ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 27 เมษายน 2551

การเมือง

"เหลิม" เตือนพันธมิตรลดความแข็งกร้าว


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้ติดตามการสัมมนาประชาชนติดอาวุธทางปัญญา ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ ครั้งที่ 2 ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยเฉพาะคำพูดที่ไม่เหมาะสม รุนแรงของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ จึงขอเตือนกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ลดท่าทีแข็งกร้าว นำเนื้อหาสาระออกมาแสดงความเห็นอย่างสันติ ไม่รุนแรงตามหลักของระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องเคารพเสียงข้างมาก รับฟังเสียงข้างน้อย ทั้งนี้ยังแนะนำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งเป็นพรรคการเมืองมาแข่งขันกับรัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตย หรือจัดเวทีดีเบต เพื่อแสดงความคิดเห็นกับตนเอง แต่ไม่ควรใช้วิธีการข่มขู่รัฐบาลเพราะรัฐบาลไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ไม่ว่าจะมีการชุมนุมอีกกี่ครั้ง


 

ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่า มีฝ่ายทหารให้การสนับสนุนนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า ไม่ทราบว่าเป็นทหารจากประเทศใด เนื่องจากฝ่ายทหารของไทยก็ประกาศชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง อย่างไรก็ตามเห็นว่าเหตุรุนแรงเมื่อคืนที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จุดเริ่มต้นเกิดจากผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นคดีอาญาจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย

 

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังกล่าวถึงกรณีที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่า มีขบวนการจ้องล้มปืน-ทุน-เจ้าอยู่นั้น เป็นเพียงทฤษฎีคอมมิวนิสต์ ที่มีในอดีตไม่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน

 

สำหรับใบปลิวโจมตีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรสวมกระแสนำพลเอกเปรม เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนหากพลเอกเปรม ต้องการเอาผิดกับบุคคลที่โจมตี จะต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานให้ดำเนินการตามกฎหมาย

 

 

ม็อบมหาประชาชนฯปัดไม่เกี่ยวม็อบปาขวดช่างภาพ

เว็บไซต์คมชัดลึก - นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานกลุ่มมหาประชาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิป ไตย ปฏิเสธว่า การสร้างความรุนแรงในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น เป็นเรื่องกลุ่มอื่นและไม่ใช่กลุ่มมหาประชาชนฯ โดยเชื่อว่าเรื่องเกิดขึ้นเป็นความแตกแยกทางความคิด

 

"จากเดิมกลุ่มมหาประชาชนฯ จะขอตั้งเวทีที่ท้องสนามหลวง เพื่อต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 26 เม.ย.นี้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีงานราชพิธีอยู่ จึงตัดสินใจได้ย้ายไปจัดชุมนุมที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ในวันที่ 27 เม.ย.นี้ เวลา 16.00 น.แทน" ส.ส.สมุทรปราการ ระบุ

 

ประธานกลุ่มมหาประชาชน กล่าวด้วยว่า ทางกลุ่มสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากพันธมิตรฯ ซึ่งคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะนัดชุมนุมเพื่อปิดรัฐสภา กลุ่มมหาประชาชนฯ ก็จะชุมนุมเช่นกัน โดยเริ่มจากสนามหลวงไปจนถึงบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่ทำงานของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตร

 

 

ม็อบต้านโผล่ป่วนเสวนาพันธมิตร

เดลินิวส์ -  ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจรภาคพิเศษ ครั้งที่ 2 เพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยบรรยากาศไม่คึกคักเหมือนครั้งแรก มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมบางตา โดยบริเวณรอบมหาวิทยาลัยฯ มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากในฝั่งสนามหลวงมีกลุ่มผู้ต่อต้านม็อบพันธมิตรฯปักหลักชุมนุม และใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวโจมตีอย่างต่อเนื่อง และมีความพยายามข้ามถนนมายังฝั่งหอประชุมหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ได้กันตัวออกไป

 

ขณะที่ด้านหน้าหอประชุมได้มีการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อถอดถอน ส.ส.ที่ลงชื่อรับรองญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการแจกเอกสารโจมตีรัฐบาล นอกจากนี้ยังได้ติดประกาศรายชื่ออดีตคนเดือนตุลา ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นต้น

 

