ภัควดี วีระภาสพงษ์
แปลจาก
Ian Angus, FOOD CRISIS (Part One), Socialist Voice;
"ถ้ารัฐบาลไม่มีปัญญาลดค่าครองชีพ รัฐบาลก็ควรลาออกไปซะ ถ้าตำรวจและกองทหารสหประชาชาติอยากยิงเราทิ้ง ก็โอเค ยิงเลย เพราะถ้าเราไม่ตายด้วยลูกกระสุน ก็ต้องอดตายอยู่ดี"
---คำพูดของผู้ประท้วงคนหนึ่งในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ประเทศเฮติ
ในประเทศเฮติ ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับแคลอรีจากอาหารน้อยกว่าปริมาณต่ำสุดที่จำเป็นต่อสุขภาพถึง 22% บ้างก็บรรเทาความหิวโหยด้วยการกิน "คุ้กกี้ดิน" ที่ทำจากดินเหนียวกับน้ำผสมน้ำมันพืชกับเกลือนิดหน่อย [1]
ขณะเดียวกัน ในประเทศแคนาดา รัฐบาลกลางยอมจ่ายเงินถึง 225 ดอลลาร์ต่อหมู 1 ตัวที่เกษตรกรเพาะเลี้ยงหมูคัดมาฆ่าทิ้ง นี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการลดการผลิตหมูให้น้อยลง เกษตรกรเพาะเลี้ยงหมู ซึ่งถูกบีบคั้นจากราคาเนื้อหมูตกต่ำและต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น ต่างตอบรับนโยบายนี้อย่างกระตือรือร้น กระทั่งเงินชดเชยการฆ่าหมูน่าจะหมดก่อนโครงการสิ้นสุดในเดือนกันยายนนี้ด้วยซ้ำ
เนื้อหมูที่ได้จากการฆ่าล้างผลาญครั้งนี้ บางส่วนคงนำไปให้ธนาคารอาหารตามท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่จะถูกทำลายหรือนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดส่งไปให้เฮติบ้างเลย
นี่คือโลกอันโหดร้ายของระบบเกษตรกรรมแบบทุนนิยม โลกที่คนบางกลุ่มทำลายอาหารทิ้งเพราะราคาต่ำเกินไป ขณะที่คนอีกกลุ่มต้องกินดินกินทรายเพราะราคาอาหารสูงเกินไป
ราคาอาหารสูงเป็นประวัติการณ์
เราตกอยู่ท่ามกลางปัญหาราคาอาหารเฟ้อทั่วโลกอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ราคาอาหารพุ่งสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ อาหารเกือบทุกชนิดได้รับผลกระทบจนราคาพุ่งขึ้นอย่างถ้วนหน้า แต่ที่สะเทือนมากเป็นพิเศษคือราคาธัญญาหารที่เป็นอาหารหลักสำคัญที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ ข้าวสาลี ข้าวโพดและข้าว
องค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติให้ข้อมูลว่า ระหว่างเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 จนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ราคาธัญพืชพุ่งขึ้นไปถึง 88% น้ำมันและไขมัน 106% และนม 48% ดัชนีราคาอาหารของ FAO โดยรวมเพิ่มขึ้นไปถึง 57% ในเวลาแค่ปีเดียว และราคาที่เพิ่มขึ้นมานี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แหล่งข้อมูลอีกแห่งหนึ่งคือ ธนาคารโลก ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 36 เดือนก่อนเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ราคาข้าวสาลีในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 181% และราคาอาหารในโลกโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 83% ธนาคารโลกคาดหมายว่า ราคาอาหารส่วนใหญ่จะสูงกว่าระดับราคาใน ค.ศ. 2004 ไปจนถึง ค.ศ. 2015 เป็นอย่างน้อย
ข้าวเกรดที่ได้รับความนิยมที่สุดของประเทศไทยเคยขายในราคา 198 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อ 5 ปีก่อน และ 323 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อปีที่ผ่านมา ในวันที่ 24 เมษายน ราคาพุ่งไปจรดระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อตันแล้ว
ในตลาดท้องถิ่น ระดับราคายิ่งแพงลิบโลก ในประเทศเฮติ ราคาตลาดของข้าวขนาดถุง
ราคาที่เพิ่มขึ้นแบบนี้คือหายนะสำหรับประชาชน 2.6 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 2 ดอลลาร์ต่อวัน และใช้จ่ายรายได้ 60-80% ไปกับอาหาร มีคนหลายร้อยล้านคนไม่มีกิน
