Skip to main content
sharethis





เศรษฐกิจ


สื่อสารเคลื่อนที่ไทยเงินสะพัด 3.93 แสนล้านบาท


การสื่อสารเคลื่อนที่เป็นปัจจัยพื้นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยคิดเป็นมูลค่า 3.93 แสนล้านบาท จากมูลค่าเศรษบกิจรวมของไทยเมื่อปี 2550 หรือเทียบเท่าจีดีพีร้อยละ 4.9 ของไทย ก่อให้เกิดการจ้างงาน 1.5 แสนตำแหน่ง


 


โดยข้อมูลล่าสุดจากการศึกวิจัยของ "ดีล้อยท์" ที่ทำการเก็บข้อมูลให้กับ "เทเลนอร์ กรุ๊ป" สัญชาตินอร์เวย์ ในตลาดเกิดใหม่ 6 ประเทศ ได้แก่ เซอร์เบีย, ยูเครน, บังกลาเทศ, มาเลเซีย, ปากีสถาน และไทย


 


แม้แต่ นายอาร์เว โจแฮนเซน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้าส่วนสายงานเอเชีย เทเลนอร์ กรุ๊ป ยอมรับว่า ผลการศึกษาชี้ชัดเจนว่า "การสื่อสารโทรคมนาคมเป็นปัจจัยเชื่อมโยงกับความสำเร็จด้านเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ"


 


สำหรับผลการศึกษาในประเทศไทยธุรกิจการสื่อสารแบบเคลื่อนที่มีผลทางเศรษฐกิจมากที่สุดด้วยมูลค่า 3.93 แสนล้านบาท หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2550 หรือเกือบหนึ่งเท่าครึ่งหากเทียบกับปี 2547 ที่มีมูลค่า 1.6 แสนล้านบาท


 


ที่มา: http://www.businessthai.co.th


 


คาดค่าแท็กซี่ใหม่ใช้ได้ใน1-2วันนี้


คมนาคมไฟเขียว ค่าโดยสารแท็กซี่ใหม่ เริ่มต้น 35 บาท กิโลเมตรต่อไป ก.ม.ละ 0.50 บาท คาดมีผล 1-2 วันนี้


 


นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางบกได้เสนอเรื่องอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ใหม่ ที่จะจัดเก็บในอัตรากม.แรก 35 บาท จากเดิม 2 กม.แรก 35 บาท กม.ถัดไปเพิ่มอีก กม.ละ 0.50 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 12-14% ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ใน 1-2 วันนี้


 


หลังจากนั้นผู้ประกอบการรถแท็กซี่จะต้องปรับมิเตอร์ตามอัตราใหม่ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้เตรียมรับรองการปรับมิเตอร์ให้มีความสะดวก รวดเร็ว โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ไปประจำยังบริษัทแท็กซี่ที่มีอยู่ 9 แห่ง เพื่อให้มีการรับรองมิเตอร์ที่ปรับแล้วทันที ไม่ต้องมารับรองที่กรมฯอีก


 


นอกจากนี้ กรมฯ ยังอยู่ระหว่างการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมของจำนวนรถแท็กซี่ที่เหมาะสมต่อการให้บริการในปัจจุบัน คาดว่าจะสรุปผลการศึกษาในอีก 5-6 เดือน หลังจากนั้นจะขอรับนโยบายจากกระทรวงคมนาคมว่าจะมีการจำกัดจำนวนรถแท็กซี่หรือไม่ โดยปัจจุบันมีรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนกับกรมฯ ประมาณ 98,000 คัน แต่มีรถแท็กซี่ที่ต่อทะเบียนประจำปี จำนวน 60,000 คัน


 


"ปัจจุบันการให้บริการรถแท็กซี่เปิดเสรี ไม่มีการจำกัดจำนวน ซึ่งมองว่าหากจำนวนรถแท็กซี่มีจำนวนที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการการปรับค่าโดยสารอาจไม่จำเป็น แต่จำนวนแท็กซี่ที่เหมาะสมจะเป็นจำนวนเท่าใดนั้น คงต้องรอผลการศึกษาและนโยบายของกระทรวงคมนาคม" นายชัยรัตน์ กล่าว