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนการสัมมนาว่า วันนี้กลุ่มพันธมิตรฯจะเฝ้าระวังฝ่ายตรงข้าม และจะดูแลผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาไม่ให้มีการตอบโต้ เพราะความสำคัญจะอยู่บนเวที ซึ่งในช่วงหัวค่ำจะปิดประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อป้องกันปัญหามือที่สาม ทั้งนี้ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีการสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนมาร่วมสัมมนา โดยในภาคตะวันออกทราบว่าผู้ว่าฯ ได้ออกคำสั่งห้ามประชาชนเดินทางมาร่วม อย่างไรก็ตามเราไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงและเผชิญหน้า และยอมรับว่ายังไม่พร้อมที่จะเดินขบวนและคิดจัดการชุมนุมใหญ่ และขอปฏิเสธว่าเราไม่มีเงินสนับสนุนในการชุมนุม

 

จากนั้นเวลา 17.00 น. น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวในการสัมมนาเรื่องเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 2550 ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ได้เกิดวิกฤติขึ้น 2 วิกฤติ คือวิกฤติประชาชนแตกแยกเพราะถูกกลุ่มบุคคลเข้าไปยุยงให้ข้อมูลเท็จ และวิกฤติรัฐธรรมนูญซึ่งมีความพยายามของบุคคลในรัฐบาล ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว ต้องการแก้ไขเพื่อปกป้องเจ้านาย ทั้งที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2550 ต้องการอุดช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นที่มาของต้นเหตุของรัฐประหารเนื่องจากปัญหาคอร์รัปชั่น การที่บอกว่ารัฐธรรมนูญปี 50 เป็นกับดักการเมืองนั้น ตนอยากบอกว่ากับดักมีไว้ดักสัตว์ถ้าใครไม่ใช่สัตว์ก็ไม่ต้องกลัว ในขณะที่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้กล่าวถึงการแก้ไข รธน.ของรัฐบาลว่า ทำเพื่อไม่ให้ถูกยุบพรรค แต่อ้างว่าทำเพื่อประชาชน และการที่จะยุบ คตส. รวมทั้งองค์กรอิสระ ก็เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รอดจากคุก

 

ทางด้านฝั่งท้องสนามหลวง กลุ่มต่อต้านม็อบพันธมิตรฯประมาณ 50 คน ปักหลักอยู่บน ฟุตปาธฝั่งตรงข้ามหอประชุมธรรมศาสตร์ โดยมีประชาชนที่มาดูเหตุการณ์รวมทั้งที่เข้ามาร่วมด้วย รวมแล้วประมาณ 300 คนจับกลุ่มกันอยู่ ใช้เครื่องขยายเสียงพูดจาค่อนข้างรุนแรง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถบรรทุกหกล้อ 3 คันมาจอดปิดประตูทางเข้าหอประชุมไว้ เปิดเพียงทางเข้าเล็ก ๆ เท่านั้นให้ผู้ที่ต้องการจะเข้าไปด้านในผ่าน เพื่อเป็นการตรวจอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายไปในตัว ทำให้กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ไม่พอใจตะโกนด่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรุนแรง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบไม่มาก ที่คอยดูแลอยู่ด้านหน้ากลุ่มผู้ชุมนุม แต่ก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบอีกจำนวนมากที่ปะปน อยู่กับกลุ่มต่อต้าน แต่เหตุการณ์จนถึงเวลา 19.30 น. ยังไม่มีเหตุรุนแรง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ เกิดไม่พอใจกลุ่มผู้ชุมนุม จึงใช้ก้อนหินขว้างข้ามไปใส่กลุ่มต่อต้าน แต่พวกเดียวกันเห็นเข้า จึงช่วยกันจับตัวไว้แล้วพาตัวออกไปจากจุดดังกล่าว ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านที่ถูกขว้าง ได้ตะโกนบอกพรรคพวกว่า ถูกฝ่ายตรงข้ามขว้างหินมาใส่หัวตน ทำให้แกนนำไม่พอใจ พากันพูดให้ผู้ชุมนุมลุกฮือขึ้น เพื่อจะข้ามถนนไปฝั่งหอประชุม แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจถือโล่และเข้าขัดขวางไว้ทัน ทำให้เหตุการณ์ไม่รุนแรง แต่ก็ยังมีผู้พยายามปลุกม็อบเป็นระยะ ๆ

 

 

