หมายเหตุ: บทความแปลชุด "สื่อในเอเซีย" แปลและเรียบเรียงโดย สุภัตรา ภูมิประภาส นี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน www.midnightuniv.org ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน (สิทธิชุมชน) ในประเทศไทย
ชื่อเดิม: นโยบายยุติธรรมแห่งรัฐ...โทษหมิ่นประมาททางอาญากับสื่อ: บทเรียนการต่อสู้ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งอินโดนีเซีย [1]
โดย ลีโอ บาตูบารา [2]
- รัฐธรรมนูญไม่ประกันเสรีภาพในการแสดงออก
การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของมาตรา 28E และ 28F ของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2488 (1945) คุ้มครองเสรีภาพสื่อ
มาตรา 28E
(4) บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะสมาคม ชุมนุม และแสดงความเห็นใดๆ
มาตรา 28F
บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะสื่อสารและรับข้อมูลข่าวสารเพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง และสภาพแวดล้อมทางสังคมของพวกเขา, และมีสิทธิที่จะแสวงหา, รวบรวม, เป็นเจ้าของ, เก็บรักษา, จัดการ และให้ข้อมูลข่าวสารโดยใช้ทุกช่องทางที่มี
การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของมาตรา 28J จัดเตรียมการคุ้มครองทางกฎหมายที่ต่อต้านการคุกคามเสรีภาพสื่อ:
(1) บุคคลทุกคนต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม, ประเทศ และรัฐ
สภาการหนังสือพิมพ์กำลังต่อสู้เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้มั่นใจว่าสิทธิของพลเมืองอินโดนีเซีย ในเรื่องเสรีภาพสื่อถูกทำให้เข้มแข็งในรัฐธรรมนูญโดยให้ระบุถ้อยคำต่อไปนี้: "ข้อบังคับทุกข้อ, กฎระเบียบ และกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อไม่สามารถกระทำได้"
- กฎหมายสื่อ (ฉบับที่ 40/2542) คุ้มครองเสรีภาพสื่อ
กระบวนทัศน์ของกฎหมายสื่อเบื้องต้น - การใช้อำนาจ | กฎหมายสื่อ (ฉบับที่ 40/2542)- กระบวนทัศน์ประชาธิปไตย |
1. รัฐบาลควบคุมสื่อ | 1. สื่อควบคุมรัฐบาล |
2. รัฐบาลมีสิทธิเข้าแทรกแซงการบริหารจัดการสื่อ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารมีอำนาจออกกฎข้อบังคับทั้งในนามรัฐบาล และกฎข้อบังคับของกระทรวง | 2. รัฐบาลไม่มีสิทธิเข้าแทรกแซงการทำงานของสื่อ, ไม่มีกฎข้อบังคับทั้งของรัฐบาลและของกระทรวง, กฎข้อบังคับเกี่ยวกับสื่อจะต้องจัดทำโดยสื่อสำหรับองค์กรสื่อ (กฎข้อบังคับที่ควบคุมกันเอง) |
3. เครื่องมือแรกของรัฐบาลในการควบคุมสื่อคือระบบการออกใบอนุญาต | 3. สื่อสิ่งพิมพ์ไม่ต้องขอใบอนุญาต, ไม่มีการเซ็นเซอร์ และการห้ามพิมพ์ |
4. เครื่องมือที่ 2 ของรัฐบาลในการควบคุมสื่อคือการใช้กฎหมายอาญากับสื่อ | 4. กฎหมายสื่อไม่ให้สื่อมีโทษทางอาญา ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในสื่อจะได้รับการแก้ไขผ่านกลไกสิทธิที่จะตอบโต้ การใช้กระบวนการทางแพ่งด้วยการจ่ายค่าปรับ หากจำเป็น |
5. สภาการหนังสือพิมพ์มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารเป็นประธาน ซึ่งภารกิจหลักของรัฐมนตรีฯ คือการออกกฎที่สนองความต้องการของรัฐบาล | 5. หน้าที่หลักของสภาการหนังสือพิมพ์ที่เป็นอิสระ รวมถึง: ก. ปกป้องเสรีภาพสื่อ ข. ดำเนินการร่างข้อบังคับสำหรับสื่อ ค. นำเสนอความเห็นและแก้ปัญหาต่อคำร้องเรียนของสาธารณะเกี่ยวกับสื่อ |