 


ทั้งนี้ เชื่อว่าในอนาคตเมื่อองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ปรับเส้นทางวิ่งให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกทม.และปริมณฑล รวมทั้งคิดค่าโดยสารทั้งวัน 30 บาท ไม่จำกัดเที่ยว ประกอบกับรถไฟฟ้าขยายเส้นทางมากขึ้น จะทำให้ผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ลดลง เพราะผู้โดยสารได้รับความสะดวกในการเดินทางและเชื่อมต่อระบบขนส่ง รวมทั้งอัตราค่าโดยสารรถสาธารณะยังต่ำกว่าค่าโดยสารรถแท็กซี่ด้วย


 


ที่มา: http://www.posttoday.com


 


น้ำมันแพงอุตฯพลังงานเฟื่องภาคใต้ดันปาล์ม-ไบโอฯราคาพุ่ง


ราคาผลปาล์มน้ำมัน ดีดตัวสูงอีกรอบ หลังผลผลิตในตลาดเริ่มลด แถมราคาน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวสูงขึ้น ผู้จัดการชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ ชี้แนวโน้มการใช้พลังงานทดแทน จากไบโอดีเซล เพิ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตให้กับเกษตรกร คาดแนวโน้มความใต้องการบี 5 เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านลิตร/วัน


 


นายวิศาล จันทร์ทิพย์ ผู้จัดการทั่วไปชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ส่งผลให้แนวโน้มการนำพลังงานทดแทนไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมัน มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสภาวะราคาน้ำมันแพงในขณะนี้ ยังได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลงทุนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมไบโอดีเซล แบบครบวงจรในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เนื่องจากภาคใต้ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมาก จึงเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล และขณะเดียวกันนี้มีแนวโน้มว่าน้ำมันไบโอดีเซล บี 5 มีความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงจากวันละ 3 ล้านลิตร เป็น 5 ล้านลิตรอีกด้วย


 


ทั้งนี้ รายงานราคาซื้อขายสินค้าปาล์มน้ำมันล่าสุด  ผลปาล์มทะลายคละ ราคากิโลกรัมละ 5.70 - 6.00 บาท ผลปาล์มร่วง ราคากิโลกรัมละ 6.20 - 7.00 บาท ส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบ เกรด เอ ราคากิโลกรัมละ 35.00 - 37.00 บาท 00น้ำมันปาล์มดิบ เกรด บี ราคากิโลกรัมละ 32.50 บาท สำหรับราคาผลปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้เนื่องจากผลปาล์มออกสู่ตลาดน้อยกว่าช่วงก่อนหน้านี้และปรับขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ


 


นายวิศาล กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ถือเป็นโอกาสทองของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ที่ผลผลิตได้ราคาดี ซึ่งราคารับซื้อทลายปาล์มหน้าโรงงานกิโลกรัมละ 6 บาท ขณะเดียวกันโรงงานต้นแบบผลิตไบโอดีเซลกระบี่จึงเร่งปรับปรุงเครื่องจักรกลให้มีประสิทธิภาพเพื่อผลิตไบโอดีเซลที่มีคุณภาพสูงขึ้น รองรับความต้องการของตลาด รวมทั้งมีคณะกรรมการบริหารปาล์มน้ำมัน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่เป็นประธาน เพื่อส่งเสริมการผลิตของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด ให้มีความครบวงจรในระยะยาว


 


นายเพชร ศรีหล่มสัก ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดว่ากระแสเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกส่งผลให้ปัจจุบันพื้นที่ภาคต้ตอนบนโดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนในธุรกิจประเภทนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้จากปัจจัยทางศักยภาพภายในของจังหวัดที่มีความหลากหลายด้านทรัพยากรที่เอื้อต่อการผลิตและดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน


 