พะจุณณ์ดอดฟัง "ยามภาค2" แจงหาข่าว-ปัดหนุนพันธมิตร

เว็บไซต์ไทยรัฐ - พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ กล่าววันนี้ (26 เม.ย.) ว่า วานนี้ได้ไปอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีการจัดรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ 2 โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จริง เพื่อไปหาข่าวตามปกติทั่วไป ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องทำตามหน้าที่เท่านั้น เพราะไม่ได้อ่านข่าวจากทางหน้าหนังสือพิมพ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะต้องวางตัวเป็นกลาง

 

หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ กล่าวด้วยว่า ตามปกติแล้ว จะเข้าไปนั่งฟังห่างๆ แต่เมื่อเกิดฝนตกจึงทำให้ต้องมาหลบฝน บังเอิญเจอกับสื่อมวลชนเข้า จึงเป็นข่าว อย่างไรก็ตาม การชุมนุมอื่นๆ ก็ได้เข้าไปหาข่าวตามปกติ รวมทั้ง การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. ที่ผ่านมา ด้วย

 

 

พันธมิตรตั้งฉายารธน.ฟอกมาร

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  กล่าวถึงพิมพ์เขียวแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนว่า มีเป้าหมาย 2 ระดับ โดยระดับแรกนั้นเป็นการฟอกผิดให้กับตนเองอย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการรื้อ มาตรา 237 และมาตรา 309 หวังตัดตอนคดีความผิดไม่ให้ถึงศาล

         

ส่วนระดับที่สอง เป็นการปูทางฟื้นคืนชีพระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการเขี่ยทิ้งองค์กรอิสระที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จะเห็นได้ว่าไม่มีมาตราใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ขอตั้งฉายาพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญฉบับพรรคพลังประชาชนว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับฟอกมาร

         

เขาระบุว่า หากรัฐบาลดันทุรังเอาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภา ความแตกแยกจะเกิดขึ้นทันที ได้แต่หวังว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะกล้าพอที่จะถอดชนวนวิกฤติชาติครั้งนี้ หาไม่แล้วก็ต้องตกเป็นจำเลยในฐานะทรราชเสียงข้างมากอย่างแน่นอน ซึ่งความดื้อดึงของพรรคพลังประชาชนครั้งนี้ ทำให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนไหวง่ายขึ้น โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่คาดว่าคนจะเยอะกว่าที่ผ่านมา เพราะธาตุแท้และวาระซ่อนเร้นถูกเปิดโปงอย่างชัดแจ้ง

 

 

เลขาฯ "จาตุรนต์" เดือด จวกเทพไท พูดไม่สร้างสรรค์ กรณีปูดตัวการโจมตีป๋า

เว็บไซต์แนวหน้า - นายธนู จำปาทอง ในฐานะเลขานุการส่วนตัวของนายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวถึงกรณีที่นายเทพไท เสนพงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเปิดตัวขบวนการโจมตีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยบุคคลที่จัดทำเอกสารใบปลิว ซีดี โจมตีพล.อ.เปรม ชื่อนายชาญวิทย์ อายุประมาณ 50 ปี เป็นชาวจังหวัดพัทลุง เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นเดียวกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยว่า เป็นการพูดทางการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หากนายเทพไทจะพูดให้ครบมีเนื้อหาครบถ้วน ต้องบอกสังคมด้วยว่า นายชาญวิทย์ นอกจากเรียนรุ่นเดียวกับจาตุรนต์แล้ว ควรบอกกับสังคมว่า เป็นรุ่นน้องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรุ่นพี่ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย

 

"ท่านจาตุรนต์เดินทางไปจีนเป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนได้ทราบมีการกล่าวพาดพิง โทรฝากให้ผมชี้แจง โดยอยากฝากบอกไปยังผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะตักเตือนนายเทพไท เสนพงษ์ ในการออกมาพูด ควรจะสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าจะพูดควรที่จะพูดให้หมดสังคมจะได้ไม่เคลือบแคลงสงสัย" เลขานุการส่วนตัวนายจาตุรนต์ กล่าว

 

 

'เสรี'ยื่นร้องนายกปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

เดลินิวส์ - ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 เม.ย. นายนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อายุ 39 ปี ที่ปรึกษากลุ่มการ์ดประชาธิปไตยต้านพันธมิตร ป่วนเมือง เข้าพบ พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. กรณีกล่าวจาบจ้วงเบื้องสูง ประพฤติตัวไม่เหมาะสม และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และการกล่าวในที่ประชุมนายตำรวจ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ได้นำหลักฐานเอกสาร และแผ่นวีซีดีที่เกี่ยวข้อง มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

 