ลงไปสู่ท้องถนน
ในเฮติ วันที่ 3 เมษายน ผู้ประท้วงในเมืองเลส์กาแยสทางภาคใต้รวมตัวกันสร้างเครื่องกีดขวาง ดักสกัดรถบรรทุกข้าว ชิงอาหารออกมาแจกจ่ายกัน รวมทั้งพยายามเผาค่ายทหารสหประชาชาติ คลื่นการประท้วงลุกลามไปถึงเมืองหลวงปอร์โตแปรงซ์อย่างรวดเร็ว คนหลายพันเดินขบวนมาที่ทำเนียบประธานาธิบดี ตะโกนเป็นจังหวะว่า "เราหิว!" คนจำนวนมากเรียกร้องให้ถอนกองทหารสหประชาชาติออกไปและเอา ฌอง-แบร์ทรองด์ อรีสตีด อดีตประธานาธิบดีผู้ลี้ภัยที่ถูกอำนาจต่างชาติโค่นลงจากรัฐบาลใน ค.ศ. 2004 กลับคืนมา
ประธานาธิบดีเรอเน เปรวาล ซึ่งตอนแรกบอกว่าปัญหานี้เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ต้องยอมประกาศลดราคาค้าส่งของข้าวลง 16% นี่เป็นแค่มาตรการขายผ้าเอาหน้ารอด เพราะการลดราคามีระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน อีกทั้งไม่ได้ผูกมัดผู้ค้าปลีกให้ลดราคาตามไปด้วย
การประท้วงในเฮติเป็นภาพสะท้อนการประท้วงคล้าย ๆ กันของประชาชนผู้หิวโหยในกว่า 20 ประเทศ
ในประเทศบูร์กินาฟาโซ ทวีปแอฟริกา การนัดหยุดงานครั้งใหญ่เป็นเวลาสองวันของสหภาพแรงงานและเจ้าของร้านค้า เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาข้าวและธัญญาหารอื่น ๆ "อย่างมีประสิทธิภาพ"
ในบังคลาเทศ คนงานกว่า 20,000 คนจากโรงงานสิ่งทอในเมืองฟาตุลเลาะห์นัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลลดราคาอาหารและขึ้นค่าแรง พวกเขาขว้างปาก้อนอิฐก้อนหินใส่ตำรวจที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
รัฐบาลอียิปต์ส่งกองกำลังหลายพันนายเข้าไปในนิคมอุตสาหกรรมสิ่งทอมาฮัลลาที่ตั้งอยู่ตรงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ เพื่อสกัดไม่ให้มีการนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม ลดราคาอาหารและเรียกร้องอิสระในการก่อตั้งสหภาพแรงงาน ประชาชนสองคนถูกฆ่าตายและกว่า 600 คนถูกจำคุก
ในเมืองอาบีจาน ประเทศไอวอรีโคสต์ ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้หญิงที่สร้างเครื่องกีดขวาง เผายางรถยนต์และปิดทางหลวงสายหลัก ประชาชนหลายพันคนเดินขบวนไปที่ทำเนียบประธานาธิบดี ตะโกนว่า "เราหิว" และ "ชีวิตราคาแพงเกินไป ท่านกำลังฆ่าเรา"
ในปากีสถานและประเทศไทย รัฐบาลต้องส่งกองทหารติดอาวุธเข้าไปป้องกันไม่ให้คนจนปล้นชิงอาหารจากไร่นาและยุ้งฉาง
การประท้วงแบบเดียวกันเกิดขึ้นในแคเมอรูน เอธิโอเปีย ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย มาดากัสการ์ มอริเตเนีย ไนเจอร์ เปรู ฟิลิปปินส์ เซเนกัล ประเทศไทย อุซเบกิสถาน และแซมเบีย ในวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ประธานธนาคารโลกกล่าวแก่ที่ประชุมในกรุงวอชิงตันว่า มีถึง 33 ประเทศที่อาจเกิดความไม่สงบทางสังคมเพราะราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น
บรรณาธิการอาวุโสของนิตยสาร ไทม์ เตือนว่า:
"ภาพมวลชนผู้หิวโหยสิ้นหวังกรูออกไปตามท้องถนนและโค่นล้มรัฐบาลสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศสอาจดูเหมือนน่าประหลาดและเป็นไปไม่ได้นับตั้งแต่ระบบทุนนิยมได้ชัยชนะเด็ดขาดในสงครามเย็น.....กระนั้นก็ตาม ข่าวพาดหัวในช่วงเดือนที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ราคาอาหารที่พุ่งทะลุฟ้ากำลังเป็นปัจจัยคุกคามเสถียรภาพของรัฐบาลหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก....หากเงื่อนไขแวดล้อมทำให้รัฐบาลไม่สามารถเลี้ยงดูเด็ก ๆ ที่ยากจนหิวโหย พลเมืองสามัญชนเฉื่อยเนือยทั้งหลายก็อาจกลายเป็นแนวหน้ามวลชนที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้วได้ในทันที" [2]
อะไรอยู่เบื้องหลังปัญหาราคาอาหารเฟ้อ?