นายเพชร  ระบุว่า ปัญหาราคาน้ำมันแพง ทำให้ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนได้รับความสนใจ จากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีโครงการไบโอดีเซล เตรียมเข้ามาลงทุนในพื้นที่หลายโครงการ โดยพิจารณาจากการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคใต้ 2 สุราษฏร์ธานีจำนวนมากในขณะนี้ จึงประเมินได้ว่า อุตสาหกรรมด้านพลังงาน เป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตในจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงหลายจังหวัดภาคใต้ตอนบน


 


ทั้งนี้ ปัจจัยจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ได้ส่งผลให้พืชเศรษฐกิจหลักทั้งปาล์มน้ำมัน และยางพารา ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับราคาน้ำมัน มีแนวโน้มการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับค่าน้ำมันด้วยการปรับราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน


 


"มองจากปัจจัยรอบด้าน ถือว่า มีความพร้อมในด้านการพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก เพราะมีทั้งการลงทุนจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนอย่างต่อเนื่องในขณะนี้"นายเพชร ระบุ


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 






การเมือง


 


รองผบ.ตร.สั่งห้ามม็อบผ่านสวนจิตร


เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่  17 มิ.ย.51  พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง  พล.ต.อ.ปานศิริ  ประภาวัตร รอง ผบ.ตร. เป็นประธานประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มผู้ชุมนุมอื่นๆที่ได้รับความเดือดร้อน ประกอบด้วย  ตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล  กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1,2,7 กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน  ประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวแบบวันต่อวัน  วิเคราะห์แก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯที่ผ่านมา พร้อมสรุปความคืบน้าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบ  สอบถามความคืบหน้าการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานคดีที่มีประชาชนผู้เดือดร้อนเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯที่ปักหลักปิดการจราจรสร้างความเดือดร้อนให้คนทุกสาขาอาชีพโดยใช้เวลากว่า  1 ชั่วโมง


 


ก่อนการหารือ  พล.ต.ท.อัศวิน  ขวัญเมือง  ผบช.น. รายงานสรุปสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปักหลักบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ในคืนวันที่ 16 มิ.ย.เวลา 21.00 น. ต่อเนื่องเช้าวันที่ 17  มิ.ย.ว่า  มีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมประมาณ 1,800 คน  ไม่มีกลุ่มต่อต้านเหตุการณ์ทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย   ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทยบริเวณด้านหน้าธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีปัญหาด้านการจราจรแต่อย่างใดส่วนสถานราชการสำคัญอื่นอาทิ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา ฯลฯ นั้นได้จัดกำลังตำรวจเตรียมการ ณ ที่ตั้งพร้อมรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วและส่งกำลังตำรวจไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อปิดกั้นการจราจรบางส่วนป้องกันปัญหาการยึดทำเนียบตามแนวทางที่กลุ่มพันธมิตรฯตั้งเป้าไว้ แต่สถานการณ์ก็คลี่คลายได้ด้วยดี


 


ด้าน  พล.ต.ต.สุรพล  ทวนทอง  รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  แถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมในเวลาต่อมาว่า  จากการหารือในที่ประชุมถึงการรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯที่จะเคลื่อนขบวนไปยังกระทรวงการต่างประเทศวันที่ 18 มิ.ย.นั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น. 1 ทำหน้าที่อำนวยการสั่งการดูแลกำลังตำรวจรักษาความปลอดภัยดูแลความสงบเรียบร้อย 2 กองร้อย  300 นายตลอดเส้นทางและกำลังตำรวจจราจรอีก 50 นายประจำเส้นทางที่กลุ่มผุ้ชุมนุมพาดผ่านเพื่ออำนวยความสะดวกการจราจรกับผู้ใช้รถใช้ถนน โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางถนนศรีอยุธยาฝั่งเชื่อมต่อพระตำหนักจิตรลดารโหฐานอย่างเด็ดขาดให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทนทั้งไปและกลับ


 


