Skip to main content
sharethis

เวลา 10.00 น. ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อ.จะนะ จ.สงขลาเดินทางมายังศาลจังหวัดสงขลา โดยมีนายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ และนายรัษฏา มนูรัษฏา ทนายฝ่ายโจทย์จากสภาทนายความ และพ.ต.ตสัณฐาน ชยนันท์ จำเลยที่ 3 พร้อมทนายฝ่ายจำเลยเดินทางมาศาลโดยมีตำรวจติดตามร่วม 10 นายมาร่วมฟัง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีดำที่ 1818/2546 คดีแดงหมายเลขที่ 1804/2547 ณ บัลลังก์ห้อง 204 ศาลจังหวัดสงขลา คดีที่นายสักกริยา หมะหวังเอียดกับพวกรวม 25 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.ต.อสันต์ ศรุตานนท์กับพวกรวม 38 คน ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงานและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ , มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย กระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ


 


โดยมีผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น หรือเป็นผู้ร่วมกระทำการ ,ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย,ร่วมกันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังสลายการชุมนุมของกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซโรงแยกก๊าซธรรมชาติและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 คราวรัฐบาลพล.ต.ทักษิณ ชินวัตรจัดประชุมคระรัฐมนตรีสัญจรที่โรงแรมเจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา


 


ศาลได้อ่านคำสั่งและรับฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มอีก 5 นายได้แก่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์  จำเลยที่ 1  พ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข จำเลยที่ 4 ร.ต.อ.เล็ก มียัง จำเลยที่ 6 ร.ต.ท.บัณฑูรย์ บุญเครือ จำเลยที่ 13 และร.ต.ท.อธิชัย สมบูรณ์


 


สักกริยา หมะหวัง โจทก์ผู้ร่วมฟ้อง กล่าวว่าวันนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มีคำสั่งรับฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้รับฟ้องพ.ต.ต.สัณฐาน ชยนนท์ แต่พ.ต.ททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าส โดยไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบวินัยความผิดที่เกิดขึ้นทั้งที่เป็นความผิดร้ายแรง กลับมีการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหน้าที่ให้ในลักษณะปูนบำเหน็จให้ทั้งที่กระทำความผิดต่อประชาชน ถือเป็นการสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่กระทำผิดและใช้ความรุนแรงกับกลุ่มคัดค้าน โดยเฉพาะวันนี้ศาลรับฟ้อง พล.ต.อสันต์ ศรุตานนท์ ซึ่งเป็นถึงผู้บังบัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นยิ่งต้องออกมารับผิดชอบแม้จะพ้นราชการแล้วก็ตาม โดยศาลจังหวัดสงขลานัดพร้อมจำเลยทั้ง 6 มาศาลในวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งพล.ต.อสันต์ ศรุตานนท์กับพวกอีก 5 คนต้องเดินทางมาศาลและประกันตัวในฐานจำเลย


 


(รายละเอียดคำสั่งศาลอุทธรณ์บางส่วน)


ข้อเท็จจริงไต่สวนว่า โจทย์ทั้งยี่สิบห้าและประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านได้รวมตัวชุมนุมคัดค้านได้รวมตัวชุมนุมกันโดยมีมูลเหตุมาจากรัฐบาลตัดสินใจดำเนินการตามโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนที่ได้อนุมัติไว้ โดยโครงการดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศวิทยาชายฝั่งทะเลและคุณภาพสิ่งแวดล้อม และอาจก่ออันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาคชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวและโจทก์ทั้งยี่สิบห้าย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลคำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยงานของทางราชการก่อนการดำเนินการตามโครงการท่อส่งก๊าซฯ ดังที่กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 59 รับรองไว้ แต่ปรากฏจากการแถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2545 ตามเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งไม่มีการชี้แจง อธิบายข้อมูลและเหตุผลของการพิจารณาจัดสินใจให้ดำเนินการตามโครงการท่อส่งก๊าซฯ ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนแต่อย่างใด


 


และก่อนหน้านี้ได้ความจากโจทก์ที่ 15 เบิกความยืนยันว่า ชาวบ้านเคยรวมกลุ่มยื่นหนังสือต่อหน่วยงานราชการแต่ไม่ได้รับคำตอบเลย เมื่อครั้งพันตำรวจโททักษิณ ชิณวัตร นายกรัฐมนตรีเดินทางมารับฟังความเห็นจากกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่บริเวณลานหอยเสียบ ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา นายกรัฐมนตรีรับว่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ชาวบ้าน แต่ในที่สุดไม่ได้ให้คำตอบเช่นกัน ดังนี้ การร่วมชุมนุมของโจทก์ทั้งยี่สิบห้าและประชาชนกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซฯ จึงเป็นการใช้สิทธิของประชาชนที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐเพื่อที่จะแสดงเจตนารมณ์ ในการจัดการบำรุงรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ประชาชนดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่อง


 