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา การผลิตอาหารมีความเป็นโลกาภิวัตน์และกระจุกตัวมากยิ่งขึ้น ประเทศเพียงไม่กี่ประเทศครอบงำการค้าธัญญาหารหลักของโลก การส่งออกข้าวสาลีถึง 80% มาจากประเทศผู้ส่งออก 6 ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกข้าวถึง 85% มีสามประเทศผลิตข้าวโพดส่งออกถึง 70% สภาพการณ์นี้ทำให้กลุ่มประเทศยากจนที่สุดในโลก กลุ่มประเทศที่ต้องนำเข้าอาหารเพื่อความอยู่รอด ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวโน้มทางเศรษฐกิจและนโยบายในประเทศผู้ส่งออกอาหารไม่กี่ประเทศ เมื่อใดที่ระบบการค้าอาหารโลกเกิดใช้การไม่ได้ คนจนก็ต้องแบกรับภาระทั้งหมด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การค้าธัญญาหารในโลกมีแนวโน้มที่นำมาสู่วิกฤตการณ์ครั้งนี้ มีแนวโน้มสี่ประการด้วยกันขัดขวางความเติบโตของการผลิตและดันราคาให้สูงขึ้น
จุดสิ้นสุดของการปฏิวัติเขียว: ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เพื่อบรรเทาความไม่พอใจของเกษตรกรในเอเชียใต้และอุษาคเนย์ สหรัฐฯ ทุ่มเงินและความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีให้การพัฒนาภาคเกษตรกรรมในอินเดียและประเทศอื่น ๆ "การปฏิวัติเขียว" ทั้งเมล็ดพันธุ์ใหม่ ปุ๋ย ยาฆ่าศัตรูพืช เทคโนโลยีทางการเกษตรและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การผลิตอาหาร โดยเฉพาะข้าว เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึง ผลผลิตต่อเฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ =
ทุกวันนี้ การที่รัฐบาลช่วยคนจนปลูกข้าวให้คนจนด้วยกันกิน กลายเป็นนโยบายที่ไม่เป็นที่นิยมเสียแล้ว ทั้งนี้เพราะความเชื่อว่า "ตลาด" จะจัดการทุกปัญหาเอง นิตยสาร The Economist รายงานว่า "สัดส่วนงบประมาณที่ให้แก่ภาคเกษตรในประเทศกำลังพัฒนาลดลงราวครึ่งหนึ่งในช่วง ค.ศ. 1980-
ด้วยเหตุนี้ มีถึง 7 ปีในรอบ 8 ปีที่ผ่านมาที่โลกบริโภคธัญญาหารมากกว่าที่ผลิตได้ นั่นหมายความว่า รัฐบาลกับผู้ค้าข้าวดึงข้าวไปจากคลังสำรองที่ปรกติใช้เป็นหลักประกันในกรณีเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ปริมาณสำรองของธัญญาหารในโลกขณะนี้ลดลงจนถึงจุดต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา หากเกิดปัญหาเลวร้ายในภาคเกษตรโลกขึ้นมาเมื่อไร ตาข่ายรองรับก็มีเหลืออยู่น้อยมาก
ความเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศโลก: นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศอาจทำให้ผลผลิตอาหารในส่วนต่าง ๆ ของโลกลดลงไปถึง 50% ในช่วง 12 ปีข้างหน้า แต่นั่นไม่ใช่แค่ปัญหาของอนาคตเท่านั้น
ออสเตรเลียเคยเป็นผู้ส่งออกธัญญาหารรายใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก แต่ความแห้งแล้งขั้นเลวร้ายติดต่อกันหลายปีทำให้การเพาะปลูกข้าวสาลีลดลงไปถึง 60% ส่วนการผลิตข้าวแทบหายไปหมดเกลี้ยง
ในบังคลาเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พายุไซโคลนครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ ทำลายข้าวไปถึงล้านตันและสร้างความเสียหายแก่นาข้าวสาลี จนทำให้ทั้งประเทศต้องพึ่งพิงอาหารนำเข้ามากกว่าเดิม
ตัวอย่างอื่น ๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ชัดว่า วิกฤตการณ์ของภูมิอากาศโลกเกิดขึ้น ณ บัดนี้แล้ว และมันส่งผลกระทบต่ออาหาร
เชื้อเพลิงเกษตร: ตอนนี้ในสหรัฐฯ แคนาดาและยุโรป มีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะแปรรูปอาหารให้เป็นน้ำมัน เพียงแค่รถยนต์ของสหรัฐฯ ประเทศเดียวก็เผาผลาญข้าวโพดมากเท่ากับความต้องการข้าวโพดนำเข้าของกลุ่มประเทศยากจนที่สุด 82 ประเทศรวมกัน [4]