นอกกจากนี้ยังมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.น. 6 และ บก.น.8  เข้าเสริมการปฏิบัติอีก 2 กองร้อย 300 นายอย่างไรก็ตามหากมีการรวมตัวกันบริเวณด้านถนนพระราม 6 ใกล้โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น อยากฝากให้ผู้ชุมนุมระวังอย่าได้มีการปิดกั้นถนนเพราะอาจกระทบต่อการเดินทางมาของผุ้ป่วยและผู้บาดเจ็บได้  ขณะเดียวกันฝากประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ชุมนุมในการใช้เครื่องขยายเสียงด้วยขอให้มีความดังที่เหมาะสม  หากมีเสียงดังเกินไปตำรวจจะดำเนินการทันที


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 






สิ่งแวดล้อม


 


ลอบตัดไม้พะยูงขายจีน-รัฐสูญ110ล."กรมป่าไม้"หวั่นวิกฤติเสนอขึ้นเป็นไม้หวงห้ามพิเศษ


นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า ไม้พะยูงที่ปลูกในไทยกำลังวิกฤติเพราะถูกลักลอบตัดเพื่อส่งออกจำนวนมาก โดยตามรายงานสถิติเกี่ยวกับการกระทำความผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ในส่วนที่เกี่ยวกับไม้พะยูง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550-พฤษภาคม 2551 ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมป่าไม้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวนการกระทำความผิด 304 คดี ผู้ต้องหาจำนวน 190 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายของรัฐ 110,977,339.76 บาท กรมป่าไม้จึงได้หามาตรการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูง โดยเตรียมเสนอขอแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามพ.ศ.2530 เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงจากที่กำหนดไม้พะยูงเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ไม้หวงห้ามธรรมดา ให้เป็นไม้หวงห้ามประเภท ข.ไม้หวงห้ามพิเศษ และอีกแนวทางหนึ่งคือเสนอให้ไม้พะยูงอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์(CITES) โดยต้องนำเสนอเข้าที่ประชุมอาเซียนเพื่อขอเสียงสนับสนุนก่อน


 


นายสมชัย ระบุว่า สำหรับการนำไม้พะยูงจากต่างประเทศผ่านทางไทย เพื่อส่งไปประเทศอื่นและเกิดช่องว่างให้มีการสวมไม้ผิดกฎหมายเข้าแทนที่ กรณีนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นข้อกฎหมายแล้วว่า การนำไม้ผ่านแดนโดยการถ่ายลำต้องมีใบเบิกทาง สำหรับไม้ที่ผ่านแดนจะมีการตรวจสอบชนิดไม้ว่าเป็นไม้ที่ผิดกฎหมายเข้ามาสวมแทนที่หรือไม่ เพื่อป้องกันการลักลอบการส่งออกไม้พะยูงอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้เหตุที่เกิดปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง เนื่องจากไม้พะยูงเป็นไม้เนื้อแข็ง เป็นไม้มงคลหายากราคาแพง มีราคาสูงลูกบาศก์เมตรละ 40,000 บาท


 


"ส่วนใหญ่มีการลักลอบตัดไม้พะยูงและแกะสลักเป็นรูปมงคลต่างๆ เช่น รูปเทพเจ้ากวนอู ซึ่งชาวจีนแผ่นดินใหญ่เชื่อว่าใครมีไว้ในครอบครองจะเป็นสิริมงคล สร้างความร่ำรวยแก่ครอบครัว โดยที่จีนจะมีราคาสูงกว่าราคาในไทยถึง 4 เท่าตัว เมื่อแกะสลักเสร็จแล้วจะตีราคาขายกันเป็นแสน เช่น เมื่อแกะสลักเป็นรูปเทพเจ้ากวนอูขนาดความสูงแค่ 1 ศอก จะตีราคาขายกัน 100,000 บาทเศษ ทั้งนี้กรมป่าไม้พร้อมที่จะหยุดยั้งขบวนการลักลอบส่งไม้พะยูงออกไปยังจีนและถ้าพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดให้ความร่วมมือในการฟอกไม้พะยูงที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย จะลงโทษขั้นรุนแรงจนถึงขั้นไล่ออกและดำเนินคดีตามกฎหมาย" อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าว