6. กระบวนทัศน์นี้ได้รับการเสริมให้เข้มแข็งในกฎหมายสื่อเบื้องต้น (ฉบับที่ 11/2509, ฉบับที่ 40/2510 และฉบับที่ 21/2525) | 6. ความเข้าใจนี้ต่อเสรีภาพสื่อได้รับการเสริมให้เข้มแข็งในกฎหมายสื่อฉบับใหม่ (ฉบับที่ 40/2542) |
กลไกในการแก้ปัญหาข้อพิพาทที่เพิ่มขี้นจากการรายงานข่าว อยู่บนหลักการพื้นฐานของกฎหมายสื่อ:
คัดค้านการลงโทษทางอาญาต่อสื่อ สนับสนุนให้ยกเลิกการลงโทษทางอาญากับสื่อ
ความเข้าใจต่อรายงานข่าวสองประเภทที่แตกต่างกัน
1. ข่าวที่เข้าลักษณะเป็นการทำงานตามวิชาชีพสื่อ
(1) การทำงานของสื่อรวมถึง : การแสวงหา, การรวบรวม, การเป็นเจ้าของ, การเก็บรักษา, การจัดทำและเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร,
(2) อยู่บนฐานของแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้, มีดุลยภาพและเที่ยงธรรม, ครอบคลุมความเห็นของทุกฝ่าย, ข้อเท็จจริงพิสูจน์ได้, ตรวจสอบและตรวจสอบซ้ำ,
(3) เขียน/รายงานโดยนักข่าวที่ทำงานโดยอิสระและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(4) รายงานนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน
หากรายงานข่าวละเมิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ หรือละเมิดกฎหมายสื่อ บทลงโทษ คือ
(1) ข้อความที่ผิดพลาดจะได้รับตีพิมพ์แก้ไข (ผ่านการใช้สิทธิในการโต้แย้ง) ถ้าสื่อปฏิเสธสิทธิที่จะโต้แย้ง [ของผู้เสียหาย -ผู้แปล] จะต้องมีโทษปรับสูงสุด 500,000,000 รูปี (มาตรา 18.2)
(2) รายงานข่าวที่เป็นการหมิ่นประมาท สบประมาทหรือสร้างความเสียหาย รายงานข่าวที่ไม่เคารพหลักการที่สันนิษฐานว่า บุคคลยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำสั่งพิพากษา ต้องถูกลงโทษด้วยโทษปรับสูงสุด 500,000,000 รูปี (มาตรา 5.1 และ มาตรา 18.2)
2. รายงานข่าวที่นอกเหนือไปจากการประกอบวิชาชีพสื่อ (การปฏิบัติมิชอบในการประกอบวิชาชีพ):
การปฏิบัติมิชอบในการประกอบวิชาชีพ, รายงานข่าวที่ไม่เป็นไปตามหลักการวิชาชีพสื่อ สามารถที่จะถูกดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา:
(1) หากรายงานข่าวนั้นไม่เป็นไปตามหลักการวิชาชีพ แต่เป็นการปฏิบัติมิชอบในการประกอบวิชาชีพ (มาตรา 12 ของกฎหมายสื่อระบุไว้ว่า "ให้เป็นไปตามกฎหมายต่างๆที่มีอยู่" และ ประมวลกฎหมายอาญา)
(2) รายงานข่าวที่ถูกจัดอยู่ในประเภทการปฏิบัติมิชอบในการประกอบวิชาชีพ:
ก. ข่าวที่มีจุดมุ่งหมายจะแบล็คเมล์
ข. ข่าวที่เป็นความเท็จที่เขียนขึ้นเอง
ค. ข่าวที่มีเจตนามุ่งร้ายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ
ง. ข่าวที่มีเนื้อหาลามกอนาจารด้วยเจตนาที่จะปลุกกำหนัด/ ความต้องการทางเพศของผู้อ่าน/ ผู้ฟัง/ ผู้ชม
จ. ข่าวที่มีเจตนาดูหมิ่นศาสนา
คำร้องเรียนที่ยื่นต่อสภาการหนังสือพิมพ์ (พ.ศ. 2543 - 2550)
| ปี พ.ศ. | ||||||
ประเภท คำร้องเรียน | 2543-กรกฎาคม 2546 | สิงหาคม 2546 | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | รวม |
ร้องเรียนตรงต่อสภาการหนังสือพิมพ์ | 427 | 34 | 59 | 68 | 79 | 42 | 709 |
ร้องเรียนโดย cc ถึงสภาการหนังสือพิมพ์ | - | 67 | 94 | 59 | 128 | 208 | 556 |