เอธานอลและไบโอดีเซลได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างมหาศาล จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ธัญพืชอย่างข้าวโพดจะถูกดึงออกไปจากห่วงโซ่อาหารและไหลลงสู่ถังน้ำมันแทน นอกจากนี้ การลงทุนในภาคเกษตรทั่วโลกก็ยังหันเหไปสู่ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง คาโนลาและพืชให้น้ำมันชนิดอื่น ๆ ความต้องการเชื้อเพลิงเกษตรดันราคาพืชผลเหล่านี้สูงขึ้นโดยตรง ในขณะเดียวกันก็ดันราคาธัญญาหารชนิดอื่นสูงขึ้นโดยอ้อม เพราะมันกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงเกษตรแทน
ดังเช่นผู้เพาะเลี้ยงสุกรของแคนาดาประสบมาแล้ว เชื้อเพลิงเกษตรทำให้ต้นทุนการผลิตเนื้อหมูสูงขึ้น เนื่องจากข้าวโพดเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารสัตว์ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ
ราคาน้ำมัน: ราคาอาหารผูกโยงกับราคาน้ำมัน เพราะอาหารสามารถนำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันได้ แต่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอาหารด้วย ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงผลิตจากปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ก๊าซและน้ำมันดีเซลยังเป็นเชื้อเพลิงหลักในการเพาะปลูก เก็บเกี่ยวและส่งไปขาย [5]
ประมาณ 80% ของต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเป็นต้นทุนที่หมดไปกับน้ำมัน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ราคาอาหารสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
* * *
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2007 การลงทุนที่ลดลงในภาคเกษตรของโลกที่สาม ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ทำให้ความเติบโตในการผลิตชะลอตัวลงและราคาอาหารสูงขึ้น หากการเก็บเกี่ยวได้ผลดีและการส่งออกขยายตัวมากขึ้น วิกฤตการณ์ก็พอบรรเทาเบาบางไปได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น เชื้อไฟของปัญหานี้คือข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนถึง 3 พันล้านคน
เมื่อต้นปีนี้ อินเดียประกาศว่า จะยับยั้งการส่งออกข้าวเกือบทั้งหมดชั่วคราว เพื่อสะสมปริมาณอาหารสำรองในประเทศ เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เวียดนาม ซึ่งผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจากการระบาดของแมลงศัตรูพืชครั้งใหญ่ในช่วงเก็บเกี่ยว ก็ประกาศงดส่งออกข้าว 4 เดือนเพื่อสร้างหลักประกันว่า จะมีข้าวเพียงพอสำหรับตลาดภายในประเทศ
ตามปรกติ อินเดียกับเวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 30% ของข้าวทั้งหมดในตลาดโลก ดังนั้น การประกาศงดส่งออกข้าวของสองประเทศจึงทำให้ตลาดข้าวในโลกที่ตึงตัวอยู่แล้วเกิดอาการสั่นสะเทือนทันที ผู้ซื้อข้าวเริ่มกว้านซื้อข้าวในตลาดทั้งหมดเท่าที่หาซื้อได้ กักตุนข้าวทุกชนิดเพราะคาดหมายว่าราคาในอนาคตจะสูงขึ้น รวมทั้งตั้งราคาซื้อขายข้าวล่วงหน้าสำหรับการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป ราคาข้าวจึงทะยานขึ้น ในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา รายงานข่าวกล่าวว่า มีการทุ่มซื้อสัญญาซื้อขายข้าวล่วงหน้า "อย่างบ้าคลั่ง" ในคณะกรรมการการค้าชิคาโก และข้าวเริ่มขาดแคลน แม้กระทั่งตามชั้นวางสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตในแคนาดาและสหรัฐฯ
ทำไมต้องลุกฮือ?