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 






คุณภาพชีวิต


 


ปดส.จับเจ้าของนิตยสาร "LEADDERSHIP"คดีค้ามนุษย์ เจ้าตัวให้การปฎิเสธ


ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (บก.ปดส.) เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 17 มิถุนายน พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผบก.ปดส. พ.ต.อ.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผกก.ฝป.10 บก.ปดส. พ.ต.ท.ปัญญา ชะเอมเทศ สว.ฝป.10 บก.ปดส.ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายพันธ์คำ ทองเงิน อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ 9 ต.หนองศาลา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เจ้าของและบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นิตยสารลีดเดอร์ชิพ (LEADDER SHIP) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1925/2551 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2551 ข้อหาร่วมกันค้าหญิงหรือเด็ก ร่วมกันค้ามนุษย์ เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวง และร่วมกันเป็นธุระจัดหาหญิงเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 โดยจับกุมได้ที่สำนักงานนิตยสารลีดเดอร์ชิพ เลขที่ 2184-2186 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม.


 


พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวว่า การติดตามจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อปี 2549 เจ้าหน้าที่สำนักงานรัฐนิวเซ้าท์เวลล์ (AFP) สหพันธรัฐออสเตรเลีย ได้เข้าช่วยเหลือหญิงสาวชาวไทย 4 ราย ซึ่งถูกกักขังและบังคับให้ค้าประเวณีในสถานบริการ "มาริริน" ตั้งอยู่เลขที่ 86 ถนนแวร์แฟร์ฟิลด์ รัฐนิวเซ้าท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย จากนั้นจึงประสานตำรวจ ปดส.พร้อมส่งตัว น.ส.น้อย (นามสมมติ) หนึ่งในเหยื่อสาวเดินทางกลับประเทศไทย ต่อมาทางชุดสืบสวน ฝป.10 บก.ปดส.สืบทราบว่า นายพันธ์คำ เป็นผู้ออกหนังสือรับรองการทำงานให้ น.ส.น้อย เพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปทำงานยังประเทศออสเตรเลีย จึงเชื่อว่าขบวนการค้ามนุษย์รายนี้มีการกระทำเป็นขบวนการ ซึ่งตำรวจได้ประสานไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อสอบปากคำผู้เสียหายที่ยังไม่ได้เดินทางกลับประเทศไทย กระทั่งได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจากศาล พร้อมกับประสานเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เข้าตรวจค้นและจับกุมนายพันธ์คำ นอกจากนี้ทาง ปดส.อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลการจับกุมต่อไป โดยคาดว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีกอย่าน้อย 4-5 ราย


 


ขณะที่ นายพันธ์คำ ให้การปฏิเสธว่า ตนเป็นเจ้าของนิตยสารลีดเดอร์ชิพโดยไม่ได้มีอาชีพอื่น สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น นั้น เนื่องมาจากเมื่อต้นปี 2549 มีผู้ใหญ่ที่รู้จักกันได้ไหว้วานให้ช่วยออกหนังสือรับรองการทำงานให้กับ น.ส.น้อย เพื่อเดินทางไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรและยังเป็นการช่วยเหลือ น.ส.น้อย ให้มีงานทำจึงออกหนังสือรับรอง โดยยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับ น.ส.น้อย มาก่อน นอกจากนี้ก็ยังไม่ได้พบกันอีกเลย


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนิตยสารลีดเดอร์ชีพ (LEADDER SHIP) นั้น เป็นนิตยสารแนวสัมภาษณ์บุคคลดังในแวดวงต่าง ๆ ซึ่งมีการวางจำหน่ายมาแล้วกว่า 10 ปี และมีรายชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคม รวมทั้งนายทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายรายเป็นที่ปรึกษา


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


 