นายนพรุฒ กล่าวว่า กรณีแรกเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2550 เป็นวันสวนสนาม และกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณของสี่เหล่าทัพ ซึ่งปกติจะต้องถือเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติ ละเว้นไม่ได้ ของข้าราชการตำรวจระดับสูง เช่น ผบ.ตร. ที่ต้องเดินทางไปร่วมงาน และถวายการอารักขา รวมทั้งต้องร่วมการถวายสัตย์ฯด้วย แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กลับเดินทางไปร่วมงานของชมรมสุขสวัสดิ์ 14 เพื่อเปิดสถานบริการนวดเพื่อสุขภาพ ที่ชื่อว่า "มายแคร์" ย่านพระราม 2 ภายหลังก็ยังมีการนำภาพการไปร่วมงานดังกล่าว ไปตีพิมพ์ไว้ในวารสาร "หยดน้ำ" ที่ตนได้นำมาใช้เป็นหลักฐานให้ตำรวจประกอบการพิจารณา

 

นายนพรุฒ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ 2 คือ การขึ้นกล่าวในที่ประชุม งานพัฒนาข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุมกองบัญชาการสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการถ่ายวิดีโอบันทึกภาพและเสียงไว้ตลอด เบื้องต้นจากการตรวจสอบเทปบันทึกการประชุมพบว่า ในช่วงหนึ่ง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ได้กล่าวถึงปัญหาการป้องกันอาชญา กรรม และปัญหาการจราจร ซึ่งคำพูดในบางตอนมีลักษณะที่พาดพิงและจาบจ้วงเบื้องสูง

 

ทางด้าน พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รอง ผบก.ป. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.สมยศ ร่มสน พงส. (สบ.3) บก.ป. ทำการสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะได้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงกันต่อไป

 

ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านทางนาย ศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า มายื่นคำร้องถึงกรรมการ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนนายสมัคร กระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกฎหมายอื่น ๆ เพื่อดำเนินคดีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 และ 276 โดยเอกสารที่นำมายื่นเป็นการสรุปข้อเท็จจริง ที่นายสมัครมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงตน จนถึงการสั่งให้ออกจากราชการ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะการร้องกล่าวโทษข้าราชการว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจ แห่งชาติ จะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน หรือหากไม่สอบสวนข้อเท็จจริง จะต้องพิจารณาในเบื้องต้นว่ามีมูลที่กระทำความผิดทางวินัยหรือ ไม่ แต่นายกรัฐมนตรีใช้วิธีพิจารณาในเบื้องต้นโดยไม่สอบสวนข้อเท็จจริง ถ้าสอบสวนตนสามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้ แต่ต้องการเปลี่ยน ผบ.ตร. ด้วยวิธีการปล้น จึงไม่ดำเนินการตามกฎหมาย

 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ากระบวนการที่ผ่านมาผิดกฎหมายทั้งหมด แม้กระทั่งวันนี้ คำสั่งที่ให้ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 8-25 เม.ย. คำสั่งดังกล่าวก็ยังไม่มาถึงตน แถมนักกฎหมายของนายกรัฐมนตรี ยังบอกว่าตนออกจากราชการไปแล้ว มั่นใจว่าการร้องต่อ ป.ป.ช.จะได้รับความเป็นธรรม

 

 

อัดรัฐบาลปล่อยแก๊งล่วงเกิน"ป๋าเปรม"ลอยนวล

เว็บไซต์คมชัดลึก - พล.ต.ต.อัมพร ภัยลี้ ประธานที่ปรึกษาชมรมเกิดมาต้องต้องแทนคุณแผ่นดิน จ.สงขลา เปิดเผยว่าขณะนี้ต้องการให้ผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ออกมาดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มบุคคลที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมด้วยการใช้จาวา และท่าทาง รวมถึงใช้ข้อความโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการกระทำที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ในอดีตที่ผ่านมาพฤติการณ์ล่วงเกินสถาบันองคมนตรี แทบไม่เคยเกิดขึ้นให้เห็น หรือมีความรุนแรงเท่าปัจจุบันนี้มาก่อน

 

"ผมไม่รู้ว่าผู้มีอำนาจหน้าที่ในบ้านเมืองนี้ ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะพฤติกรรมกล่าวร้ายด้วยวาจาหยาบคาย และไม่สุภาพต่อพล.อ.เปรม ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่หากมองย้อนในรอบ2ปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับปูชนียบุคคลของสังคมไทยมาแล้วตั้งหลายครั้ง แต่รัฐก็ยังปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถือว่าผิดวิสัยหากต้องการให้บ้านเมืองปกติสุขควรมีการจัดการให้เป็นเยี่ยงอย่าง"