สมัยก่อนก็เคยมีปัญหาราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นมาก่อน อันที่จริง หากเราคำนวณอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย ราคาธัญญาหารโลกในช่วงทศวรรษ 1970 มีราคาสูงกว่าสมัยนี้ด้วยซ้ำ ถ้าเช่นนั้น เหตุใดอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งกระฉูดตอนนี้จึงกระตุ้นให้เกิดการประท้วงของประชาชนไปทั่วโลก?
คำตอบก็คือ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา กลุ่มประเทศร่ำรวยที่สุดในโลกอาศัยองค์กรโลกบาลทั้งหลายที่ตนมีอำนาจควบคุม ร่วมกันบ่อนทำลายกลุ่มประเทศยากจนที่สุดอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งกลุ่มประเทศยากจนหมดความสามารถในการเลี้ยงดูประชากรและคุ้มครองตนเองในภาวะวิกฤติเช่นนี้
เฮติเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและน่าตระหนก
มีการปลูกข้าวในเฮติมาหลายร้อยปี และเมื่อราวยี่สิบปีก่อนนี้เอง เกษตรกรเฮติสามารถผลิตข้าวได้ถึง 170,000 ตันต่อปี เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศถึง 95% ถึงแม้ชาวนาไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเลย แต่เช่นเดียวกับประเทศปลูกข้าวทุกประเทศในสมัยนั้น ตลาดข้าวท้องถิ่นได้รับการคุ้มครองจากกำแพงภาษี
ค.ศ. 1995 ในยามที่เฮติต้องการเงินกู้อย่างเร่งด่วน กองทุนการเงินระหว่างประเทศจึงตั้งเงื่อนไขบังคับให้เฮติตัดลดกำแพงภาษีข้าวนำเข้าจาก 35% เหลือ 3% ซึ่งเป็นอัตราต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแคริบเบียน ผลที่ตามมาคือการทะลักทลายเข้าไปของข้าวจากสหรัฐฯ ซึ่งขายในราคาต่ำกว่าข้าวที่ปลูกในประเทศเฮติถึงครึ่งหนึ่ง ชาวนาหลายพันคนสูญเสียที่ดินและวิถีชีวิต ทุกวันนี้ ข้าวที่บริโภคในเฮตินำเข้ามาจากสหรัฐฯ ถึงสามในสี่ [6]
ข้าวสหรัฐฯ ไม่ได้ครองตลาดเฮติเพราะรสชาติดีกว่า หรือเพราะผู้ปลูกข้าวของสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพมากกว่า ข้าวสหรัฐฯ ชนะเพราะการส่งออกข้าวได้รับเงินอุดหนุนมากมายมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ใน ค.ศ. 2003 ผู้ปลูกข้าวอเมริกันได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ยประมาณ 232 ดอลลาร์ต่อนาข้าว 1 เฮกตาร์ [7] เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ไหลเข้ากระเป๋าเจ้าที่ดินรายใหญ่และบรรษัทธุรกิจเกษตรที่เป็นกลุ่มคนจำนวนน้อย ทำให้ผู้ส่งออกข้าวของสหรัฐฯ สามารถขายข้าวได้ในราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่แท้จริงถึง 30-50%
กล่าวสั้น ๆ คือ เฮติถูกบีบจนรัฐบาลต้องยกเลิกการคุ้มครองภาคเกษตรกรรมภายในประเทศ ส่วนสหรัฐฯ ก็อาศัยการคุ้มครองของรัฐบาลจนเข้าไปครอบงำตลาดข้าวในเฮติได้
เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วโลก กลุ่มประเทศร่ำรวยในซีกโลกเหนือบังคับให้กลุ่มประเทศยากจนและมีหนี้สินรุงรังในซีกโลกใต้ต้องจำใจใช้นโยบาย "เปิดเสรี" จากนั้น กลุ่มประเทศร่ำรวยก็ฉวยโอกาสจากการเปิดเสรีเข้าไปครอบครองตลาด ในประเทศร่ำรวยที่สุด 30 ประเทศในโลก ทุนอุดหนุนจากรัฐบาลคิดเป็นรายได้ของภาคเกษตรถึง 30% หรือรวมกันเป็นมูลค่าถึง 280 พันล้านดอลลาร์ต่อปี [8] ซึ่งเป็นความได้เปรียบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในตลาด "เสรี" ที่ประเทศร่ำรวยเป็นผู้เขียนกฎเกณฑ์ขึ้นมา
เกมการค้าอาหารในโลกล้วนเต็มไปด้วยกลลวง ประเทศยากจนเหลือแต่ภาคเกษตรที่หดตัวและไร้การคุ้มครอง
นอกจากนั้น ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศไม่ยอมให้เงินกู้แก่ประเทศยากจน หากประเทศเหล่านั้นไม่ยอมรับ "โครงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ" (Structural Adjustment Programs--SAP) ซึ่งบังคับให้ผู้รับเงินกู้ต้องลดค่าเงิน ตัดลดภาษี แปรรูปสาธารณูปโภค และลดหรือยกเลิกโครงการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร
ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่า กลไกตลาดจะสร้างความเติบโตและความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้ กระนั้น ในความเป็นจริง ความยากจนรังแต่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมกลับหดหายไป
"การลงทุนในโครงการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการขยายการผลิตเริ่มลดน้อยลง และในที่สุดก็หายไปจากพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกาที่อยู่ภายใต้ SAP ความใส่ใจที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรรายย่อยไม่มีเหลืออีกแล้ว ไม่เพียงแต่รัฐบาลที่ระงับการช่วยเหลือ แม้แต่เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศก็หดหายไปด้วย เงินอุดหนุนของธนาคารโลกที่ให้แก่ภาคเกษตรกรรมลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จากสัดส่วน 32% ของเงินกู้ยืมทั้งหมดใน ค.ศ. 1976-8 เหลือแค่ 11.7% ใน ค.ศ. 1997-
ในสมัยก่อนเมื่อราคาอาหารเฟ้อ อย่างน้อยที่สุด คนจนก็สามารถเข้าถึงอาหารที่ตนเองเป็นผู้เพาะปลูก หรืออาหารที่ปลูกในท้องถิ่นและหาซื้อได้ในราคาที่ท้องถิ่นกำหนด ในวันนี้ หลายประเทศในแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ตลาดโลกเป็นผู้กำหนดราคาในท้องถิ่น และอาหารที่หาซื้อได้ก็มักนำเข้ามาจากแหล่งผลิตห่างไกล
* * *
อาหารไม่ใช่แค่สินค้าอย่างหนึ่ง อาหารคือหัวใจในการอยู่รอดของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์พึงคาดหวังจากรัฐบาลหรือระบบสังคมในขั้นต่ำสุดก็คือ ระบบเหล่านี้ควรพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความอดอยากหิวโหย ระบบเหล่านี้ไม่ควรส่งเสริมนโยบายใด ๆ ที่ทำให้คนอดอยากเข้าไม่ถึงอาหาร
นี่คือเหตุผลที่ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลาพูดถูกอย่างยิ่ง เมื่อเขากล่าวถึงวิกฤตการณ์อาหารในวันที่ 24 เมษายนว่า นี่คือ "บทพิสูจน์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่แสดงให้เห็นความล้มเหลวครั้งประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยม"
เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้และอย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาอีก? ตอนที่สองของบทความจะพิจารณาคำถามนี้
Ian Angus เป็นบรรณาธิการของเว็บไซท์ Climate and Capitalism
Footnotes
[1] Kevin Pina. "Mud Cookie Economics in
[2] Tony Karon. "How Hunger Could Topple Regimes." Time,
[3] "The New Face of Hunger." The Economist,
[4] Mark Lynas. "How the Rich Starved the World." New Statesman,
[5] Dale Allen Pfeiffer. Eating Fossil Fuels. New Society Publishers,
[6] Oxfam International Briefing Paper, April 2005. "Kicking Down the Door." http://www.oxfam.org/en/files/bp72_rice.pdf
[7] Ibid.
[8] OECD Background Note: Agricultural Policy and Trade Reform. http://www.oecd.org/dataoecd/52/23/36896656.pdf
[9] Kjell Havnevik, Deborah Bryceson, Lars-Erik Birgegård, Prosper Matondi & Atakilte Beyene. "African Agriculture and the World Bank: Development or Impoverishment?" Links International Journal of Socialist Renewal, http://www.links.org.au/node/328
*ที่มาภาพประกอบหน้าแรก children.foreignpolicyblogs.com
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)