จีน171ชีวิตเซ่นอุทกภัยครั้งใหญ่


จีน - ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่สุดรอบกึ่งศตวรรษของจีน เพิ่มเป็น 171 คนแล้ว ขณะที่อีก 1.27 ล้านคนต้องหาที่อยู่ใหม่ เผยมูลค่าความเสียหายเศรษฐกิจสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว



ความคืบหน้ากรณีอุทกภัยที่จีน ล่าสุด มีผู้เสียชีวิต 171 คน และประชาชนกว่า 1.27 ล้านคน ต้องอพยพหาที่อยู่ใหม่ ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบมีจำนวนมากถึง 17.87 ล้านคน จากการที่เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งกินบริเวณพื้นที่ถึง 20 มณฑลบริเวณภาคใต้ของประเทศ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ เหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 15 ปี ในย่านมิดเวสต์ของสหรัฐฯ ณ เวลานี้ ได้สร้างความเสียหายให้แก่พืชผลทางการเกษตร จนหวั่นเกรงว่า จะส่งผลให้วิกฤติด้านอาหารเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 


ศธ.หาช่องบรรจุครูจ้างสอนเด็กพิการเป็นขรก.


นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ปัจจุบันครูเฉพาะทางที่ทำหน้าที่สอนเด็กที่มีความพิการทางร่างกาย มีจำนวนลดน้อยลง และครูผู้สอนส่วนใหญ่จะเป็นครูอัตราจ้าง แต่เมื่อมาสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการครูก็มักจะสอบแข่งขันกับครูอัตราจ้างที่สอนเด็กปกติไม่ได้ ถึงแม้จะมีความสามารถและมีประสบการณ์ในการสอนเป็นอย่างดี เพราะต้องทำหน้าที่ทั้งสอนหนังสือ และทุ่มเทเวลาดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งจากการไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนโสตศึกษา จ.นครปฐม ผู้บริหารสถานศึกษาได้เสนอว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรให้ครูอัตราจ้างที่สอนเด็กพิการสามารถสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ โดยไม่ต้องสอบแข่งขันกับครูอัตราจ้างที่สอนเด็กปกติ ดังนั้นตนจะพยายามแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดช่องให้ครูอัตราจ้างที่สอนเด็กพิการ สามารถสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ โดยได้มอบหมายให้คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ไปหาแนวทางแล้ว


 


"ครูที่ทำหน้าที่สอนเด็กพิการ จะต้องทุ่มเทและเสียสละอย่างมาก ซึ่งเป็นงานที่หนัก ดังนั้นผมจะหาแนวทางในการดูแล หรือ ให้ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมแก่ครูเหล่านี้ โดยให้อยู่ในหลักเกณฑ์การพิจารณาตามระเบียบราชการ เช่น การประเมินวิทยฐานะ หรือกำหนดผลตอบแทนในรูปแบบแพ็กเกจพิเศษ เป็นต้น" รมว.ศึกษาธิการ กล่าว


 


ด้าน ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวว่า ในปีการศึกษา 2551 มสด.ได้ปิดหลักสูตรการศึกษาพิเศษในระดับปริญญาตรีแล้ว และกำลังพิจารณาเปิดสอนหลักสูตรดังกล่าวในระดับปริญญาโท เนื่องจาก พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 กำหนดว่า ผู้สอนเด็กพิเศษจะต้องสำเร็จการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาโท ส่งผลให้ผู้ที่จบปริญญาตรีกลายเป็นบัณฑิตตกงาน ทั้งที่ปัจจุบันมีความต้องการผู้ที่จบในสาขานี้มาก อย่างไรก็ตามขณะนี้หลายฝ่ายกำลังหารือ เพื่อแก้ไขข้อกำหนดในกฎหมายดังกล่าวอยู่ ส่วนแนวทางที่รัฐจะสร้างครูการศึกษาพิเศษให้เข้าสู่วิชาชีพได้นั้น ต้องกำหนดให้เป็นสาขาขาดแคลนในการกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) รวมทั้งให้ทุนเรียนฟรี และหาอัตรารองรับ เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการครูหลังจบการศึกษาด้วย


 


ที่มา: เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2551

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net