 

ประธานที่ปรึกษาชมรมเกิดมาต้องต้องแทนคุณแผ่นดิน จ.สงขลา กล่าวต่อว่า ตั้งข้อสังเกตุว่า ทำไมตำรวจ หรือฝ่ายบ้านเมืองปล่อยให้คนเหล่านี้มาใช้ถ้อยคำอันไม่เหมาะสมกับพล.อ.เปรม ได้อย่างไร เพราะตำแหน่งองคมนตรี เป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และที่สำคัญบุคคลที่ถูกกล่าวร้าย ดำรงตำแหน่งถึงประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ยิ่งต้องให้เกียรติและความเคารพอย่างสูง ไม่ใช่ปล่อยให้ใครต่อใครมาก้าวล่วงเกียรติยศ และศักดิ์ศรีเช่นนี้

 

"ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าคนที่กล่าวให้ร้ายคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน ถือว่าเป็นคนเลว หรือคนชั่วทั้งนั้น และคนที่แสงพฤติกรรมหยาบคายทางคำพูด และข้อความ หรือแม้กระทั่งท่าทางต่อพล.อ.เปรม ไม่ต่างไปจากคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าหน้าที่รัฐยังคิดนิ่งดูดายอีกหรือ"

 พล.ต.ต.อัมพร กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเชื่อว่าความรู้สึกของ พล.อ.เปรม จะไม่หวั่นไหวกับการโจมตีด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เพราะนอกจากท่านมีความเข้มแข็ง และอดทนในฐานะทหารนักรบแล้ว ยังเป็นคนที่มีไม่คิดถือโทษโกรธใคร โดยเรื่องนี้คนสงขลาต่างรู้จักนิสัยของประธานองคมนตรีเป็นอย่างดี

 

.......................................................................................................................................

กระทู้จากพันทิป ขอใช้สิทธิพาดพิง กรณีฝนเหลืองหน้าธรรมศาสตร

###---เล่าด้วยภาพ 25-4-51 ธรรมศาสตร์ สนามหลวง ใครปาอึ ปาขวด วุ่นวาย? ใครเป็นใคร ดูภาพจริงบรรยากาศจริงได้เลยครับ---###

บล็อก สภาวะถูกกดดัน "ม็อบเติมเงิน" ป่วนพันธมิตร

 

 

เศรษฐกิจ

อุตฯปุ๋ยป่วนหนักทั่วโลกรุมทึ้งตามกระแสพืชพลังงาน -พืชอาหารบูมทำผู้ค้ากลุ้มต้องแย่งซื้อ

ฐานเศรษฐกิจ - นายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ปัจจุบันปัญหาราคาปุ๋ยที่พุ่งสูงขึ้นนั้นยากจะควบคุมได้ เพราะเป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันแพง ตลอดจนการส่งเสริมให้ปลูกพืชพลังงานทดแทนและความต้องการพืชอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2551 มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มอีก 87.5 ล้านไร่ทั่วโลก ทำให้มีความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้นราว 3-5% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (ดูตาราง) ทั้งที่ตามปกติแล้วควรเพิ่มเพียงปีละ 1-2% เท่านั้น ในขณะที่แหล่งวัตถุดิบและกำลังการผลิตปุ๋ยเคมีไม่ได้เพิ่มตามไปด้วย

 

สำหรับประเทศไทยที่นำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตปุ๋ยเคมี มีสัดส่วนถึง 98% ย่อมต้องได้รับผลกระทบ โดยผลจากราคาปุ๋ยที่ผันผวนในตลาดโลก ความไม่เข้าใจจากสังคม รวมถึงราคาจำหน่ายปุ๋ยในประเทศที่ไม่สามารถปรับขึ้นได้เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการบีบรัดจากนโยบายตรึงราคา ทำให้ผู้ประกอบการบางรายเริ่มประสบภาวะชะงักงัน และมีความวิตกกังวล จึงต้องมีการตัดสินใจเรื่องการนำเข้าอย่างรอบคอบมากขึ้น

 