รวม | 427 | 101 | 153 | 127 | 207 | 250 | 1265 |
3. จำนวนที่เพิ่มขึ้นของกฎหมายที่คุกคามเสรีภาพสื่อ
1. ประมวลกฎหมายอาญา:
ในยุคที่อินโดนีเซีย อยู่ภายใต้การปกครองของดัชต์ ได้มีการออกประมวลกฎหมายอาญา ในปี พ.ศ. 2460 (1917) ที่รู้จักกันในชื่อ Wetboek van Strafrecht หรือในภาษาอินโดฯ คือ KUHP
กฎหมายนี้มี 37 มาตราที่ระบุโทษจำคุกนักข่าวด้วยเหตุอันมาจากการปฏิบัติหน้าที่สื่อ
ปัจจุบัน อินโดนีเซียได้รับอิสรภาพมานานถึง 63 ปีแล้ว แต่กฎหมายฉบับนี้ ยังมีผลบังคับใช้อยู่
ก. ในช่วงการปกครองของประธานาธิบดีซูการ์โน (พ.ศ. 2488-2509) และประธานาธิบดีซูฮาร์โต (พ.ศ. 2509-2541) นักข่าว 20 คนถูกลงโทษจำคุกด้วยสาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่สื่อ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐเห็นว่ารายงานข่าวของพวกเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ
เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 บรรณาธิการบริหารของหนังสือพิมพ์รายวัน Indonesia Raya คือ Mochtar Lubis ถูกลงโทษจำคุก 9 ปีด้วยเหตุจากบทความที่เขาเขียนเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแพร่หลายของเจ้าหน้าที่รัฐ เขาถูกพิพากษาลงโทษจำคุกด้วยความผิดฐานละเมิดมาตรา 154 และมาตรา 207 ของประมวลกฎหมายอาญาซึ่งระบุโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี
ข. ในช่วงของการปฏิรูปนี้ นักข่าวนับสิบถูกจับเข้าคุกเพราะถูกกล่าวหาว่าละเมิดประมวลกฎหมายอาญา
1) Karim Paputungan หัวหน้ากองบรรณาธิการของ Rokyat Merdeka ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกห้าเดือนและทัณฑ์บนอีก 10 เดือน (9/9/03) เพราะภาพประกอบรายงานข่าวที่เขาเขียนถูกพิจารณาว่าเป็นการหมิ่นประมาท Akbar Tanjung ประธานพรรค Golkar
Supratman บรรณาธิการบริหารของ Rakyat Merdeka ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกหกเดือนและทัณฑ์บน 12 เดือน (17/10/03) เพราะข้อความพาดหัวข่าวว่า "ลมหายใจของเมกาวาตีส่งกลิ่นน้ำมันดีเซล" ("Megawati"s Breath Smells Diesel Oil") ถูกพิจารณาว่าเป็นการหมิ่นประมาทประธานาธิบดีเมกาวาตี
2) Dahri Nasution บรรณาธิการบริหารนิตยสารรายสัปดาห์ Oposisi (opposition) ถูกศาลสูงพิพากษาว่ามีความผิดและสั่งจำคุกหนึ่งปี
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 Nasution ถูกจองจำที่คุก Tanjung Gusta ในเมืองเมดาน เขาถูกฟ้องหมิ่นประมาทเพราะรายงานข่าวที่ตีพิมพ์ในฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีข้อความว่า "สามปีครึ่งในตำแหน่ง - อธิการบดีของ IAIN ถูกกล่าวหาว่าสร้างความมั่งคั่งผ่านระบบพวกพ้องและการทุจริตคอรัปชั่น"
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2549 ศาลสูงสุดมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก Risang Bima Wijaya [3] หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายวัน Radar Jogja เป็นเวลาหกเดือน จากคดีหมิ่นประมาทที่ถูก Soemadi Martono Wonohito เจ้าของผู้พิมพ์หนังสือพิมพ์รายวัน Kedaulatan Rakyat ฟ้องร้องว่าเขาถูกหมิ่นประมาทจากรายงานข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Radar Jogja ช่วงระหว่างพฤษภาคม - ตุลาคม พ.ศ. 2545
ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลผลิตจากช่วงที่ดัชต์ปกครองอินโดนีเซีย นั้น ได้ถูกนำมาใช้เป็นประโยชน์สำหรับการจับกุมคุมขังผู้นำขบวนการเพื่ออิสรภาพของอินโดนีเซีย และนักข่าว
ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เราเห็นว่าช่วงเวลา 63 ปีที่ผ่านมานับแต่อินโดนีเซียได้อิสรภาพ ประมวลกฎหมายอาญา (KUHP) ของประเทศถูกใช้เพื่อการปกป้องบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และนักธุรกิจที่มี "ปัญหา" ด้วยการใช้โทษจำคุก หรือคุกคามด้วยคำขู่ว่าจะถูกจำคุกต่อนักข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ
(1) เจ้าหน้าที่รัฐที่ไร้ความสามารถ, นักการเมือง และนักธุรกิจ
(2) เจ้าหน้าที่รัฐหรือนักธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่า
(ก) เกี่ยวข้องกับ KKN
(ข) เกี่ยวข้องกับการพนัน หรืออยู่เบื้องหลังธุรกิจการพนัน
(ค) ละเมิดสิทธิมนุษยชน
(ง) เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาเสพติด
(จ) เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติมิชอบของรัฐบาล
รัฐบาลกำลังร่างประมวลกฎหมายอาญาฉบับใหม่ ประกอบด้วย 61 มาตราที่สามารถลงโทษจำคุกนักข่าวด้วยเหตุแห่งการปฏิบัติงานตามวิชาชีพของพวกเขา กฎหมายสื่อนั้นคุ้มครองสื่อในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมตรวจสอบรัฐบาล แต่ประมวลกฎหมายอาญาทำลายกฎหมายสื่อและเสรีภาพสื่อ
2. กฎหมายแพ่ง (KUHPerdata) ทำให้สื่อล้มละลายได้:
ก. นิตยสาร Trust ถูกฟ้องร้องโดย John Hamenda ผู้อำนวยการของ PT. Petindo เพเนื่องจากตีพิมพ์ข่าวในนิตยสารฉบับวันที่ 1-7 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ที่พาดหัวว่า "กลุ่ม [บริษัท PT. Petindo] เป็นสาเหตุให้ BNI ล้มละลาย" ("The Group caused BNI to Collapse") ศาลจาการ์ตากลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าปรับแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1 พันล้านรูปี (ประมาณ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ -ผู้แปล)
ข. เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 Purwaning Yanuar ตัวแทนสำนักงานกฎหมาย O.C. Kaligis กระทำการในนามของ Marimutu Simivasan ผู้บริหารของ PT. Texmaco GROUP ยื่นฟ้อง Jakob Oetama ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา Kompas, Suryopratomo หัวหน้ากองบรรณาธิการ และ บริษัท PT. Kompas Media Nusantara ต่อศาลจาการ์ตากลาง กล่าวหาว่าภาพและรายงานข่าวเกี่ยวกับโจทก์ที่ตีพิมพ์ใน Kompas ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 - เดือนเมษายน พ.ศ. 2546 ไม่เป็นความจริง Kompas ถูกเรียกค่าเสียหายฐานหมิ่นประมาทเป็นตัวเงิน 150 เหรียญสหรัฐ และอื่นๆ มีมูลค่ารวมอีก หนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ
ค. วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2550 คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดมีคำพิพากษาให้นิตยสารไทมส์ (TIME Magazine) จ่ายค่าเสียหายแก่อดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตเป็นเงินประมาณ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ
นิตยสารไทมส์ฉบับวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ตีพิมพ์ผลรายงานการสอบสวนเกี่ยวกับการที่อดีตประธานาธิบดีสะสมความร่ำรวย ให้กับธุรกิจครอบครัวของตน หรือ Soeharto Inc. ไทมส์ เอเชีย (TIME
3. กฎหมายฉบับที่ 1/2489 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
ข่าวที่เป็นเท็จด้วยเจตนาที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม จะมีโทษจำคุกสูงสุด 9 ปี
Bambang Harymurti บรรณาธิการนิตยสารเทมโป้ (Tempo Magazine) ถูก Tomy Winata (นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลของอินโดนีเซีย) ฟ้องภายใต้กฎหมายนี้ และถูกพิพากษาจำคุก 9 ปี
4. กฎหมายฉบับที่ 32/2545 ว่าด้วยการกระจายเสียง
หลายมาตราในกฎหมายว่าด้วยการกระจายเสียงเป็นการเมืองเรื่องกฎหมาย ข่าวสารที่เผยแพร่ที่มีเนื้อหาหมิ่นศาสนา/ สบประมาท, เป็นเท็จ ไม่เพียงแต่มีโทษจำคุก 5 ปี แต่ยังมีโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 ล้านรูปี
5. กฎหมายฉบับที่ 10/2551 ว่าด้วยพรรคการเมือง (DPRD) และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (DPR), สมาชิกวุฒิสภา (DPD) คุกคามเสรีภาพสื่อ
มาตรา 97 ระบุว่า "สื่อสิ่งพิมพ์ต้องจัดเตรียมพื้นที่ที่เป็นธรรมและเวลาที่เหมาะสมสำหรับรายงานข่าวและบทสัมภาษณ์ต่างๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์การรณรงค์ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง"
กรณีที่มีการละเมิดมาตรานี้ สื่ออาจถูกลงโทษด้วยการสั่งปิด (ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 99 (1))
ส่วนมาตรา 18 (2) ของกฎหมายสื่อระบุว่า "ผู้ใดเซ็นเซอร์และสั่งห้ามสื่อมีโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี และโทษปรับสูงสุด 500 ล้านรูปี
6. กฎหมายว่าด้วยความโปร่งใสของข้อมูลข่าวสารสาธารณะ (UU KIP)
กฎหมายว่าด้วยความโปร่งใสของข้อมูลข่าวสารสาธารณะซึ่งมีผลเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายที่ขัดแย้งในตัวเองด้วย กฎหมายใช้ชื่อว่าความโปร่งใส แต่กลับกำหนดโทษจำคุกไว้ในตัวเนื้อหา กฎหมายนี้วางระเบียบเรื่องข้อมูลที่เป็นความลับและข้อมูลสาธารณะ ข้อมูลสาธารณะต้องเปิดให้สาธารณะชนสามารถเข้าถึงได้, แต่ยังคงมีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปีสำหรับ "บุคคลที่ใช้ข้อมูลสาธารณะในทางไม่สุจริต มาตราเหล่านี้เป็นที่เชื่อว่าเพื่อสกัดกั้นประสิทธิภาพของการทำข่าวเชิงสืบสวนในการใช้ข้อมูลสาธารณะเพื่อป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ และรัฐวิสาหกิจ (BUMN)
7. กฎหมายฉบับที่ 11/2551 ว่าด้วยข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารทางอิเลคโทรนิคส์ คุกคามเสรีภาพสื่อ
พัฒนาการด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดและความก้าวหน้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ต้องตามให้ทันการปรับตัวของสื่อ ผลผลิตด้านสื่อนอกจากเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว ยังมีสื่อออนไลน์ สถานีวิทยุ โทรทัศน์ และสื่ออินเตอร์เนท สื่อกระแสหลัก เช่น Kompas, Media Indonesia, Tempo ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ในรูปแบบของสื่ออิเลคโทรนิคส์ด้วย
