัน ซึ่งในคืนวันวาเลนไทน์ทางสารวัตรนักเรียนทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่จะร่วมกับตำรวจออกตรวจตราสอดส่องดูแลนักเรียน และอาจจะออกตรวจตั้งแต่คืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ด้วย หากพบเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเราสามารถตรวจค้นและขอดูบัตรประจำตัวแล้วเชิญผู้ปกครองมาพบในสถานที่เหมาะสมเช่นสถานีตำรวจหรือสถานที่ปลอดภัย และอาจใช้มาตรการวินัยการเรียนควบคุมความประพฤติ"รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว


 


นายบุญรัตน์ กล่าวด้วยว่า ระยะยาวนั้นจะต้องปรับค่านิยมให้เด็กไทยรักนวลสงวนตัว และเข้าใจเรื่องเพศศึกษาในทางที่ถูกต้อง รวมทั้งมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากขึ้น โดยผ่านเนื้อหาในกระบวนการเรียนการสอน


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net