ดังนั้น การใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อการมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นในส่วนได้เสียของตนหรือของชุมนุมซึ่งรัฐบาลต้องรับฟังชาวบ้านก่อนการตัดสินใจ ดำเนินการโครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชนดังที่ได้รับรองไว้ในบทบัญญัติ มาตรา 46,56 และ 59 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ดังกล่าว กรณีจึงเป็นที่ประจักษ์ว่าโจทก์ทั้งยี่สิบห้าและประชาชนได้ชุมนุมกันในวันเกิดเหตุมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะแสดงมติของกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซฯ โดยยื่นหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนการตัดสินใจดำเนินการโครงการท่อส่งก๊าซฯ ต่อจากรัฐบาลชุดก่อนซึ่งหาได้มีเจตนาก่อความรุนแรงหรือขัดขวางการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรแต่อย่างไรโจทก์ทั้ง 25 และประชาชนที่คัดค้านและใช้สิทธิเรียกร้องที่พวกตนมีส่วนได้เสียและมีผลกระทบต่อตนสำหรับโครงการที่รัฐจะดำเนินการต่อเป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 44 ในเรื่องการชุมนุมในที่สาธารณะโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยไม่มีเจตนากีดขวางทางสาธารณะ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมเพื่อมิให้เกิดชนวนนำไปสู่ความวุ่นวาย


 


แต่จากทัศนคติในเชิงลบชองจำเลยที่ 1 ซึ่งมีต่อกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านดังกล่าว ดังจะเห็นได้ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่ให้ข้อมูลต่อคระกรรมิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ในเอกสารหมายเลข จ.22 ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งต่อการตัดสินใจของรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ "ที่พูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง" ต่างกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชาในประเทศไทยเป็นกลุ่มผู้รักชาติ "พูดแป๊บเดียวเข้าใจ" ประกอบกับจำเลยที่ 1 นำข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุรุนแรงในวันทำประชาพิจารณ์สองครั้งที่หอประชุมเทศบาลนครหาดใหญ่ และที่สนามกีฬาจิระนคร มาคาดคะเนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้นเตรียมกานำแนวทางความรุนแรงมาใช้


 


เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าพนักงานตำรวจในระดับสูงในขณะเกิดเหตุ อันเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มีหน้าที่ปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหายบ้านเมือง เพื่อให้สังคมในบ้านเมืองเกิดความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 จึงมีความรับผิดชอบดูแลทุกข์สุขของประชาชนโดยเฉพาะ กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้าน เป็นผู้มีความเดือดร้อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซ จึงได้รวมตัวชุมนุมกันสะท้อนปัญหาให้รัฐบาลทราบ จำเลยที่ 1 ยิ่งต้องใช้ความรอบคอบดูแลบุคคลดังกล่าวบนพื้นฐานหลักความเมตตาธรรม ควบคู่กับหลักยุติธรรม โดยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังเพื่อให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย และลุกลามบานปลายอันนำมาซึ่งความสูญเสียถึงแก่ชีวิตและทรัพย์สินของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ยากแก่การควบคุมได้


 


ในเรื่องนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของตำรวจในระดับสูง ในการสั่งการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงต้องออกมาตรวจดูเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุด้วยตนเองในทันทีก่อนที่จะสั่งการอย่างใดเพื่อหาทางแก้ไข เพราะที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเจบีซึ่งสามารถเดินทางด้วยรถยนต์ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ดังที่ พลตำรวจเอกประทิน เบิกความยืนยันจำเลยที่ 1 ออกมาตรวจสอบด้วยตนเอง ก็จะได้ความจริงอันจะทำให้จำเลยที่ 1 มีโอกาสเลือกใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมต่อเหตุการณ์ที่เป็นจริงว่ามีความรุนแรงหรือไม่เพียงใดและทำให้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะสลายการชุมนุมแต่อย่างไร ดังที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เอกสารหมาย จ.22 หน้า 6/7


 


ดังนั้นคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมนั้นไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง แต่อยู่บนพื้นฐานจากรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จของจำเลยที่ 3 ซึ่งคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่สลายการชุมนุมดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ จะอ้างว่าได้รับรายงานเท็จจากผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมฟังไม่ขึ้น ส่วนพลตำรวจเอกสุรชัย สืบสุข ร้อยตำรวจเอกเล็ก มียัง ร้อยตำรวจโทบัณฑูรย์ บุญเครือ ร้อยตำรวจโทอภิชัย สมบูรณ์ ได้ความว่าขณะนั้นพลตำรวจเอกสุรชัย สืบสุข ซึ่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา หลังจากได้รับคำสั่งจาก พลตำรวจตรีสัณฐานแล้ว ได้มีคำสั่งให้ จำเลยที่ 5 ถึง 38 กับเจ้าพนักงานตำรวจอื่นเข้าสลายการชุมนุมตามที่ร้อยตำรวจเอกอภิชัย สมบูรณ์ เบิกความเห็นว่าจำเลยที่ 4 , 6, 13,14 ต่างเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาการของพลตำรวจเอกสันต์ ศรุตานนท์ และพลตำรวจตรีสัณฐาน ปฏิบัติราชการตามคำสั่งของพลตำรวจตรีสัณฐาน ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุม โดยรายงานข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จต่อพลตำรวจเอกสันต์ จนเป็นเหตุให้พลตำรวจเอกสันต์ ให้ความเห็นชอบต่อการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งจำเลยที่ 4 , 6,13,14 ต่างอยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้าน ย่อมรู้เห็นเหตุการณ์และเข้าใจโดยตลอดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านไม่ได้กระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด แต่ยังกระทำตามคำสั่งซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการใช้กำลังสลายการชุมนุมดังกล่าว จึงต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70 ที่โจทก์ทั้ง 25 นำสืบในชั้นต้น ข้อหาดังกล่าวสำหรับจำเลยที่ 4 ,6,13,14 จึงมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157,295,38 ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นพ้องด้วยบางส่วน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net