เมื่อวันที่ 22 พ.ค.51 ณ ห้องประชุม ร.102 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เครือข่ายพิทักษ์เจตนารมณ์พฤษภา" 35 และกลุ่มโดมแดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมจัดเสวนาเรื่อง "16 ปี พฤษภา" 35 : ความสับสนของขบวนการประชาธิปไตยหลังพฤษภา"
อะไรคือเจตนารมณ์เดือนพฤษภา
สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การจะทำความเข้าใจว่า เจตนารมณ์พฤษภาคืออะไร จะต้องเชื่อมโยงกับกรณีรัฐประหาร 19 ก.ย. จนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน โดยสมชาย มองว่าคำอธิบายกระแสหลักเกี่ยวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คือการต่อสู้เพื่อประชาชน เพื่อชาติประชาธิปไตย โดยคัดค้านรัฐบาลที่สืบทอดจากการรัฐประหารโดยคณะรสช.เมื่อปี 2534 เห็นได้จากเพลง "ราชดำเนิน" ที่แต่งโดยยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว รวมทั้งจากคำให้สัมภาษณ์หลังจากเหตุการณ์พฤษภา 2 ปีของปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ในขณะนั้นที่ว่า เหตุการณ์นี้ได้แสดงถึงพลังของประชาชน และระบอบประชาธิปไตยคือระบอบที่พึงปรารถนาร่วมกัน ถ้ามีใครพาไปทางอื่นคนก็จะไม่ยินยอมมากขึ้น
อีกคำอธิบายหนึ่งซึ่งอาจไม่ติดตลาดนัก คือพฤษภาทมิฬคือ "14 ตุลาเฟส
สมชาย เสนอว่า หากจะกลับไปทำความเข้าใจเหตุการณ์พฤษภาอาจต้องพิจารณาข้อเสนอของ ธงชัย วินิจจะกูลที่เคยเสนอเค้าโครงการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยไว้ในการสัมมนาโครงการเปลี่ยนประเทศไทย จัดโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันเมื่อเดือนมิถุนายน 2549 ที่เสนอว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่ได้เป็นเส้นตรงและตัดเป็นช่วงๆ แต่คาบเกี่ยวกัน โดยหลัง 2475 มีแกนกลางความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มคือ revolutionist กับ royalist ช่วงรอยต่อระหว่างปี 2490-พฤษภา 2535 เป็นความขัดแย้งระหว่างทหารกับการเมืองในระบบรัฐสภา และช่วงที่สามคือประชาธิปไตยแบบ 3M
สมชายได้ตีความคำอธิบายของธงชัยว่า พฤษภาทมิฬเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างทหารกับระบบรัฐสภา เพราะจากช่วงแรกที่ทหารเป็นผู้มีบทบาทสูงในทางการเมือง ต่อมาเมื่อระบบรัฐสภาได้มีที่ทางในทางการเมืองไทยมากขึ้น ทหารจึงทำหน้าที่คอยดูแล และหลังพฤษภาทมิฬทหารมีบทบาทน้อยลงทางการเมือง
สถานะที่สอง พฤษภาทมิฬเป็นจุดหนึ่งของโจทย์การเมืองชุดใหม่ ซึ่งเป็นปฏิสัมพันธ์ของ 3 สถาบันทางการเมืองไทยที่สำคัญ (3M) 1.Money ธุรกิจการเมือง 2.Mass ประชาชน และ 3.Monarchy โดยนักการเมืองอยู่ในฐานะที่ "ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ" ได้กลายเป็นปัญหาหลักที่ประชาชนต้องมีบทบาทเข้าไปควบคุม ระหว่างนั้นสถาบันกษัตริย์ก็ได้สถาปนาความชอบธรรมเหนือระบบการเมืองและมีอำนาจในเชิงธรรมะที่ทุกฝ่ายในสังคมต่างให้การยอมรับ หากพิจารณาตามนี้จะทำให้ไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์พฤษภาแบบจำกัดเพียงเรื่องของประชาธิปไตยที่ประชาชนลุกขึ้นสู้กับเผด็จการทหารอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นจะทำความเข้าใจไม่ได้ว่า ทำไมจึงมีการสนับสนุนการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา หรือการเรียกร้องมาตรา 7
การต่อสู้ภายใต้ระบอบ "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"
นอกจากนี้ สมชายตั้งข้อสังเกตว่า เท่าที่ลองเปิดหนังสือบันทึกภาพดูพบว่าในช่วงการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ พล.อ.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากสุดท้ายของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ถูกหล่อหลอมมี 2 ด้านทั้งเป็นการต่อสู้กับเผด็จการทหาร และเป็นการจัดการกับธุรกิจการเมืองในระบบรัฐสภาโดยประชาชนเป็นผู้ทำหน้าที่สร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าด้านใดทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ทั้งสิ้น และการปฏิรูปการเมืองหลังจากนั้นจะพบว่า ในปีกของอมร จันทรสมบูรณ์ ก็เป็นการปฏิรูปการเมืองแบบ "อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือเป็นการปฏิรูปการเมืองที่มาจากข้างบนที่เชื่อในอำนาจและความชอบธรรมสูงสุดของสถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่การออกแบบโครงสร้างการเมืองใหม่เพื่อควบคุมนักการเมือง
ดังนั้น ทั้งพฤษภาทมิฬ ข้อเสนอเรื่องมาตรา 7 หรือความเป็นไปของรัฐประหาร 19 กันยา อยู่ภายใต้กรอบการเมืองไทยร่วมสมัยชุดหนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง หรือพูดกันในวงเล็กๆ การเคลื่อนไหวพฤษภาจึงนำสู่ผลในบั้นปลายหลายประการ บางอย่างพูดได้ เช่นการต่อสู้กับเผด็จการ แต่บางอย่างยากต่อการพูดถึง เพราะฉะนั้น เพดานความคิดในการสถาปนาระบบการเมืองสังคมไทยอาจมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ โดยเฉพาะความพยายามที่จะสร้างสถาบันการเมืองเพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหรือความขัดแย้งต่างๆ ที่ยังดำรงอยู่ ด้วยอำนาจของคนในสังคมด้วยกันเอง เพราะฉะนั้นคงต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ของอำนาจที่ครอบครองพื้นที่ในสังคมไทยมากขึ้น ถ้าไม่เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่า "พฤษภาทมิฬ" คงจบอย่างที่เพลงราชดำเนินของยืนยง โอภากุลบอกว่า "สวรรค์เบื้องบนรู้ดีเราสู้เพื่อใคร"
ความสำคัญของการค้นหา "เจตนารมณ์เดือนพฤษภา"
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักศึกษาปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวายอิ เริ่มต้นกล่าวถึงบรรยากาศการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ว่ามีความพยายามของชนชั้นนำจำนวนหนึ่งที่อธิบายว่าเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการทะเลาะกันของสองฝ่าย หรือเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายเลวหมด จึงจำเป็นต้องมีนายกฯ คนกลางอย่างอานันท์ ปันยารชุน โดยศิโรตม์ได้หยิบยกตัวอย่างคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.
ศิโรตม์ระบุว่า เหตุการณ์พฤษภานั้นมีความหมายทางการเมือง ไม่ใช่เพียงการทะเลาะกันของชนชั้นนำ โดยเขาระบุถึงเจตนารมณ์ของเดือนพฤษภาซึ่งมีการตีความจากหลายฝ่ายใน 3 แนวทางหลักๆ คือ 1. เหตุการณ์เดือนพฤษภาเกิดขึ้นเพราะ พล.อ.
ศิโรตม์กล่าวว่า การที่บอกว่าเหตุการณ์พฤษภาไม่มีเจตนารมณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนบางกลุ่ม เพราะถ้าบอกว่ามันมีเจตนารมณ์ก็จะไปสู่คำถามว่าเจตนารมณ์นั้นคืออะไร และจะนำไปสู่ข้อเสนอของผู้คนที่ต้องการป้องกันการรัฐประหาร ดังเช่นข้อเสนอของกลุ่มนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย (ในช่วง พ.ค. 35) ที่ต้องการให้ทหารหยุดแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในฐานะทหาร ต้องฟังคำสั่งของรัฐบาล ต้องโยกย้ายหน่วยทหารระดับคุมกำลังทั้งหมดออกจากกรุงเทพฯ แปรรูปสถานีวิทยุโทรทัศน์ของทหารให้เป็นของเอกชน ไม่ให้ทหารมีผลประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจการค้าโดยตรง อย่างไรก็ตาม เราพบว่าหลังเหตุการณ์ความรุนแรง ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างให้สถาบันทหารอยู่ภายใต้พลเรือนดังเช่นที่ทำกันในประเทศอื่นๆ หลังเผชิญความรุนแรง และนาย
กรอบจำกัดของเจตนารมณ์เดือนพฤษภา
ศิโรตม์ กล่าวอีกว่า หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาการโต้เถียงทางการเมืองหลักๆ อยู่ในกรอบความพยายามจะทำลาย "ความเป็นการเมือง" ลงทั้งที่การต่อสู้ทางการเมืองของสังคมไทยมีคุณลักษณะที่จะนำไปสู่การต่อสู้ในระดับ "ความเป็นการเมือง" ของสังคมไทยได้ แต่คนอีกกลุ่มพยายามทำให้เงียบ เหตุการณ์เดือนพฤษภาคมจึงถูกสร้าง ถูกเขียนให้อยู่ภายใต้กรอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยเราไม่เคยได้ยินการตีความที่ไปไกลกว่านั้น เช่น เหตุการณ์พฤษภาเป็นการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่ หรือเหตุการณ์พฤษภาเป็นการขจัดทหารออกไปจากการเมืองอย่างเต็มที่
อีกประเด็นหนึ่งคือ ในสังคมที่เคยเกิดการฆ่าทางการเมือง หรือเกิดสงครามการเมือง ทำอย่างไรให้เหตุการณ์ที่เกิดสร้างคุณูปการกับสังคมมากที่สุด สิ่งที่หลายประเทศทำคือ การกลับไปให้คุณค่า หรือพูดถึงคนที่ตายในเหตุการณ์ว่าเขาตายเพื่ออะไร มุ่งหวังหรือมีอุดมคติอย่างไร ณ นาทีที่อยู่บนถนนราชดำเนินหรือลาน สวป.มหาวิทยารามคำแหงแล้วทั้งที่รู้ว่าจะถูกปราบ เขากำลังต่อสู้เพื่ออะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าศึกษายิ่ง
"ที่สุดแล้ว เจตนารมณ์ทางการเมืองของเดือนพฤษภาคืออะไร เราอาจตอบด้วยตัวเราเองไม่ได้ เพราะในทางแนวความคิดไม่มีใครตอบแทนใครได้ เราตอบแทนคนที่ตายไม่ได้ หรือแม้กระทั่งตอบแทนคนที่ชุมนุมกับเราก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่กระบวนการพยายามตอบแบบนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าไม่เริ่มกระบวนการแบบนี้ก็เท่ากับปล่อยให้คนที่ไม่ตายที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อาศัยเหตุการณ์นี้ไปสร้างวาระทางการเมืองที่ตัวเองต้องการเพียงแบบเดียว คือการเมืองแบบที่อาจารย์สมชายพูดว่าการเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"
การเมืองของคนเล็กๆ อีกปีกหนึ่งของอุดมการณ์พฤษภา
ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาสมัชชาคนจน กล่าวระลึกถึงนันทโชติ ชัยรัตน์ หรือปุ๋ย แกนนำของสมัชชาคนจนที่เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ว่า เขาควรจะได้มาอยู่บนเวทีสัมมนานี้ เพราะเขาเป็นนักกิจกรรมในรั้วรามคำแหงช่วงพฤษภาทมิฬ โดยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา ปุ๋ยและเพื่อนๆ ได้ก่อตั้งเครือข่ายพิทักษ์เจตนารมณ์พฤษภา 35 คนในรุ่นนี้ได้โอบอุ้มอุดมการณ์พฤษภา 35 แบบหนึ่ง ซึ่งอุดมการณ์พฤษภานี้ก็ถูกนิยามไว้หลากหลายมาก อุดมการณ์ของเขาเรียกว่า "อุดมการณ์การเมืองภาคประชาชน" โดยพวกเขาเข้ามาสร้างและจรรโลงประชาธิปไตย และสมัชชาคนจนได้พูดมาตลอดคือ "ประชาธิปไตยที่กินได้" และ "การเมืองที่เห็นหัวคนจน" อันนี้ก็เป็นสิ่งที่หลังพฤษภา ปุ๋ยได้ลงไปทำงานกับชาวบ้านมาตลอด ฉะนั้นการเมืองภาคประชาชนก็ถูกนิยามหลายแบบ
ในช่วงที่มีการขับไล่ระบอบทักษิณ ปุ๋ยและสมัชชาคนจนก็ได้เข้าร่วม และได้ถอยห่างออกมาในระยะหลัง กระทั่งเกิดเหตุการณ์รัฐประหารก็ได้เข้าร่วมต้านรัฐประหารอย่างชัดเจน เป็นการต้านรัฐประหารที่อาจเรียกได้ว่ามาจากสามัญสำนึก อย่างเช่นในหมู่บ้านนั้นมีทหารเข้ามาเต็มไปหมด ทั้งปากมูน ราศีไศล สิรินธร เราพูดกันติดปากว่า ในสมัยทักษิณมี 1 กองทุน 1 หมู่บ้าน แต่ในยุคนี้มี 1 กองทหาร 1 หมู่บ้าน คนอย่างปุ๋ยได้ต่อสู้กับเผด็จการทหาร ถึงแม้ว่าชาวบ้านไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างชัดเจน แต่ว่าชาวบ้านก็ต้องต่อสู้กับทหารเพื่อปกป้องพื้นที่ของตัวเอง โดยชาวบ้านบอกว่า "รัฐธรรมนูญต้องเขียนด้วยตีน" หมายถึงร่างรัฐธรรมนูญมาอย่างไร ชาวบ้านก็จะเดินขบวนเพื่อยืนยันสิทธิในการเดินขบวน
ประภาสกล่าวว่า ฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงอุดมการณ์พฤษภา ยังมีอีกปีกหนึ่งที่ต่างจากคนชั้นกลางอย่างในประเด็นทุจริตคอรัปชั่น การเมืองที่โปร่งใส นั่นคือ ประชาธิปไตยที่กินได้และการเมืองที่เห็นหัวคนจน ซึ่งการเมืองของคนเล็กๆ เหล่านี้ เป็นอุดมการณ์พฤษภาอีกปีกหนึ่ง ที่คนไม่ค่อยมองเห็น
พฤษภาทมิฬอยู่ท่ามกลางกระบวนการสร้างจรรโลงประชาธิปไตยที่สำคัญก็คือ มาสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อประชาธิปไตยในยุคชาติชาย เกิดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น กระทั่งเกิดรัฐประหารในปี 34 ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังพฤษภาทมิฬ กระบวนการสร้างจรรโลงประชาธิปไตยที่สำคัญ คำถามการเมืองประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง มันไม่เพียงพอ ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธระบบเลือกตั้ง แต่หมายถึงการเมืองภาคประชาชนไม่ได้เข้ามาแทนที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่ว่ามันขยายประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองภาคประชาชนของคนเล็กๆ เพราะในทศวรรษ 30 มีความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ทำให้ภาคธุรกิจ แย่งชิงทรัพยากร ผมอยากจะย้ำว่ามันมีการเมืองภาคประชาชน คนเหล่านี้ ถ้าดูในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในเครือข่ายต่างๆ เครือข่ายสลัมสี่ภาค สมัชชาคนจน ซึ่งตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่ว่าเครือข่ายย่อยๆ ได้เข้ามาร่วมเหตุการณ์
การเมืองแบบคนชั้นกลาง: การเมืองแบบกลุ่มผลประโยชน์
ประภาส กล่าวว่า การเมืองภาคประชาชนอย่างน้อยที่สุดมีอยู่สองทาง คือ หนึ่ง การเมืองภาคประชาชนแบบคนเล็กๆ ประชาธิปไตยที่กินได้และการเมืองที่เห็นหัวคนจน สร้างประชาธิปไตยทางตรง อีกทิศทางหนึ่งก็คือการเมืองภาคประชาชนแบบชนชั้นกลาง
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เราได้เห็นการคลี่คลายการเมืองภาคประชาชน ช่วงรัฐประหาร 19 กันยา การเมืองภาคประชาชนก็ได้ถูกลดทอนไปมาก แม้แต่การเมืองภาคประชาชนสำหรับชนชั้นกลางเองก็ถูกลดทอนเหลือแค่การขับไล่รัฐบาล การแย่งชิงระหว่างชนชั้นนำสองกลุ่ม แต่สิ่งที่สำคัญคือเราไม่ได้พูดอีกนิยามหนึ่ง คือ การเมืองภาคประชาชนของคนเล็กคนน้อยมันไม่สำคัญเท่ากับคนที่มาชุมนุมกับพันธมิตรฯ การเมืองภาคประชาชนของคนเล็กคนน้อยก็ถูกกดทับโดยการเมืองแบบคนชั้นกลาง
ผมคิดว่าสิ่งที่นำมาสู่การลดทอน หรือ อาจจะพูดได้ว่า คำว่า แมวสีอะไรขอให้จับหนูได้ การเมืองภาคประชาชนแบบที่คนชั้นกลางกลุ่มหนึ่งกำลังทำอยู่ กล่าวถึงที่สุดแล้ว มันถูกตีกรอบกลายเป็นการเมืองแบบกลุ่มผลประโยชน์ มันจึงไม่ถูกขยายไปสู่ผู้คนได้อย่างกว้างขวางแบบ 14 ตุลา หรือ พฤษภาทมิฬ มันจึงอธิบายได้ไม่ยากว่า ทำไมถึงหยิบยกเรื่องบางเรื่องมาต่อสู้ มันง่ายที่จะทำให้แยกเป็นพวกเขาพวกเราดังที่รัฐเคยทำมา
เพราะฉะนั้นสงครามการเมืองแบบนี้มีทางเดียวที่จะชนะ คือการรัฐประหาร ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งชนะเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้จึงไม่ได้ทำให้เกิดพัฒนาการทางการเมือง กับสิ่งที่ภาคประชาชนเราผลักดันกันมา เราในที่นี้คือคนเล็กคนน้อยปีกหนึ่งในพฤษภาทมิฬ
ปัจจุบันเป็นสิ่งที่เรียกว่าการมืดบอดทางปัญญา โจทย์การเมืองแบบนี้มันไม่ได้สร้างปัญญา การสร้างประชาธิปไตยในมิติอื่น กฎหมายลูก องค์กรอิสระที่พูดถึงสิ่งแวดล้อม มันไม่ได้เป็นโจทย์ที่ถูกพูดถึง
ทางออกคืออะไร ทางออกคือไม่ว่าฝ่ายไหนชนะเราก็ถูกกระทืบ หรือว่าทางออกมีอยู่ทางเดียวที่อาจารย์ใจเขียนจดหมายถึงพิภพ สมศักดิ์ สมเกียรติ
การเมืองมันถึงทางตันขนาดนี้เชียวหรือ ผมคงไม่มีคำตอบ
สนนท.กับบทบาทหลังรัฐประหาร
พงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ปี 2550 กล่าวว่า สนนท.ได้ร่วมหารือกับเพื่อนหลายส่วน รวมทั้งเพื่อนต่างจังหวัดว่าหลังรัฐประหารจะไปทางไหน มีบทเรียนอะไร ก่อนหน้านี้กรรมการชุดเดิมออกแถลงการณ์ค่อนไปทางสนับสนุนรัฐประหาร แต่เราพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ของ สนนท.ที่สนับสนุนประชาธิปไตยโดยตลอด ก็ยังตั้งคำถามกันอยู่ว่าหลังเรียกร้องมาตรา 7 ทำไมจึงไม่ออกแถลงการณ์คัดค้าน และในช่วงที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า สนนท.ควรถอนตัวออกจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่องนั้นคงต้องเคารพการตัดสินใจของกรรมการชุดเดิม
เขากล่าวด้วยว่า 1 ปีหลังการรัฐประหาร บทเรียนที่เห็นได้ชัดคือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ผ่านกฎหมาย ม.นอกระบบ 3 วาระรวดโดยไม่สนใจการคัดค้าน องค์กรประชาธิปไตยอย่างคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ก็ไม่เคยมาคัดค้าน กรณีโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 สนนท.ก็มีส่วนร่วม และมีการคุกคามนักศึกษาที่เคลื่อนไหวโดยพ.ร.บ.ความมั่นคง
พงษ์สุวรรณกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม นาย
นอกจากนี้ พงษ์สุวรรณยังได้จำแนกกลุ่มที่อ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชนหรือภาคประชาชนว่า หลังการรัฐประหาร 19 กันยา ภาคประชาชนมีความแตกต่างกันในทางแนวคิดทางการเมือง ไม่มีเอกภาพ สามารถจัดได้เป็น 4-5 กลุ่มตั้งแต่กลุ่มที่ต่อต้านรัฐประหาร กลุ่มรักทักษิณ ไปจนถึงกลุ่มที่สนับสนุน คมช.