"แม้ว่าตอนนี้ผู้ค้าปุ๋ยจะยังไม่ประสบภาวะขาดทุน แต่ในอนาคตหากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากภาครัฐก็อาจต้องลดกำลังการผลิตลง แต่ขณะนี้ยืนยันว่ายังดำเนินการผลิตเต็มที่ และไม่ได้มุ่งส่งออก เพราะต้องการตอบสนองการบริโภคในประเทศให้เพียงพอก่อน อย่างไรก็ตาม อยากขอให้ภาครัฐดำเนินการเจรจาเพื่อนำเข้าปุ๋ยเคมีจากจีนโดยเร่งด่วน เพราะเป็นเรื่องภาษีที่เอกชนไม่สามารถเจรจาเพื่อลดหย่อนได้ แต่รัฐบาลสามารถทำได้ หากสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่สำคัญควรมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาปุ๋ยอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ธุรกิจปุ๋ยสามารถอยู่รอดได้ โดยผู้ค้าปุ๋ยขอรับประกันว่าจะไม่ค้ากำไรเกินควร"

 

ปัจจุบันประเทศไทยมีการบริโภคปุ๋ยเคมีซึ่งวัดจากการนำเข้าและกำลังผลิตรวมภายในประเทศของปี 2550 ทั้งสิ้น 4.35 ล้านตัน/ปี โดยสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย คาดการณ์ว่าในปี 2551 นี้ ปริมาณการบริโภคปุ๋ยเคมีของไทยจะอยู่ที่ 4-4.5 ล้านตัน/ปี ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของเกษตรกร หากราคาปุ๋ยเคมีแพงมาก เกษตรกรอาจซื้อปุ๋ยน้อยลงส่งผลให้ผู้ผลิตชะลอการนำเข้าหรือลดกำลังผลิต ทำให้อัตราการบริโภคอาจลดเหลือ 4 ล้านตัน/ปี แต่ถ้าผลผลิตทางการเกษตรได้ราคาดีเกษตรกรก็จะใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น ผลักดันปริมาณการบริโภคขึ้นไปที่ 4.5 ล้านตัน/ปี

 

 

คุณภาพชีวิต

ผู้ป่วยโรคจิต 94 เครือข่าย อัดสปส.พิลึกให้ "บ้า"15 วัน

เว็บไซต์มติชน - นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึง ปัญหาและอุปสรรคภายหลังพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพจิต พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 โดยเฉพาะในมาตรา 15 ข้อ 4 ที่ระบุว่า รัฐต้องให้ความคุ้มครองสุขภาพในระบบประกันสุขภาพและประกันสังคมของรัฐอย่างเท่าเทียม ซึ่งถือเป็นการประกันสิทธิผู้ป่วยจิตเวชเบื้องต้น แต่ในทางปฏิบัติ การคุ้มครองสิทธิการรักษาของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ไม่ครอบคลุมโรคจิตในกรณีผู้ป่วยนอก หรือแม้แต่กรณีโรคจิตเฉียบพลันที่ต้องรักษาแบบผู้ป่วยในก็ให้การคุ้มครองไม่เกิน 15 วัน ทำให้ผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยอาการทางจิตเวชต่างๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมทั้งๆ ที่จ่ายเงินประกันสมทบกองทุนประกันสังคมทุกเดือน

 

"เป็นเรื่องที่พิลึกมาก เพราะโรคทางจิตเวช เป็นโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่กรณีนี้พูดง่ายๆ ก็คือ อนุญาตให้บ้าได้แค่ 15 วัน หลังจากนั้นต้องหายบ้า ป่วยต่อไม่ได้ ซึ่งไม่ยุติธรรมกับผู้ประกันตนเลย เพราะคนเหล่านี้ เวลาที่ไม่ป่วย ก็จ่ายเงินสมทบให้ประกันสังคมทุกเดือนเต็มจำนวน แต่พอป่วยกลับไม่ได้รับการคุ้มครอง เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับจากสำนักงานประกันสังคม แค่แก้ไขระเบียบให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ซึ่งเป็นกฎหมาย ก็ไม่น่าจะมีปัญหา" นายชวรัตน์กล่าว

 

นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การรักษาผู้ป่วยทางจิต ต้องอาศัยยาช่วย แต่ปัญหาที่พบคือราคายาที่แพงมาก ยาบางตัว เช่น คลอซารีล ริสเพอดาล ไซเปร็กซา ราคาสูงถึงเม็ดละ 60-200 บาท ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ได้ จึงต้องหยุดยาทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง ทางออกของผู้ป่วยที่จะพึ่งประกันสังคมที่ได้จ่ายเงินสมทบไปทุกเดือนจึงเป็นอีกความหวังหนึ่งที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่มีรายได้น้อย ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาและก็อาจทำให้อาการกำเริบ ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติในสังคมต่อไปได้ ซึ่งการที่สังคมไม่รู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทำให้ผู้ประกันตนมีความเสี่ยง เนื่องจากทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นโรคจิตเท่าเทียมกัน

 

ต่างประเทศ

สื่อเวียดนามเผย รัฐฯห้ามส่งออกข้าวจนถึงเดือน มิ.ย.