มาตรา 27 (3) และมาตรา 45 (1) ของกฎหมายข้อมูลข่าวสารฯ (UU ITE) ระบุว่าสื่อที่เผยแพร่ข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นศาสนา และหมิ่นประมาทในรูปแบบของสื่ออิเลคโทรนิคส์มีโทษจำคุก 6 ปี และ/ หรือโทษปรับสูงสุด 1,000 ล้านรูปี
ปัญหาคือ กฎหมายสื่อและประมวลกฎหมายอาญานิยามการหมิ่นศาสนา และการหมิ่นประมาทแตกต่างกัน ตัวอย่างที่อธิบายได้คือคดีของนิตยสารเทมโป้ "Ada Tomy di Tenabang (3/3/2546)
ตามคำตัดสินของศาลจาการ์ตากลางและศาลสูงแห่ง จาการ์ตาโดยใช้ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 1/2489 เป็นความผิดทางอาญา เพราะรายงานข่าวของนิตยสารเทมโป้มีข้อความที่เป็นเท็จ หมิ่นศาสนา และหมิ่นประมาท
แต่คำพิพากษาของศาลสูงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 (9/2/06) รายงานข่าวชิ้นนี้ไม่ถือเป็นการละเมิดภายใต้กฎหมายสื่อ
4. เสรีภาพสื่ออินโดนีเซีย ถดถอยลง
ปี พ.ศ. | อันดับเสรีภาพสื่อของอินโดนีเซีย | จำนวนประเทศ | ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี |
2544 | ดีที่สุด | ในเอเซีย | บีเจ ฮาร์บีบี |
2545 | 57 | 139 | อับดูร์ราห์มาน วาฮิด |
2546 | 111 | 166 | เมกาวาตี |
2547 | 117 | 167 | เมกาวาตี |
2548 | 105 | 167 | ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน |
2549 | 103 | 167 | ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน |
2550 | 100 | 169 | ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน |
5. บทสรุป
จากการวิเคราะห์ทั้งหมดข้างต้น เราสามารถสรุปอะไรได้บ้าง?
ประการแรก, นโยบายยุติธรรมแห่งรัฐซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญาที่กล่าวมาทั้งหมดมีบทบัญญัติที่คุกคามเสรีภาพสื่ออย่างชัดเจน
กฎหมายสื่อคุ้มครองการควบคุมสื่อเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาลแห่งรัฐ
ประการที่สอง, ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน เสรีภาพสื่อเป็นอย่างไร?
ด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ประกาศว่าจะคุ้มครองเสรีภาพสื่อ แต่อีกด้านหนึ่งคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขากลับคุกคามสื่อ
000000
เชิงอรรถ
[1]
[2] Leo Batubara เป็นรองประธานสภาการหนังสือพิมพ์อินโดนีเซีย
[3] เพิ่มเติมโดยผู้แปล - คณะผู้ร่วมสัมมนานานาชาติฯ เข้าเยี่ยมและสัมภาษณ์ Risang Bima Wijaya ที่เรือนจำ Cemani ในเมือง
Risang Bima Wijaya ถูกฟ้องหมิ่นประมาทเพราะเขียนบทความ 14 ชิ้น เพื่อกระตุ้นให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศในที่ทำงานที่เขาได้รับร้องเรียนจากแหล่งข่าวสตรี 2 คน เขาแพ้คดีและถูกพิพากษาจำคุก 6 เดือน ระหว่างการถูกคุมขัง ทางกองบรรณาธิการจ่ายเงินเดือนให้เขา 40%
.......................................
งานที่เกี่ยวข้อง
มองสื่อนอก: บทนำ ว่าด้วย "การหมิ่นประมาท: การสร้างเวทีระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนเสรีภาพสื่อ"
โปรดติดตามตอนต่อไป: สถานการณ์สื่อในอินโดนีเซีย : "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยาว?"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)