ความอับจนทางด้านภูมิปัญญา หลังพฤษภา 35
หลังการเสวนา สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มธ. ได้ร่วมแสดงความเห็นโดยตั้งคำถามถึงภาคประชาชนและนักวิชาการรุ่นหลัง 17 พ.ค. 35 ว่าเหตุใดจึงคิดว่าตัวเองมีความเป็น "ภาคประชาชน" มากกว่าพวกนักการเมือง นักกิจกรรมก่อน 6 ตุลา 2519 ก็อ้างความเป็นประชาชนเหมือนกันแต่ภายใต้ทฤษฎีมาร์กซ์ เลนิน ที่มีเรื่องชนชั้นและมีอุดมการณ์เป้าหมายบางอย่างชัดเจน แต่ภาคประชาชนหลังพฤษภาคือใครกลับไม่มีใครเคยนิยาม อย่างไรก็ตาม เขาได้คำตอบว่า หลายปีที่อ้างกัน ประชาชนเป็นเพราะอ้างไอเดียไม่ได้ ว่า ตัวเองเป็นตัวแทนของไอเดียอะไรกันแน่ พอแทน ideology ไม่ได้จึงเอาคำว่า ประชาชน มาใช้
โดยสิ่งที่น่าประหลาดใจและสำคัญมากคือ ความอับจนทางด้านภูมิปัญญา หลังพฤษภา 2535 ขบวนการปัญญาชนไม่มีข้อเสนออะไร โดยเมื่อเกิดการปฏิรูปการเมือง ภายใต้คนอย่างประเวศ วะสี อมร รักษาสัตย์ ซึ่งเป็นการปฏิรูปภายใต้คำขวัญการคืนอำนาจให้ในหลวง และตอนนั้นเฮละโลกันไปกับรัฐธรรมนูญ 2540 ถึงขนาดรัฐธรรมนูญแบบนี้สามารถผ่านมาตราที่ว่า ส.ส.ต้องจบปริญญาตรีก่อนไปได้ หรือที่ขานรับข้อเสนอของประเวศที่ให้ตั้งสภาที่มีอดีตนายกฯ เป็น ส.ส.แต่งตั้ง โดยเขาเชื่อว่า ถ้าข้อเสนอแบบนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีขบวนการภูมิปัญญาที่เข้มแข็ง สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น
เขายังตั้งข้อสังเกตอีกว่า หลังเหตุการณ์พฤษภาได้เกิดฉันทามติในหมู่ปัญญาชนไทยอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนคือ 1.reconciliation with the monarchy เช่น ยอมให้ประเวศชูเรื่องคืนอำนาจได้ 2.empty electoral politic หรือที่เรียกกันว่า เลือกตั้งธิปไตย แต่มีไอเดียที่มีอคติต่อนักการเมือง 3.populism ซึ่งไม่ใช่ประชานิยม แต่หมายถึงไอเดียที่ว่า มีประชาชนบางกลุ่มที่เราเคลมได้ แม้อาจไม่ถึง 1% ของทั้งหมด แต่ก็ภูมิใจที่จะอ้าง ซึ่งไอเดียเหล่านี้เพิ่งมามีในทศวรรษ 2530
สมศักดิ์กล่าวว่า ทำไมไอเดียอย่างเศรษฐกิจพอเพียงจึงได้รับการยอมรับในหมู่คนพวกนี้ หรือทำไมพวกทหาร คมช.พูดเรื่องเผด็จการทุนนิยมโดยไม่อาย ทั้งที่คำว่าเผด็จการทุนนิยม เป็นคำของฝ่ายซ้าย ที่เขายืมคำพวกนี้ไปใช้ได้เพราะคำพวกนี้ empty (ว่างเปล่า) เนื่องจากการวิพากษ์ทุนนิยมในระยะหลังมันไม่มีข้อเสนออะไรใหม่ ถ้าไม่ทุนนิยมโลกาภิวัตน์แล้วมันคืออะไร ถ้าเป็นสมัยก่อน 1980s ถ้าพูดแอนตี้ทุนนิยม มันหมายถึงสังคมนิยม จะรัสเซียหรือจีนก็ว่าไป แต่อย่างน้อยมันมีไอเดียเบื้องหลังการต่อต้านนี้ แต่หลัง 10 ปีมานี้ ไม่มีไอเดียเบื้องหลังเลย
อย่างไรก็ตาม สมศักดิ์ มองว่า ฉันทามตินี้ถูกเขย่าอย่างรุนแรง เมื่อรัฐประหาร 19 กันยาฯ แต่ไม่ได้แตกหัก นอกจากนี้ได้วิจารณ์ท่าทีการประณามการรัฐประหารที่ไม่ชัดเจนว่า อาจเพราะถูกครอบงำวิธีคิดด้วย theme ใหญ่ๆ 3 ข้อข้างต้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)