เว็บไซต์เดลินิวส์ - สำนักข่าวเวียดนาม (VNA) รายงานโดยอ้างคำกล่าวของนายเหวียน ตานห์ เบียน รมช.อุตสาหกรรม และการค้าของเวียดนามว่า รัฐบาลเวียดนามจะห้ามส่งออกข้าวไปจนถึงเดือนมิถุนายน เพื่อลดปริมาณและเพิ่มมูลค่าและรายได้จากการส่งออก ขณะเดียวกัน จะเป็นการสร้างหลักประกันด้านความมันคงด้านอาหาร พร้อมทั้งรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เวียดนามมีการส่งออกข้าวแล้วประมาณ 1 ล้านตัน มีรายได้ราว 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,800 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 73 ซึ่งล่าสุดได้มีการส่งข้าวไปยังฟิลิปปินส์ในราคาตันละ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ยังมีการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าราคาข้าวในตลาดโลกอาจขยับขึ้นสูงไปอยู่ที่ตันละ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงปี 2553

 

 

สหรัฐฯขึ้นบัญชีไทย 1ใน9ปท. ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

เว็บไซต์คมชัดลึก - สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ออกรายงานประจำปีเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาหรือ Special 301 Report ระบุว่า จีน รัสเซีย อาร์เจนตินา ชิลี อินเดีย อิสราเอล ปากีสถาน ไทยและเวเนซุเอลาเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษเรื่องละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐและจะต้องมีการเจรจาทวิภาคีอย่างจริงจังในปีนี้ นางซูซาน ชว็อบ ผู้แทนการค้าสหรัฐกล่าวว่า สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ไม่เพียงขโมยความคิดเท่านั้นแต่ยังขโมยงาน เป็นภัยต่อสุขภาพและความปลอดภัยอีกด้วย

 

รายงานฉบับนี้เจาะจงไปที่จีนและรัสเซียเป็นพิเศษว่า ยังคงน่าเป็นห่วงแม้ว่าเริ่มมีการปรับปรุงบ้างแล้ว ยูเอสทีอาร์ระบุว่า สหรัฐจะจับตามองจีนต่อไปเพื่อกดดันให้จีนปรับปรุงเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเพราะยังมีการละเมิดอยู่สูงมาก ขณะเดียวกันจะใช้กลไกแก้ไขข้อพิพาทขององค์การการค้าโลกแก้ไขความบกพร่องในเรื่องนี้ของจีน ส่วนรัสเซียนั้นยังมีการละเมิดสื่อดิจิตอลและอินเทอร์เน็ตอยู่มาก

 

รายงานประจำปีนี้ของยูเอสทีอาร์ระบุด้วยว่า การผลิตและจำหน่ายเวชภัณฑ์ปลอมเป็นปัญหาที่กำลังขยายตัว เป็นภัยต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยพบว่ามีการผลิตยาปลอมอย่างแพร่หลายในบราซิล จีน อินเดีย เม็กซิโกและรัสเซีย ส่วนคู่ค้าที่ถูกยูเอสทีอาร์ขึ้นบัญชีต้องจับตามองเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์มี 36 แห่ง ได้แก่ แอลจีเรีย เบลารุส โบลิเวีย บราซิล แคนาดา โคลอมเบีย คอสตาริกา สาธารณรัฐเชค สาธารณรัฐโดมินิกัน เอกวาดอร์ อียิปต์ กรีซ กัวเตมาลา ฮังการี อินโดนีเซีย อิตาลี จาเมกา คูเวต เลบานอน มาเลเซีย เม็กซิโก นอร์เวย์ เปรู ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ เกาหลีใต้ โรเมเนีย ซาอุดีอาระเบีย สเปน ไต้หวัน ทาจิกิสถาน ตุรกี เติร์กเมนิสถาน ยูเครน อุซเบกิสถานและเวียดนาม

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท